2380.คำสอนหลวงพ่อวิธีใช้ญาณต่าง ๆ

คำสอนหลวงพ่อวิธีใช้ญาณต่าง ๆ

วิธีใช้ญาณต่าง ๆ เมื่อเจริญฌานในกสิณจนถึงอุปจารฌานแล้ว ก็เริ่มสร้างทิพยจักษุญาณได้ เพราะทิพยจักษุญาณนั้น เริ่มมีผลตั้งแต่จิตเข้าสู่อุปจารฌานมีผลในการรู้บ้างพอสมควร เช่น รู้สวรรค์ นรก และเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้บ้าง ไม่ถึงกับรู้ตาย รู้เกิด คือตายแล้วไปเกิดที่ใด ผู้ที่มาเกิดนั้น มาจากไหน

รู้เหตุการณ์เพียงผิวเผินกว่านั้น เช่น รู้โรค ว่า เป็นโรคอะไร หายได้ด้วยวิธีใด คนนี้จะมีเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายประการใด รู้เหตุในอดีตและอนาคตได้บ้างพอสมควร รู้สวรรค์ นรกได้บ้างแต่ไม่แจ่มใสนัก พูดจากับเทวดาและพรหมได้บ้างคำสองคำ ภาพเทวดาและพรหมก็หายไป ภาพที่เห็นก็ไม่เห็นนานประเดี๋ยวก็หายไป จะเอาเรื่องราวที่เป็นการเป็นงานที่ต้องใช้เวลานาน ๆ ก็ต้องกำหนดจิตกันบ่อยครั้ง

ทั้งนี้เพราะ สมาธิเพียงอุปจาร-สมาธิ ยังเป็นสมาธิที่ทรงกำลังให้สงบอยู่ได้ไม่นาน ถ้าเปรียบก็คงเหมือนเด็กเพิ่งสอนเดิน ยืนไม่ได้นาน ยืนเดินได้ชั่วขณะก็ล้ม ต้องลุก ๆ เดิน ๆ อยู่อย่างนั้น กว่าจะเดินถึงที่หมายก็ต้องล้มลุกบ่อย ๆ ทิพยจักษุญาณระดับอุปจารฌานก็เหมือนอย่างนั้น การเห็นก็ไม่ชัดเจนแจ่มใส ยังเห็นไม่เต็มตัว เห็นบนไม่เห็นล่าง เห็นหน้าไม่เห็นขาอย่างนี้เป็นต้น

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ต่อเมื่อได้สมาธิที่ค่อย ๆ ฝึกฝนไปนั้นเข้าถึงฌาน ๔ และเข้าฌานออกฌานชำนิชำนาญดีแล้วความตั้งมั่นมีมากดำรงอยู่ได้นานตามความต้องการ ทิพยจักษุญาณก็มีสภาพเข้าเกณฑ์สมบูรณ์ ใช้งานได้สะดวก เห็นภาพเต็ม พูดกันได้ตลอดเรื่องรู้ละเอียดจนถึงผลของการตาย การเกิด รู้เหตุรู้ผลครบถ้วน

ตอนชำนาญในฌาน ๔ นี้ท่านเรียกว่า จุตูปปาตญาณ ความจริงก็ทิพยจักษุญาณนั่นเอง แต่เป็น ทิพย-จักษุญาณที่มีฌานเต็มขั้น ทิพยจักษุญาณขั้นฌานโลกีย์นี้ แม้จะเป็นญาณที่มีฌานเต็มขั้นก็ตาม การรู้การเห็นจะให้ชัดเจนแจ่มใสคล้ายกลางวันนั้นไม่ได้ อย่างดีก็มองเห็นได้มัว ๆ คล้ายเห็นภาพเวลาพระอาทิตย์ลับแล้วเป็นเวลาใกล้ค่ำ เห็นภาพดำ ๆ พอรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร จะเห็นชัดเจนตามสมควร

ได้ต่อเมื่อเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ท่านเปรียบการเห็นด้วยอำนาจทิพยจักษุญาณนั้นไว้ดังนี้ ๑. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นได้คล้ายดูภาพในเวลากลางวัน ที่มีอากาศแจ่มใส ๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นได้คล้ายกลางคืน ที่มีพระจันทร์เต็มดวง ไม่มีเมฆหมอกปิดบัง ๓. พระอัครสาวกซ้ายขวา เห็นได้คล้ายคนจุดคบเพลิง ๔. พระสาวกปกติ เห็นได้คล้ายตนจุดประทีป คือตะเกียงดวงใหญ่ที่มีแสงน้อยกว่าคบเพลิง ๕. พระอริยะเบื้องต่ำกว่าพระอรหันต์ มีการเห็นได้คล้ายแสงสว่างจากแสงเทียน ๖. ท่านที่ได้ฌานโลีย์ เห็นได้คล้ายแสงสลัวในเวลาพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

ระดับการเห็นไม่สม่ำเสมอกันอย่างนี้ เพราะอาศัยความหมดจดและกำลังบารมีไม่เสมอกัน นำมากล่าวไว้เพื่อทราบ เมื่อท่านได้และถึงแล้ว จะได้ไม่สงสัย มีนักปฏิบัติส่วนใหญ่ที่ทำได้แล้ว และเกิดเห็นไม่ชัดได้มาถามบ่อย ๆ

จึงเขียนไว้เพื่อรู้การใช้ญาณได้กล่าวแล้วว่า ญาณต่าง ๆ มีความสว่างตามกำลังของฌานหรือสมาธิฉะนั้นเมื่อจะใช้ญาณให้เป็นประโยชน์ ก่อนอื่นถ้าได้ ทิพยจักษุญาณเบื้องต้นก็ต้องเพ่งรูปกสิณตามกำลังของสมาธิก่อน เพราะเห็นภาพกสิณชัดเจนเท่าใดภาพที่ต้องการจะเห็นก็เห็นได้เท่าภาพกสิณที่เห็น

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

เมื่อเพ่งภาพกสิณจนเป็นที่พอใจแล้วจึงอธิษฐานให้ภาพกสิณหายไป ขอภาพที่ต้องการจงปรากฏแทน ภาพที่ต้องการก็จะปรากฏแทนเห็นได้เท่าภาพกสิณได้ฌาน ๔ การใช้ญาณเมื่อชำนาญในฌาน ๔ แล้ว ท่านให้เข้าฌาน ๔ ให้เต็มขนาดของฌานก่อน จนจิตสงัดเป็นอุเบกขาดีแล้ว ค่อย ๆ คลายจิตออกมาสู่อุปจารสมาธิแล้ว กำหนดจิตอธิษฐานว่า ขอภาพที่ต้องการจงปรากฏ แล้วเข้าฌาน ๔ ใหม่ออกจากฌาน ๔ กำหนดรู้ ภาพที่ต้องการจะปรากฏแก่จิต คล้ายดูภาพยนต์พร้อมทั้งรู้เรื่องไปตลอด

จะใช้ญาณอะไรก็ตาม ทำเหมือนกันหมดทุกญาณ จงพยายามฝึกฝนให้คล่องแคล่วว่องไว ต้องการเมื่อไรรู้ได้ทันที การรู้จะคล่องหรือฝืดขึ้นอยู่กับฌานถ้าเข้าฌานออกฌานคล่อง การกำหนดก็รู้ก็คล่อง ทั้งนี้ต้องหมั่นฝึกหมั่นเล่นทุกวัน วันละหลาย ๆ ครั้ง เล่นทั้งวันทั้งคืนยิ่งดี ความเพลิดเพลินจะเกิดมีขึ้นแก่อารมณ์ ความรู้ความฉลาดจะปรากฏ ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในส่วนแห่งวิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย

นิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายในการเกิดจะปรากฏแก่จิตอย่างถอนไม่ออกความตั้งมั่นในอันที่จะไปสู่พระนิพพานจะเกิดแก่จิตอย่างชนิดไม่ต้องระวังว่า จิตจะคลายจากพระนิพพาน ผลของญาณแต่ละญาณที่จัดว่าเป็นคุณส่งเสริมให้เกิดปัญญา-ญาณนั้น จะนำมากล่าวไว้โดยย่อพอเป็นแนวคิด

๑. จุตูปปาตญาณญาณนี้เมื่อเล่นบ่อย ๆ ดูว่าสัตว์ที่เกิดนี้ มาจากไหน สัตว์ที่ตายไปแล้วไปเกิดที่ไหน รู้แล้วอาศัย ยถากัมมุตาญาณ สนับสนุนให้รู้ผลของกรรม ญาณนั้นใช้ในคราวเดียวกันได้คราวละหลาย ๆ ญาณ เพราะก็เป็นผลของ ทิพยจักษุญาณเหมือนกัน เมื่อรู้ว่าบางรายมาจากเทวดาบ้าง มาจากพรหมบ้าง มาจากอบายภูมิมี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉานบ้าง

สัตว์ที่ไปเกิดก็ทราบว่า ไปเกิดในแดนมนุษย์บ้าง สวรรค์บ้าง พรหมบ้าง และเกิดในอบายภูมิบ้าง คนรวยเกิดเป็นคนจนคนจนเกิดเป็นมหาเศรษฐี สัตว์เกิดเป็นมนุษย์ เพราะผลของกรรมดีและกรรมชั่วที่สั่งสมไว้ เมื่อรู้เห็นความวนเวียนในความตาย ความเกิดที่เอาอะไรคงที่ไม่ได้อย่างนี้มองเห็นโทษของสัตว์ที่เกิดในอบายภูมิ เห็นความสุขในสวรรค์และพรหม และเห็นความไม่แน่นอนในการเกิดเป็น เทวดาหรือพรหมที่ต้อง จุติคือตาย จากสภาพเดิมที่แสนสุข มาเกิดในมนุษย์หรืออบายภูมิ

อันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความทุกข์เพราะความไม่แน่นอนผลักดันเป็น ผลของอนัตตา ที่เป็นกฏประจำโลก ไม่มีใครจะทัดทานห้ามปรามได้ มองดูการ วนเวียนในการตายและเกิด ไม่มีอะไรสิ้นสุดในที่สุดก็มองเห็นทุกข์ เป็นการเห็นตามอริยสัจ มีความเบื่อหน่ายในการเกิดเป็นนิพพิทาญาณในวิปัสสนาญาณ เป็นปัญญาที่เกิดจาก ญาณในสมถะคือ จุตูปปาตญาณ ญาณนี้ได้สร้าง ปัญญาในวิปัสสนาญาณ ให้เกิดขึ้นเพราะผลของสมถะ คือ จุตูปปาตญาณ เพราะเหตุที่สาวหาต้นสายปลายเหตุจากการเกิดและการตายในที่สุด ก็เกิดการเบื่อหน่ายดังว่ามาแล้ว

ถ้าปฏิบัติถึงแล้ว จงแสวงหาความรู้จากความเกิดและความตายของตนเองและสัตว์โลกทั้งมวล ทุกวัน ทุกเวลาจะเป็นครูสอนตนเองได้ดีที่สุด ผลดีจะมีเพียงใด ท่านจะทราบเองเมื่อปฏิบัติถึงแล้ว

๒. เจโตปริยญาณและประโยชน์เจโตปริยญาณ แปลว่า รู้ใจคน คือ รู้อารมณ์จิตใจคนและสัตว์ว่าขณะนี้เขามีอารมณ์จิตเป็นอย่างไร มีความสุขหรือทุกข์ หรือมีอารมณ์ผ่องใส เพราะไม่มีอะไรมารบกวนจิตใจให้ขุ่นมัวที่เรียกว่า อุเบกขารมณ์ คือ อารมณ์เฉย ๆ ไม่มีสุขและทุกข์เจือปน

รู้จิตของผู้นั้น แม้แต่จิตของเราเองว่า มีกิเลสอะไรเป็นกิเลสนำคือมีอะไรกล้า ในขณะนี้จิตของผู้นั้นเป็นจิตประกอบด้วย กุศล หรือ อกุศล เป็นจิตของท่านผู้ทรงฌาน หรือ เป็นจิตประกอบด้วยนิวรณ์รบกวน เป็นพระอริยะชั้นใด การจะรู้จิตของท่านผู้ใดว่ามีอารมณ์จิตของผู้ทรงฌานหรือเป็นพระอริยะอันดับใดนั้น เราเองต้องเป็นผู้ทรงฌานระดับเดียวกันหรือสูงกว่า

การจะรู้ว่าท่านผู้นั้นเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่และระดับใด เราก็ต้องเป็นพระอริยะด้วย และมีระดับเท่าหรือสูงกว่า ท่านที่มีฌานต่ำกว่าจะรู้ระดับฌานของท่านผู้ได้ฌานสูงกว่าไม่ได้ ท่านที่ไม่ได้ทรงความเป็นอริยะ จะรู้คุณสมบัติทางจิตของพระอริยะไม่ได้ท่านที่เป็นพระอริยะต่ำกว่าจะรู้ความเป็นพระอริยะสูงกว่าไม่ได้

กฏนี้เป็นกฏตายตัว ควรจดจำไว้ อย่าพยากรณ์บุคคลผู้ทรงคุณสูงกว่า ถ้าไม่ได้อะไรเลย ก็จงอย่ากล้าพยากรณ์ผู้อื่น เพราะพยากรณ์พลาดจากความเป็นจริงมีโทษหนักในทางปฏิบัติ เพราะเราจะกลายเป็นโมฆโยคีไป คือประกอบความเพียรด้วยการไร้ผล ในฐานะที่อาจเอื้อมยกตนเหมือนพระอริยะเป็นกรรมหนักมากควรละเว้นเด็ดขาด

สีของจิตสีของจิตนี้ ในที่บางแห่งท่านเรียกว่า” น้ำเลี้ยงของจิต” ปรากฏเป็นสีออกมาโดยอาศัยอารมณ์ของจิตเป็นตัวเหตุ สีนั้นบอกถึงจิตเป็นสุข เป็นทุกข์ อารมณ์ขัดข้องขุ่นมัว หรือ ผ่องใส ท่านโบราณาจารย์ ท่านกล่าวไว้ดังนี้

๑. จิตที่มีความยินดี ด้วยการหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่ง กระแสจิตมีสีแดงปรากฏ ๒. จิตที่มีอารมณ์โกรธ หรือมีความอาฆาตจองล้างจองผลาญ กระแสจิตมีสีดำ ๓. จิตที่มีความผูกพันด้วยความลุ่มหลง เสียดายห่วงใยในทรัพย์สิน และสิ่งที่มีชีวิต กระแสจิตมี สีคล้ายน้ำล้างเนื้อ ๔. จิตที่มีกังวล ตัดสินใจอะไรไม่ได้เด็ดขาด มีความวิตกกังวลอยู่เสมอกระแสจิตมีสีเหมือน น้ำต้มถั่ว หรือ น้ำซาวข้าว ๕. จิตที่มีอารมณ์น้อมไปในความเชื่อง่าย ใครแนะนำอะไรก็เชื่อ โดยไม่ใคร่จะตริตรอง ทบทวน หาเหตุผลว่า ควรหรือไม่เพียงใด คนประเภทนี้เป็นประเภทที่ถูกต้มถูกตุ๋นเสมอ ๆ จิตของคนประเภทนี้ กระแสมีสีเหมือนดอกกรรณิการ์คือ สีขาว ๖. คนที่มีความเฉลียวฉลาด รู้เท่าทันเหตุการณ์เสมอ เข้าใจอะไรก็ง่ายเล่าเรียนก็เก่ง จดจำได้ดี ปฏิภาณไหวพริบก็ว่องไว คนประเภทนี้ กระแสจิตมีสีผ่องใสคล้ายแก้วประกายพรึก หรือ ในบางแห่งท่านว่า คล้ายน้ำที่ปรากฏกลิ้งอยู่ในใบบัว คือ มีสีใสคล้ายเพชร

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

สีของจิตโดยย่อเพื่อประโยชน์ในการสังเกตง่าย ๆ แบ่งสีของจิตออกเป็นสามอย่าง คือ ๑. จิตมีความดีใจ เพราะผลอย่างใดอย่างหนึ่ง กระแสจิตมีสีแดง ๒. จิตมีทุกข์ เพราะความปรารถนาไม่สมหวัง กระแสจิตมีสีดำ ๓. จิตบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกังวล คือสุขไม่กวน ทุกข์ไม่เบียดเบียน จิตมีสีผ่องใสกายในกาย

เมื่อรู้ลักษณะของจิตแล้ว ก็ควรรู้ลักษณะของกายในไว้เสียด้วย ในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึงกายในกายไว้ สำหรับนักปฏิบัติขั้นต้นก็คือ เอาอวัยวะภายใน เป็น กายในกายส่วนท่านที่ได้ จุตูปปาตญาณแล้ว ก็ถือเอา กายที่ซ้อนกาย อยู่นี้เป็น กายในกายกายในกายนี้มีได้อย่างไร ขอตอบว่า เป็นกายประเภท อทิสมานกาย คือดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น ต้องดูด้วยญาณจึงเห็น ตามปกติกายในกาย หรือกายซ้อนกายนี้ก็ ปรากฏตัวให้เจ้าของกายรู้อยู่เสมอในเวลาหลับ

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

ในขณะหลับนั้น ฝันว่าไปไหน ทำอะไร ที่อื่น จากสถานที่เรานอนอยู่ ตอนนั้นเราว่าเราไป และทำอะไรต่ออะไรอยู่ ความจริงเรานอน และเมื่อไปก็ไปจริง จำเรื่องราวที่ไปทำได้ บางคราวฝันว่าหนีอะไรมา พอตื่นขึ้นก็เหนื่อยเกือบตาย กายนั้นแหละที่เป็นกายซ้อนกายหรือ กายในกาย ตามที่ท่านกล่าวไว้ ในมหาสติปัฏฐาน ตามที่ นักเจโตปริยญาณต้องการรู้

ที่มา :: คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานหน้า 6

แอพเกจิ

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: