2384.กูศิษย์หลวงพ่อกวย

กูศิษย์หลวงพ่อกวย

อภินิหารรอยสัก เมื่อครั้งปู่มีชีวิตปู่ผมเคยสักยันต์กับหลวงพ่อกวยแม้กระทั่งพ่อผมก็สักยันต์หนุมานเชิญธงกับหลวงพ่อกวย

หลายท่านอาจสงสัยทำไมถึงใช้ภาษาพ่อขุนราม ขึ้นมึง ขึ้นกู ฟังดูไม่สุภาพอย่างชาวเมือง มาวันนี้ขอใช้คำเรียกอย่างศิษย์หลวงพ่อกวยสมัยเก่า เมื่อมีฅนถามว่า “มึงเป็นศิษย์ใคร” จะตอบอย่างสง่าผ่าเผยว่า “กูศิษย์หลวงพ่อกวย” ถือเป็นใบผ่านได้เหมือนกัน


หลวงพ่อกวย-วัดโฆสิตาราม

ที่ว่าผ่านได้นี้ไม่ใช่ผ่านอะไรที่ไหน หมายถึง “ผ่านดงมีด .. ดงไม้..ดงสหบาทาประชามติ” คือ พอเอาตัวรอดได้ สมัยก่อนพวกหนุ่ม ๆ ชาว บ้านแค เมื่อมีงานมักชอบพากันไปเที่ยว ต่างหมู่ ต่างบ้าน ไปเจอเจ้าถิ่นทำจมูกฟุตฟิต ๆ ผิดกลิ่นผิดหน้า แสดงว่าต่อมเริ่มทำงาน อยากออกกำลัง ก่อนชวนกันออกกำลัง มักถามก่อนว่า ” มึงศิษย์ใคร ” เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันเขาไม่ทำ หากถามแล้วได้คำตอบว่าเป็น “กูศิษย์หลวงพ่อกวย” นักเลงสมัยนั้นมักไม่อยากยุ่ง หากเลี่ยงได้เขาจะเลี่ยงไม่ลงมือ

สมัยก่อนแม้นชื่อเสียงหลวงพ่อกวยไม่โด่งดังถึงเมืองกรุง แต่ในเขตจังหวัดชัยนาท, สิงห์บุรี, สุพรรณบุรี, อ่างทอง สี่จังหวัดนี้ท่านโด่งดังมาก ดังทางขลังหนังเหนียว โดยเฉพาะเรื่องสักอักขระท่านดังมาก คือ เสกได้เฮี้ยนและขลังจัดเลย


รอยสักลายมือหลวงพ่อกวย-วัดโฆสิตาราม

ในยุคหลังปี ๒๕๐๐ เรื่องสักยันต์ในเขตนี้ รัศมีของท่านโดดเด่นนำหน้าทุกสำนักเลย ผู้ฅนจากหลากหลายท้องถิ่น เดินทางมุ่งมายังวัดบ้านแค ทราบว่าฅนจากทางโคราชก็มามาก สมัยก่อนบ้านแครถเข้าออกวันละ ๒ เที่ยว คือ ออกหนึ่งเที่ยว เข้าหนึ่งเที่ยว ใครไม่ทันรถโดยสารต้องเดินเท้า เดินไปกลางทางเจอหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ เดินมาเป็นกลุ่ม ๆ มุ่งทางเดียวกัน ลองถามจุดหมายดูส่วนมากตอบว่า ” ไปวัดบ้านแค ” ที่มานี้เขามาสักกับหลวงพ่อกวย

ในตอนต้นที่ว่าศิษย์หลวงพ่อกวยเมื่อไปต่างถิ่น หากอยู่ในเขตสี่จังหวัดดังที่กล่าวไป เมื่อตอบว่า ” กูศิษย์หลวงพ่อกวย ” โดยมากเรื่องจบ เพราะรู้ว่ากินไม่ลงสู้ยาก ศิษย์หลวงพ่อกวยหนังเหนียวทุกฅน แถมบ้า ๆ มักเป็นฅนโหล่โพล่ง ๆ เกือบทั้งสิ้น ศิษย์สำนักนี้โดยมากเป็นพวกเดนตาย สะกดคำว่ากลัวไม่ใคร่เป็น ส่วนมากเป็นพวกเสือบุกเดี่ยว ไปไหนมาไหนฅนเดียวพวกไม่มาก อาศัยใจถึงมีครูดี มีของดี และหนังดีทุกฅน คงจากหลวงพ่อกวยคัดศิษย์ก่อนด้วย ปราการแรกต้องผ่านด่านองค์รักษ์สี่ขา หลวงพ่อท่านเลี้ยงหมาไว้เยอะแถมดุเกือบทุกตัว

หมายุคเก่าตัวดุจัด ๆ เห็นมี ไอ้ตุง, อีด้วง ต่อมาจึงเป็นไอ้ธง, อีปอบ ยุคหลังมามี ไอ้เจ๊ก, อีจู้ หมาพวกนี้หลวงพ่อกวยท่านสั่งได้ ที่ว่าสั่งได้นี้ไม่ใช้ให้มันไปซื้อของ แต่ท่านสั่งให้มันกัดได้ชนิดทันใจเลย บางวันหลวงพ่อท่านนั่งฉันน้ำชาอยู่ชานกุฏิ พวกศิษย์ใหม่มาขอสักยันต์บ้างมาขอของจากท่าน หลวงพ่อท่านเห็นจะกระแอมนิดหนึ่ง พอหมาได้ยินมันเหลือบมองท่านนิดหนึ่ง


รอยสักลายมือหลวงพ่อกวย-วัดโฆสิตาราม

พอเห็นท่านหลิ่วตาส่งสายตาเป็นสัญญาณเท่านั้น มันจะกระโจนเข้ารับน้องใหม่ทันทีกัดได้ก็กระชากจนล้มลุกคลุกคลาน โดยเฉพาะไอ้เจ๊กนี้ตัวรู้ใจหลวงพ่อเลย ขนาดมันนอน ๆ อยู่หลวงพ่อกระแอมปั๊บลุกขึ้นกัดเลย กัดจนล้มแล้วมานอนต่อเฉย ไม่ขอโทษเขาสักคำ ศิษย์มาใหม่กางเกงขาด เนื้อตัวขัดยอกไปหมด รายไหนวิ่งหนีเป็นจบกันไม่ต้องมาอีกพวกนี้

ท่านทำเช่นนี้ด้วยมีเหตุผล หลวงพ่อท่านว่า “แค่หมามีสี่เขี้ยวมึงยังกลัว แล้วมึงไปสู้ใครเขาได้ ทั้งมีดปืนมันจะสู้หรือ” หลวงพ่อท่านชอบฅนนักเลงจริงไม่ใช่แค่ปากพูด น่าแปลกหมาของท่านกัดฅนไม่เคยได้เลือด อย่างมากแค่ขัดยอกเขียวช้ำผ้าผ่อนขาด ที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านใช้คาถาผูกปากไว้ “กัดได้แต่ฝังเขี้ยวไม่ได้”

ท่านทำแค่ลองใจไม่คิดให้เจ็บช้ำหนัก เรื่องนี้ศิษย์หลวงพ่อรู้และเห็นจริงทุกฅน ศิษย์สักบางฅนขลังจัด ๆ ท้าให้หมากัด พวกนี้นอกเหนือคำสั่งหลวงพ่อท่านยกไว้ หากท้าหมาของท่านมันจะกัดจริงเลย แต่ไม่เคยกัดเข้าสักครั้งเหมือนกัน เพราะหนังเหนียว อย่างนายนพ ฅนทางวัดใหม่รายนี้ท้าให้หมากัดประจำ พอหมาเห็นหน้า ไม่เห่า ไม่กัด เดินหนีเลย เพราะกัดแกไม่เข้าดีไม่ดีเขี้ยวหักอีก นางนพนี้ศิษย์เอกหลวงพ่อกวย วีรกรรมแกมากวันหน้าคงต้องมาเล่าให้ฟังกัน

หลวงพ่อกวยท่านสักมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ยุคแรกพอสักเสร็จพรมน้ำมนต์ให้ ก่อนกลับท่านจะลองเลยเอามีดอีดาบฟันเลย บางรายหันหลังเดินท่านพุ่งฉมวกใส่หลัง แรงขนาดหน้าคะมำ หลายรายตกใจวิ่งหนีก็มี เรียกว่าลองให้เห็นจริงให้เกิดศรัทธาขึ้นในจิต ลายสักของหลวงพ่อกวยดูไปไม่สวยงามวิจิตร เส้นสายดูเทอะทะไม่คมภาพก็ไม่สวยอย่างสำนักอื่น แต่ด้านความขลังแล้วจัดว่า “ที่สุด” เพราะรอยสักของท่านขลังขนาดปืนยิงไม่ออก และคุ้มได้ถึงกระดูกเลยคือไม่หัก

ส่วนสำนักอื่นที่สักกันโดยมากสูงสุด “เพียงคงกระพัน” แต่หลวงพ่อกวยท่านพลิกแพลงในวิชา ท่านใช้ปราณและกสินเสกร่วมกัน ใช้คาถาชาตรี, มหาทมื่น, ปิดทวารทั้งเก้า เสกหมึกสักก่อน

ในหมึกสักของท่านมีเครื่องยาและดีสัตว์ที่เป็นมหาอำนาจ เช่น ดีเสือ, ดีหมี เรียกว่ามีอาถรรพ์ตั้งแต่หมึกที่ใช้สัก ต้องเสกเข็มสักก่อนลงเข็มสัก สมัยหนุ่ม ๆ ทราบว่าท่านจะเสกธาตุในตัวให้สมดุลก่อน เสกคาถาชำละมือแล้วจึงเสกเข็มที่ใช้สัก แล้วจึงลงมือสักให้แก่ศิษย์ถือว่าละเอียดมาก เมื่อสักไปต้องเสกไปตลอดจนเสร็จ แล้วจึงเสกประจุเป็นรายบุคคลไปทีละฅน เหตุนี้ยันต์ที่หลวงพ่อกวยสักให้ถึงได้ขลังนัก


หลวงพ่อกวย-วัดโฆสิตาราม

เรื่องอภินิหารลายสักของหลวงพ่อกวยนี้ ประสบการณ์มากหลายเรื่อง บางรายสักไปแล้วของขึ้นสู้กับฝ่ายตรงข้ามนับสิบ สู้ได้ชนะด้วยทราบว่าสักเสือไป ได้กัดฝ่ายตรงข้ามจนถึงเส้นเลือดใหญ่ขาด อาการปางตายเลยน่ากลัวมาก อีกรายเป็นนายตำรวจจำชื่อไม่ได้เสียแล้ว เป็นฅนทางสุพรรณสักหนุมานไป นายตำรวจนี้ขลังมากเมื่อปลุกหนุมานขึ้นดีแล้ว มีพละกำลังเหนือมนุษย์ธรรมดา สามารถให้ฅนยืนบนฝ่ามือแล้วยกขึ้นได้ทั้งตัว ยกสูงระดับอกเลยแกเคยทำให้ฅนดูหลายครั้ง จัดว่าขลังและอัศจรรย์มากเรื่องอำนาจสักในตัวศิษย์

เรื่องอำนาจในตัวศิษย์ที่สักไปนี้มีอีกรายชื่อนายเบ้า ฅนบ้านแค เป็นศิษย์วัดบ้านแดแต่เด็ก หลวงพ่อกวยสักลิงลมให้ไปหนึ่งตัว นายเบ้าถือได้ขลังเหลือเกิน เมื่อเวลาแกปลุกลิงลมขึ้นดีแล้ว ถึงขนาดวิ่งขึ้นไปโหนบนก้านต้นกล้วยได้ ก้านกล้วยอ่อน ๆ ไม่น่ารับน้ำหนักตัวฅนได้ ครั้งที่ดังและฅนเห็นกันมาก คงเป็นคราวที่ปีนขึ้นไปนั่งเล่นบนเสาธงโรงเรียนวัดโฆสิตาราม ปืนขึ้นไปได้อย่างไรเสาธงสูง ๆ เล็ก ๆ ไม่น่าเชื่อ

ขึ้นไปนั่งกินลมสบายใจ พอลิงลมออกนั่งร้องโวยวายให้ฅนช่วย เรื่องนี้ฅนแถววัดเห็นกันหลายฅน คราวที่แกขึ้นนี้อาจารย์ตั้วก็อยู่ ป้าสมนึก ภูงาม เคยเห็นตอนที่นายเบ้าของขึ้น หมอเง ฅนข้างวัดก็เคยเห็น หลวงพ่อกวยนี้นอกจากตัวท่านเก่งแล้วศิษย์ท่านก็ยังขลัง สมแล้วที่ผู้ฅนเขายกย่องให้ท่านเป็น “ผู้วิเศษแห่งเมืองสรรคบุรี” ถือเป็นตำนานจอมฅนยอดอาจารย์ ลูกหลานได้เล่าขานไปอีกนานเท่านาน

ที่มา​ ฅนขลัง​ คลังวิชา

แอพเกจิ

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: