2367.ประสบการณ์ธุดงค์ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย

ประสบการณ์ธุดงค์ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย ต.ปลาปาก จ.นคพนม

ญาติจังหวัดเลย
บรรพบุรุษของหลวงปู่ฯ คือ ปู่ ย่า ตาทวด ของท่านมีอาชีพค้าขาย (เป็นนายฮ้อย) เดินทางจากอำเภอนาแก จังหวัดนครพนมไปค้าขายที่ประเทศพม่า จากการสอบถามจากหลวงตาทอง ได้ข้อมูลว่าปู่ของหลวงปู่ฯ และปู่ของหลวงตาทอง ได้เดินทางไปค้าขายที่ประเทศพม่า โดยได้เดินทางไปทางจังหวัดสกลนคร เพชรบูรณ์ ออกไปค้าขายเมืองมอละแมง และเมืองดอนขอดของประเทศพม่า โดยซื้อของ ขายของ ไปเรื่อยๆ บรรพบุรุษมีความรู้เดินป่า มีวิชาอาคม เก่งกล้า และมีพี่น้อง จำนวนหนึ่งได้ตกลงใจปักถิ่นฐาน อยู่ที่อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ไม่กลับจังหวัดนครพนม

โดยชอบสถานที่ประกอบอาชีพใหม่ และมีหลายคนได้แต่งงานมีคู่ครองอยู่ที่ภูเรือ เวลามีพี่น้องผ่านมาก็ชักชวนอยู่ที่จังหวัดเลย ไม่ต้องเดินทางกลับจังหวัดนครพนม ด้วยเหตุนี้เองทำให้หลวงปู่ฯ มีญาติพี่น้องอยู่มากในจังหวัดเลย ด้วยเหตุจากบรรพบุรุษ ปู่ ย่า ตา ทวด ของท่านไปค้าขายที่ประเทศพม่า จึงทำให้บรรพบุรุษสอนตัวธรรมพม่าแก่ท่านจึงทำให้ท่านสามารถอ่านตัวธรรมพม่าได้

มุ่งปฏิบัติธรรมให้ยิ่งขึ้น
ด้วยความจริงใจ และจริงจังในการที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะให้หลุดพ้นในวัฏสังขาร หลวงปู่ฯ เร่งปฏิบัติธรรม อ่านพระไตรปิฏก อ่านหนังสือตัวธรรมลาว ตัวธรรมขอม ศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างและนำมาปฏิบัติด้วย ทำให้ท่านชำนาญในข้อปฏิบัติต่างๆ มาก นอกจากนั้นท่านยังเทศนาสั่งสอนญาติโยมต่างๆ ให้มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อปฏิบัติ หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า และได้ทราบข่าวถึงพี่น้องต่างๆ ที่ไปอยู่จังหวัดเลย

โดยมีน้าชายที่บวชพระที่ไปอยู่จังหวัดเลย ก็ได้ทราบว่าน้าที่บวชพระไปปฏิบัติธรรมกับชีปะขาวครุฑ ที่อำเภอภูเรือชีปะขาวครุฑ หรืออาจารย์ชีปะขาวครุฑเป็นผู้มีอาคมเก่งกล้า สอนวิปัสสนากรรมฐาน เหมือนเกจิอาจารย์และครูบาอาจารย์ทั่วๆ ไปสอนลูกศิษย์ จากชื่อเสียงอันโด่งดังทำให้บุคคลทั่วไปหรือพระเณรเป็นจำนวนมาก ได้มาปฏิบัติร่วมกับพระอาจารย์ชีปะขาวครุฑ ที่เขตอำเภอภูเรือจังหวัดเลย ผู้เขียนได้ถามหลวงตาทองว่า ทำไมหลวงปู่ฯ ต้องไปสัมพันธ์กับชีปะขาวครุฑ หลวงตาทองตอบว่า ชีปะขาวครุฑเป็นญาติกันที่อพยพจากอำเภอนาแก ไปอยู่ที่จังหวัดเลย

ฉะนั้นพอพระเณรที่เป็นญาติไปจังหวัดเลย พี่น้องทางจังหวัดเลยจะอุปถัมภ์เป็นกรณีพิเศษ และสรรพวิชาต่างๆ ของปู่ ย่า ตา ยาย บรรพบุรุษ จะคงอยู่ที่ชีปะขาวครุฑ ด้วยเหตุนี้ทำให้หลวงปู่ฯ จึงชักชวนพระภิกษุสองรูปคือ พระอาจารย์วัน และพระอาจารย์บุญ เป็นเพื่อนร่วมเดินทางออกธุดงค์ไปจังหวัดเลย เพื่อศึกษาการปฏิบัติธรรมจากชีปะขาวครุฑ ช่วงเวลานั้นหลวงปู่ฯ เป็นเณรอายุสิบแปดปี

ญาธรรมครุฑ
ญาธรรมครุฑเป็นภาษาอิสาน ที่ชาวบ้านเรียกกัน ญาธรรมครุฑเป็นคนเดียวกันกับชีปะขาวครุฑ หลวงตาทองท่านเล่าว่า ญาธรรมครุฑได้สำเร็จวิชาครูนอนเดี่ยว ผู้ที่ศึกษาวิชานี้สำเร็จจริงๆ จะต้องนอนเดี่ยว คือไม่มีเมีย เพราะได้บรรลุวิชาชั้นสูง ญาธรรมครุฑเป็นผู้ที่มีวิชาเก่งกล้ามากเวลาจะรักษาใคร มีธรรมมาบอกว่าต้องทำอะไร และทราบความเป็นมาของเหตุฯ ที่เกิดทั้งหมด เช่นเวลาเดินทางเข้าเขตบ้านที่มีอาถรรพ์ก็จะรู้เลยว่าเป็นเพราะอะไร หรือเวลาเดินทางไปไล่ผีจะทราบเลยว่าเป็นผีประเภทใด ส่วนมากท่านจะใช้วิธีการที่ไม่รุนแรง แม้กระทั่งสถานที่ใดที่มีอาถรรพ์ ญาธรรมครุฑท่านจะรู้และสัมผัสได้ด้วยธรรม หรือญาณของท่าน

ออกธุดงค์
หลังจากที่ได้นัดหมายพระภิษุวัน และภิกษุบุญ เป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้กราบลาพระอุปัชฌาอาจารย์มุ่งหน้าเดินทางจากอำเภอนาแกสู่จังหวัดสกลนคร การเดินธุดงค์ได้ผ่านป่าที่น่ากลัว เพื่อฝึกความกล้าของจิต ผู้ปฏิบัติธรรมต้องกล้าที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ กิเลสต่างๆ ยอมสละชีวิต และฝึกจิตไม่ให้หวั่นไวต่ออุปสรรคต่างๆ การเดินทางผ่านบ้านนา ทุ่งบ้าง โคกบ้าง ไปเรื่อยๆ ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั้น

ช่วงเดินทางผ่านจังหวัดสกลนคร ได้ปักกลดที่บ้านพาน เขตอำเภอสว่างแดนดิน เช้าออกบิณฑบาตรเมื่อฉันอาหารเสร็จแล้วออกเดินทางต่อไปสู่จังหวัดอุดรธานี พอถึงเขตจังหวัดอุดรธานี ร่างกายของท่านอ่อนแอมาก เมื่อฉันอาหารบิณฑบาตแล้วออกเดินทางธุดงค์ต่อไป ระหว่างทางจะแน่นท้องทรมานมากจนอาเจียนออกมา เมื่ออาเจียนออกมาแล้วร่างกายจะทุเลาลง รู้สึกสบายขึ้นเป็นอย่างนี้มาตลอด เวลาบิณฑบาตมาได้ข้าวไม่ค่อยมาก ท่านจะดื่มน้ำให้มากเพื่อบรรเทาอาการหิว

สุนัขแม่ลูกอ่อน
ครั้งหนึ่งหลวงปู่ฯ ได้เล่าให้ฟังว่าได้ไปปักกลดที่บ้านหนองเม็ก เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ประมาณ ๓๐ หลังคาเรือนพอรุ่งเช้าขึ้นได้เดินทางเข้าหมู่บ้านเพื่อบิณฑบาตร ช่วงนั้นสายมากแล้วไม่มีใครตักบาตรเลย ผู้คนในหมู่บ้านเงียบไปหมด ชาวบ้านพอแลเห็นพระภิกษุกเข้าบ้านปิดประตูเงียบ ท่านคิดในใจว่าวันนี้ไม่ได้ข้าวแน่ พอเดินพ้นหมู่บ้านไปหนึ่งหลังคาเรือน เห็นโยมผู้หญิงถือกล่องข้าวมานิมนต์ให้รับบิณฑบาตร ท่านได้รับข้าวเหนียวมาปั้นหนึ่ง

ท่านเดินออกมาที่พัก ได้มีสุนัขสีดำตัวหนึ่งวิ่งออกจากหมู่บ้านตอนแรกคิดในใจว่ามันจะไล่กัด สังเกตดูเป็นสุนัขแม่ลูกอ่อน มันวิ่งตามมากระดิกหางดูแล้วสงสัยมันจะหิวจัด เลยเอาข้าวเหนียวในบาตร โยนให้มันไป มันดีใจคาบก้อนข้าวเหนียว แล้ววิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน วันนี้ตลอดวันได้ดื่มแต่น้ำ ซึ่งเป็นผลดีทำให้ไม่แน่นท้อง ลูกศิษย์ได้ถามทำไมชาวบ้านจึงไม่ใส่บาตร แล้วเข้าประตูบ้าน หลวงปู่ฯ ตอบว่าเขากลัวพระกรรมฐานเพราะไม่เคยเห็นมาก่อน

ธุดงค์กลางทุ่งน้ำ
การเดินธุดงค์ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ในบางครั้งต้องเดินทางขึ้นเขาในบางครั้งก็ลงมายังป่าทึบ ในบางครั้งเดินทางทั้งวันไม่พบหมู่บ้านเลย พระกรรมฐานนักปฏิบัติจะต้องอดทน การเดินธุดงค์ของหลวงปู่ฯ ก็มาถึงจุดหมาย ที่เรียกว่า ปากดง เขตอำเภอนากลาง วันนั้นฝนตกทั้งวันคิดจะหาที่พักก็ไม่เหมาะสม เพราะแต่ละพื้นที่มีน้ำเต็มไปหมด จุดที่ต้องเป็นดอนก็มีสัตว์จำพวกมด และแมลงทำให้ท่านต้องธุดงค์ต่อไปเรื่อยๆ จนค่ำสองทุ่มเศษๆ

ขณะนั้นหูของท่านและภิกษุอีกสองรูปก็ได้ยินเหมือนเสียงท่อนไม้ กระทบกันเสียงดังไปทั่วป่า พระที่มาด้วยกันกลัวเพราะเป็นเวลากลางคืนมองไปเห็นเงาลางๆ ท่านเลยบอกให้หยุดเข้าไปหลบ แอบดูเงาลางๆ นั้น พอเข้ามาใกล้จึงทราบว่าเป็นชาวบ้านแถวนั้น หลวงปู่ฯ เลยถามว่าโยมจะไปไหน พวกเขาตอบว่าออกมาจากป่าจะเข้าหมู่บ้าน พวกเขาถามว่าท่านจะไปไหน หลวงปู่ฯ ตอบจะไปกกโพธิ์ พวกเขาเลยนิมนต์ไปพักที่วัด เห็นพวกเขาจับเต่าได้หลายตัวกระดองเต่ากระทบกันจึงทำให้เกิดเสียงดัง

พระปฐวีธาตุ หลวงปู่คำพันธ์

หลังจากนั้นถึงวัดได้ไหว้พระสวดมนต์ปฏิบัติกิจสงฆ์ พอรุ่งเช้าก็บินฑบาตรโปรดสัตว์จึงได้เดินทางต่อไป ตลอดวันผ่านบ้านค้อ เข้าเขตดงไม้ช้างและดงช้างตลอด ไม่พบหมู่บ้านเลย จนตะวันใกล้ตกดินก็ถึงบ้านนากลาง ได้ปักกลดในวัดร้าง นอกหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านได้เดินทางมานิมนต์ ให้ไปพักในวัดที่หมู่บ้าน เพราะเช้าวันนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านได้ถูกเสือกัด เมื่อกัดแล้วเสือยังวนเวียนอยู่ในบริเวณหมู่บ้าน ชาวบ้านพูดว่าถูกเสือกัดเพราะทำผิดเจ้าที่ ตามคำพูดของคนทรงเจ้า

พวกท่านเลยรับนิมนต์พากันมาพักในหมู่บ้าน เมื่อจัดที่พักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ไหว้พระทำสมาธิภาวนา หลวงปู่ฯกล่าวว่าในการปฏิบัติสมาธิภาวนา ของท่านนั้น เมื่อจิตสงบมีอารมณ์เป็นหนึ่งมักจะปรากฏนิมิตพบพระอินทร์เสมอ และจะเป็นเช่นนั้นอยู่เรื่อยๆ ตลอดเวลาที่เดินธุดงค์ ไม่สามารถแก้อารามณ์นี้ได้

เข้าเขตโขลงช้าง
การเดินธุดงค์ก็ดำเนินไปตามปกติหลังจากที่ออกบิณฑบาตร และฉันอาหารเสร็จเรียบแล้วก็ลงมือเดินทางต่อ การออกเดินทางในช่วงนี้แรกครึ้มด้วยไม้น้อยไม้ใหญ่ และเข้าสู่เขตป่าใหญ่เข้าไปเรื่อยๆ ตามสังเกตดูป่าทึบจนมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ และก็ได้พบกับนายพราน พวกเขาได้บอกว่าในช่วงป่าทึบข้างหน้า คือดงช้างผาวัง ขอให้ระวังตัวด้วยเพราะในดงนี้มีช้างโขลงใหญ่ ประมาณร้อยกว่าเชือกอาศัยอยู่

ช้างเหล่านี้ข้ามมาจากประเทศลาว พวกนานพรานเตือนด้วยความห่วงใย และได้แนะนำว่าหากพบกับโขลงช้างให้เคาะไม้ให้เกิดเสียงดัง หรือจุดไฟช้างจะตกใจหนีไป ห้ามวิ่งเด็ดขาด ในช่วงแรกฟังแล้วก็ตกใจเหมือนกัน แต่ในจิตมุ่งปฏิบัติธรรม ไม่เบียดเบียนใคร ยอมสละชีวิตเพื่อธรรมะ ทำให้ความกลัวนั้นลดลงไป ท่านพร้อมคณะเดินทางผ่านผาวัง ไปเรื่อยๆ ได้พบกับรอยโขลงช้างเดินผ่าน ต้นไม้เล็กๆ ล้มเป็นทางกว้างประมาณห้าสิบเมตร บางที่เห็นมีมูลช้างใหม่ๆ กองอยู่ บางครั้งได้ยินเสียงหักกิ่งไม้กินด้วยงวง

วันนี้ท่านทั้งสามรูป ได้เดินทางเข้าสู่หมู่บ้าน คือบ้านเต่าไห้ ได้เข้าพักที่วัดในหมู่บ้านนั้น พระที่วัดในหมู่บ้านให้การต้อนรับเป็นอย่างดี และได้เล่าถึงโขลงช้างในดง ที่ผ่านมาว่ามีช้างอยู่ตัวหนึ่งชื่อ อีดำ เป็นช้างดุร้ายมาก เมื่อสองวันก่อน มันได้พยายามทำร้ายนายพรานที่ไปนั่งห้างยิงสัตว์จนนายพรานตกจากห้าง แต่นายพรานมีไหวพริบจึงทิ้งผ้าห่มลงมาก่อนทำให้มันเข้าใจผิดคิดว่าคน มันเลยชน และเอางาแทงผ้าห่มขาดกระจุยหมด ตัวนายพรานต้องคลานหลบออกมา จึงเอาชีวิตรอดมาได้ ตามตัวอีดำเต็มไปด้วยกระสุนที่นายพรานยิง

ที่มา​ เล่าเรื่องพระ

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: