2284.เทพเจ้าแห่งน้ำทรง หลวงพ่อคำ วัดสุวรรณรัตนาราม(วัดหัวทะเล)

#สุดยอดพระเกจิเมืองสี่แคว
พระเกจิมากด้วยความเมตตาอภิญญากล้าแกร่งวิชาอาคมไม่เป็น๒รองผู้ใด ผู้มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ท่านมรณภาพแล้วสรีระท่านไม่เน่าเปื่อยครับ..คนนครสวรรค์พยุหะคีรียกให้ท่านเป็น “#เทพเจ้าแห่งน้ำทรง” ท่านเป็นลูกศิย์ #ของหลวงพ่อป๊อก จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งหลวงพ่อป๊อกเองก็เป็นพระเกจิยุคเก่า ไว้ผมจะเอามาให้ชมกันนะครับ..เกจิท่านนี้มีนามว่า…
#หลวงพ่อคำ ชาตสุโข วัดสุวรรณรัตนาราม(วัดหัวทะเล) จ.นครสวรรค์ เพจจดหมายเหตุพระเกจิขอนำเรื่องราวปฎิปทาของท่านมานำเสนอให้แฟนเพจได้อ่านกันครับ…

#ประวัติหลวงพ่อ
หลวงพ่อคำ ชาตสุโข พื้นเพเป็นชาวจังหวัดอ่างทอง เกิดเมื่อวันอังคาร เดือนสาม(กุมภาพันธ์) ปีมะเส็ง พุทธศักราช ๒๔๓๖ เป็นบุตรของคุณพ่อแสง แสงศรี และคุณแม่กลิ่น แสงศรีครอบครัวของท่านประกอบอาชีพทำนามาแต่เดิม มีพี่น้องร่วมกัน ๕คนคือ

๑.นางขลิบ
๒.นางเล็ก
๓.นายหาด
๔.นางหนู
๕. คือหลวงพ่อคำ

ซึ่งท่านเป็นคนสุดท้อง ต่อมาโยมพ่อของหลวงพ่อได้ออกบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดอัมพวัน อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ส่วนท่านเองก็ได้เป็นลูกศิษย์วัดปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อท่านมาตั้งแต่อายุ ได้ ๘ ขวบ

วันหนึ่งหลวงพ่อของท่านเตรียมอัฐบริขารเพื่อออกธุดงค์ ก่อนไปหลวงพ่อของท่านได้บอกกับท่านว่า “พ่อไปนะลูก” สิ้นคำเท่านั้นแล้วหลวงพ่อของท่านก็เดินดุ่มลงกุฏิ ท่านถามหลวงพ่อของท่านว่า “หลวงพ่อจะไปไหน” หลวงพ่อของท่านไม่ตอบยังคงมุ่งหน้าเดินออกจากวัดไป ท่านวิ่งตามและตะโกนถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สุดท้ายหลวงพ่อของท่านจึงหันมาพูดว่า “ถ้าพ่อไม่เจออาจารย์ดี พ่อจะกลับมาภายใน 1ปี แต่ถ้าพ่อเจออาจารย์ดี ก็อย่าคอยพ่อเลยนะลูก” แล้วท่านก็เดินออกจากวัดไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย

เมื่อหลวงพ่อคำโตเป็นหนุ่ม จึงได้ข่าวว่า บิดาของท่านรุกขมูลไปอยู่ถ้ำ ทางภาคเหนือชื่อบ้านสระหนองแว้ง บิดาของท่านนอนอาพาธอยู่คนเดียวในถ้ำแต่บ้างก็ว่านอนอาพาธอยู่กลางป่าสัก ชาวบ้านไปพบเข้าจึงนำท่านมารักษาตัวที่วัดอ้อมแก้ว อ.สวรรคโลก จนกระทั่งมรณภาพ

ก่อนมรณภาพชาวบ้านได้สอบถาม ชื่อ นามสกุล และชื่อญาติพี่น้องของท่านไว้ หลวงพ่อคำจึงทราบข่าวได้ในภายหลัง

ครั้งหนึ่งแม่ของหลวงพ่อคำ จะไปขอผู้หญิงมาเป็นภรรยาให้ท่าน แต่หลวงพ่อแอบไปได้ยินผู้หญิงคนนั้นใช้คำพูดรุนแรงขึ้นเสียงกับแม่ของตนเอง หลวงพ่อคำจึงบอกกับแม่ของท่านว่า “หญิงคนนี้ไม่ดี อย่าได้เอามาเป็นเมียเลย” ด้วยอุปนิสัยโน้มเอียงไปสู่การถือเพศพรหมจรรย์ ท่านก็เลยไม่มีภรรยาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

หลังจากบิดาของหลวงพ่อออกรุกขมูลแล้วหายสาบสูญไป หลวงพ่อคำได้ทำหน้าที่ของความเป็นบุตรผู้รู้กตัญญูกตเวทิตาคุณ ปรนนิบัติเลี้ยงดูผู้เป็นแม่มาโดยตลอด จนกระทั่งแม่ของหลวงพ่อถึงแก่กรรมเมื่ออายุ ๘๒ ปี

ขณะนั้นหลวงพ่ออายุ ๔๑ปี ท่านได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณครั้งสำคัญอีกครั้งโดยการโกนหัวบวชเณร หน้าไฟให้แก่แม่ของท่านที่วัดขุมทรัพย์ อ.เมือง จ.อุทัยธานี แล้วได้ไปหาอาจารย์บุตร ให้พาไปบวชพระที่วัดใหญ่ ต.ท่าฉนวน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท โดยมีหลวงพ่อปั้น วัดหาดทะนง เป็นพระอุปัชฌาย์ในปี ๒๔๘๒ หลังอุปสมบทแล้วท่านได้ไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อทิมวัดบ้านบน ต.ท่าน้ำอ้อย อ.พยุหะ จ.นครสวรรค์

ต่อมาในปี ๒๔๗๕ หลวงพ่อได้ออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือมุ่งหน้าเข้าสู่ประเทศพม่าเพื่อเสาะหา ศึกษาวิทยาความรู้ต่างๆ และกระทำบำเพ็ญความเพียรทางจิตอย่างจริงจัง
ประมาณปี ๒๔๘๙ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สงบ ท่านได้กลับมาจำพรรษาปรนนิบัติรับใช้ หลวงพ่อทิม วัดบ้านบน ผู้เป็นอาจารย์ตามเดิม

และในปีเดียวกันนั้นเองได้มีผู้ใจบุญผู้หนึ่งชื่อนายรัตน์ นุ่มทองคำ ได้มานิมนต์หลวงพ่อให้ไปช่วยสร้างวัดหัวทะเล ต.น้ำทรง อ.พยุหะ จ.นครสวรรค์

ที่ดินของวัดหัวทะเล เดิมเป็นที่ของนายถนอม นุ่มทองคำ ซึ่งเป็นพี่ชายของนายรัตน์ นุ่มทองคำ มีเนื้อที่ ๑๐ ไร่ ๑งาน แต่เดิมนั้นเป็นพื้นที่รกร้างเต็มไปด้วยป่าหญ้าคาและป่ายางหนาทึบจนแดดส่อง ไม่ถึง หลวงพ่อและลุงรัตน์ ได้เป็นกำลังสำคัญในการชักชวนชาวบ้านบ้าง พระจากวัดบ้านบนบ้าง ร่วมกันหักร้างถางพงบุกเบิกพื้นที่จนเป็นพื้นที่โล่งเตียน หลังจากนั้นลุงรัตน์จึงเริ่มนำวัตถุมงคลของหลวงพ่อคำ

บอกหาเงินสร้างกุฏิถวายหลวงพ่อไว้จำพรรษาได้ 1 หลัง และต่อมาลุงรัตน์ก็ยังได้นำวัตถุมงคลของหลวงพ่อบอกบุญหาเงินเพื่อสร้าง ศาสนสถาน ศาสนวัตถุต่างๆขึ้นมา จนกระทั่งมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง ทั้งนี้ก็ด้วยอำนาจบุญญาบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ในองค์หลวงพ่อและวัตถุมงคล ของท่านโดยแท้ (หากพิจารณาตามนี้จึงจะพอสันนิษฐานได้ว่าได้มีการริเริ่มสร้างวัตถุมงคลขึ้น มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๘๙ – ๒๔๙๐ เรื่อยมาตามลำดับ )

บุคลิกของหลวงพ่อนั้นหากมองจากหน้าตาท่าทางท่านดูเหมือนท่านจะเป็นคนดุ แต่แท้ที่จริงแล้วหลวงพ่อท่านมีอุปนิสัยอ่อนโยน เยือกเย็น มีอัธยาศัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สร้างความเชื่อถือศรัทธาและความซาบซึ้งตรึงใจ ให้กับผู้ที่เข้าไปพบปะกราบไหว้ได้อย่างดียิ่ง

มีคุณลุงท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า สมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่แกไปกราบหลวงพ่อซึ่ง เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกแล้ว แต่หลวงพ่อท่านก็ยังกล่าวทักทายต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีมิได้บ่ายเบี่ยง ด้วยเรื่องเวลาแต่อย่างไร และที่สำคัญหลวงพ่อท่านยังมีน้ำใจชงโอวัลตินให้ลุงดื่มด้วยตัวท่านเอง สร้างความปลาบปลื้มปีติใจให้แก่คุณลุงยิ่งนัก ใครมาใครไปท่านจะบอกให้ทานนู่นทานนี่เท่าที่จะมีอยู่ใกล้ๆตัวท่านอยู่เป็น ประจำ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในกุฏิท่านใครจะขอเอาไปใช้ทำประโยชน์อย่างไร ท่านให้โดยที่ไม่มีแสดงอาการห่วงหวงเลย

ท่านมีอัธยาศัยต้อนรับขับสู้เสมอภาคกันหมดไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่แบ่งยศถาบรรดาศักดิ์ ท่านจะทรงไว้ซึ่งพรหมวิหารธรรมอยู่เป็นนิจ และองค์ท่านก็มีจิตวิทยาในการโน้มน้าวจูงใจคนสูง ใครจะมีอุปนิสัยมาอย่างไร ท่านก็คุยเข้ากันได้กับทุกอุปนิสัย ท่านเข้าใจสนทนาหว่านล้อมจนกระทั่งสุดท้ายก็ต้องยอมลงให้แก่ท่าน ท่านก็ได้โอกาสสอดแทรกธรรมมะ หรือคติเตือนใจเข้าไปได้ ญาติโยมเข้ามาหาเครื่องรางของขลัง ท่านก็มักจะสอนให้ปฏิบัติที่ตัวเองมากกว่า

เช่นมาหานางกวัก ท่านก็ว่า “จะมาหานางกวักอะไรที่นี่หล่ะ ไปหานางกวักที่บ้านซิดีกว่าเยอะ” โยมก็ไม่เข้าใจว่านางกวักจะมีที่บ้านของเขา ได้อย่างไรก็เลยถามหลวงพ่อว่านางกวักที่บ้านเป็นยังไง หลวงพ่อท่านก็เฉลยให้ฟังว่า “ก็หัวจอบซิจ๊ะ ยิ่งใช้เท่าไรก็ยิ่งรวยเท่านั้น”

แม้แต่เรื่องทำบุญท่านก็ว่า “บุญน่ะไม่ใช่จะมาทำที่วัดกันอย่างเดียว กลับไปก็ต้องไปทำที่บ้านด้วย ขยัน อดทน ประหยัด ไม่สุรุ่ยสุร่าย ขยันให้เป็นหลัก ยกตัวอย่างโยมขยันทำนาได้ข้าวมาก ชาวบ้านเขาก็ว่า เอ้อ..ปีนี้มันได้ข้าวเยอะบุญของมันเน๊อะ นี่ไงเล่าบุญ”

และโดยเฉพาะเด็กๆท่านจะเอ็นดูมากถ้าท่านเห็น ท่านก็มักจะเรียกมาแจกพระบ้าง แจกขนมนมเนยบ้าง สังเกตได้ว่าเหรียญของท่านจะทำเป็นเหรียญเล็กๆขนาดกะทัดรัดสำหรับคล้องคอ เด็กๆได้เหมาะสม และเหรียญของท่านก็สร้างปาฏิหาริย์ให้กับเด็กๆมามากต่อมากด้วยเช่นกัน

ในคอเด็กๆในละแวกนั้นส่วนใหญ่จะมีเหรียญหรือไม่ก็ล๊อคเก๊ตของท่านเกือบทุกคน เด็กๆก็รักและเคารพนับถือท่านมาก บ้างก็ไปปัดกวาดเช็ดถู บ้างก็ไปบีบนวดให้ท่านท่านก็ได้โอกาสอบรมสั่งสอนคุณธรรมให้แก่เด็กๆไปในตัว

#เรื่องราวปฎิปทา

ในสมัยที่ท่านอยู่พวกหมา พวกไก่ใครมาปล่อยไว้หรือพัดหลงมาเองท่านก็มีเมตตารับเลี้ยงไว้หมด คำพูดคำจาของท่านออกจะนุ่มนวลและเป็นกันเองตามแบบฉบับลูกทุ่งโดยแท้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะดีร้ายอย่างไร ท่านจะว่า “ ดีจ๊ะดี ” หมด เคยมีโยมท่านหนึ่งมาบอกหลวงพ่อว่าไฟไหม้บ้านเขา

หลวงพ่อก็บอกว่า “ไฟไหม้ก็ดีซิจ๊ะ ก็จะได้บ้านใหม่ล่ะซิหว่า” น้ำท่วมอ้อยท่วมข้าวท่านก็ว่าดี “น้ำท่วมก็ดีซิจ๊ะ ก็จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาดูแลมันอีกไงล่ะ” อย่างนี้เป็นต้น เรื่องขันติธรรมท่านก็เป็นหนึ่งตลอดอายุสังขารในเวลาที่ท่านเจ็บป่วย ท่านไม่เคยออกปากขอความช่วยเหลือจากใคร และไม่เคยแสดงอาการให้ใครเห็น เคยมีลูกศิษย์จะพาไปหาหมอ ท่านไม่ยอมไป ท่านว่าของท่านว่า “เป็นเองก็หายเองซิหว่า”

ในด้านการขบฉัน ด้วยนิสสัยของพระปฏิบัติที่เคยถือธุดงค์เป็นวัตรทำให้ท่านมีปกติที่จะฉันแบบ เอกา คือการฉันในบาตรแต่อย่างเดียวไม่ใช้ภาชนะอื่น และฉันมื้อเดียว แต่เพื่อไม่ให้ขัดศรัทธาญาติโยมท่านก็ผ่อนปรนลงบ้างในกรณีที่มีกิจนิมนต์ฉัน เพลท่านก็สามารถฉลองศรัทธาได้ไม่ให้เสียกำลังใจญาติโยม

เวลาท่านออกบิณฑบาต ท่านจะมีบาตรของท่านติดตัวไปเพียงใบเดียวเท่านั้น ใครจะใส่หวาน ใส่คาว ก็เทใส่รวมลงไปในนั้น บางคนหวังดีไม่อยากให้กับข้าวปนกันเกรงว่าท่านจะฉันไม่ได้รส พอท่านรับบิณฑบาตแล้วลับหลังท่านก็แก้ถุงออกแล้วเทรวมลงไปตามเดิม ท่านบอกของท่านว่า “ อย่างนี้ฉันง่ายดีจ๊ะ ไม่ต้องไปคลุกเคล้า เดี๋ยวก็ลงไปเคล้ากันในท้องอยู่ดีแหละจ๊ะ”

เส้นทางที่ท่านใช้บิณฑบาตก็แปลกเช่นกันพอได้เวลาสักประมาณ ๔ – ๕ โมงเย็นท่านจะพาพระลูกวัดปัดกวาดทำความสะอาดทุกวันตั้งแต่ออกจากวัดจนกระทั่ง สุดเส้นทางบิณฑบาตทั้งขาไปและขากลับอยู่เป็นประจำ

ท่านเป็นพระขยัน นอกเสียจากเวลาปฏิบัติของท่านแล้ว ท่านมักจะทำนู่นทำนี่อยู่เสมอ กว่าจะเข้ากุฏิจำวัดได้ก็ค่อนข้างดึกบางคราวท่านก็นั่งปฏิบัติทั้งคืน หากจำวัดท่านก็ตื่นแต่เช้าประมาณตี 3 ทำกิจวัตรส่วนตัวทำวัตรสวดมนต์ตามปกติของท่าน สักประมาณตี 4 ท่านก็จะออกปัดกวาดบริเวณวัด พระลูกวัดรูปไหนยังไม่ตื่นท่านก็ไม่ดุไม่ว่าแต่ท่านจะไปเที่ยวกวาดอยู่ใน บริเวณใกล้ๆกุฏิของพระรูปนั้นนั่นเอง

นับว่าเป็นอุบายวิธีที่แยบคาย การจำวัดของท่านท่านจะจำวัดในท่าสีหไสยาสน์เสมอ จะเห็นได้จากรูปอิริยาบถต่างๆของท่านที่วัดสุวรรณรัตนาราม และด้วยปฏิปทาจริยาวัตรที่ท่านถือปฏิบัติบ่มเพาะบำเพ็ญเพียรมาอย่างอุกฤษฏ์ นี้เอง จึงเป็นผลให้วัตถุมงคลของท่านทรงอานุภาพศักด์สิทธิ์ แม้แค่เสกเป่าเพียงพ่วงเดียวก็ก่อให้เกิดความเข้มขลังมีประสบการณ์เป็นพยาน ยืนยันมาหลายต่อหลายราย

เมื่อจิตของท่านยังทรงกำลังฌานอยู่ ท่านจะกำหนดที่อะไรกะแสจิตก็ยิ่งไวต่อสิ่งนั้น ดังที่ชาวบ้านเกรงบารมีท่านกันนักหนาในเรื่องวาจาสิทธิ์ของท่าน ท่านพูดอย่างไรย่อมเป็นไปอย่างนั้นไม่มีพลาดเลย

ยกตัวอย่าง ท่านเห็นญาติโยมที่กราบลากลับไปขึ้นรถกันหมดแล้วแต่ยังไม่ทันได้สตาร์ท เครื่อง ท่านจึงทักว่า “ เอ้า..มันยังไม่ไปกันหรือหว่าน่ะ” ทีนี้เองเจ้าของรถจะสตาร์ทรถอย่างไรก็ไม่ติด พอท่านเห็นท่าไม่ค่อยดีท่านจึงกล่าวว่า “เออ..ไปกันได้แล้ว” เท่านั้นแหละรถก็สตาร์ทติดชึ่ง ได้อย่างง่ายดาย

ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เล่ากันว่าหากไม่ขออนุญาตท่านแล้วจะถ่ายรูปท่าน อย่างไรก็ถ่ายไม่ติด การล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความพิศวงงงงวยให้ กับบุคคลใกล้ชิดอยู่เสมอ

เช่น เรื่องของคุณหมอในตลาดพยุหะท่านหนึ่งมากราบหลวงพ่อเมื่อเสร็จธุระแล้วก่อน กลับคุณหมอก็กราบขอพรหลวงพ่อ แต่คราวนี้แทนที่หลวงพ่อจะให้พรตามปกติ หลวงพ่อกลับกล่าวทักขึ้นมาว่า เออ..ไปเถอะอย่างหมอเนี่ยถึงชนกันก็ไม่ตาย คุณหมอก็งงๆกับพรของหลวงพ่อเช่นกัน แต่เมื่อขับรถมาถึงสี่แยกพยุหะปรากฏว่ามีรถวิ่งเข้ามาชนรถคุณหมอจริงๆ สภาพรถยับเยินแต่คุณหมอไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างไร

……..ในเรื่องโชคลาภนั้นมีอยู่มากมายเช่นกัน อย่างเช่นคราวหนึ่งเมื่อนายโย มากราบหลวงพ่อแต่การกราบคราวนี้ต่างจากการเข้ามากราบทุกๆครั้ง เนื่องจากเมื่อนายโยก้มกราบหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อกลับใช้เท้าเหยียบลงไปบนหัวของนายโย สร้างความประหลาดใจให้กับนายโยเป็นอย่างมาก และในงวดนั้นนั่นเองปรากฏว่านายโยถูกล๊อตตารี่รางวัลที่ 1 อย่างไม่คาดคิด คราวนี้เองนายโยจึงเข้าใจพระคุณรอยเท้าหลวงพ่อที่ประทับลงมาบนศรีษะว่ามี ความหมายและเป็นศิริมงคลต่อตนอย่างไร

มีโยมคนหนึ่งมาขอหวยจากหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อก็ปฏิเสธบ่ายเบี่ยงว่าท่านไม่รู้หรอกว่าหวยมันจะออกเลขอะไรถ้า อยากรู้ก็ให้ไปถามกองสลากกินแบ่งโน่น โยมบอกว่าไปไม่ถูกแต่เขาได้เลข ๘๒ มาจากหลวงพ่ออื่น หลวงพ่อก็เลยควักแบงค์ ๒๐ ฝากโยมซื้อหวยเลขนั้นด้วย “งั้นข้าฝากซื้อ ๒๐ นะ” ชาวบ้านเห็นหลวงพ่อซื้อเลข ๘๒ ก็พากันซื้อเลข ๘๒ กันยกใหญ่ ปรากฏว่าหวยงวดนั้นออก ๒๐ ชาวบ้านได้ยินแล้วหงายท้องตามๆกันที่สำคัญความหมายของหลวงพ่อผิด

คุณลุงอีกท่านบ้านอยู่ทางวัดดงขวาง จ.อุทัยธานีเล่าว่า ตอนแกบวชแกไปสึกกับหลวงพ่อคำ(แกเล่าว่าตอนนั้นหลวงพ่ออยู่ที่วัดอีเติ่ง) แกแลเห็นกุฏิหลวงพ่อจุดเทียนสว่างจนดึกจนดื่นด้วยความสงสัยแกจึงแอบดู

ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านนั่งสมาธิตลอดทั้งคืน เมื่อตอนหัวค่ำหลังจากที่พระลูกวัดแยกย้ายกันไปจำวัดแล้วแกก็เห็นหลวงพ่อ เดินไปเดินมา เหมือนกับเดินจงกรมแต่แกก็ไม่ได้เอะใจอะไร ต่อเมื่อฟ้าสว่างท่านเดินผ่านกุฏิหลวงพ่ออีกครั้ง ทำให้ลุงแกถึงกับอึ้ง..เพราะปรากฎว่าหลังกุฏิหลวงพ่อเป็นลำคลองที่มีน้ำอยู่ เต็มตลิ่ง นอกจากนั้นลุงท่านนี้ยังเล่าว่าหลวงพ่อท่านกล่าวถึงหลวงปู่แหวนวัดดอยแม่ ปั๋ง เหมือนกับท่านไปมาหาสู่กันอยู่เสมอทั้งๆที่หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลย

#ประสบการณ์วัตถุมงคลท่านครับ

#ระเบิดวงไพ่ ( สัมภาษณ์เมื่อ ๒๙ เมษายน ๕๖ ) ประสบการณ์นี้ได้รับการถ่ายทอดจากผู้ใหญ่บรรจง กวางแก้ว อายุ ๕๘ ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ ๔ บ้านหลั่น ต.ท่าฉนวน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท หนึ่งในผู้รอดชีวิต หวุดหวิดราวปาฏิหาริย์ ในเหตุการณ์ระเบิดกลางวงไพ่ ที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๑

เหตุเกิดที่บ้านของนายสังวาลย์ คงมาก บ้านเลขที่ ๑๑๒ หมู่ ๔ บ้านหลั่น ต.ท่าฉนวน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท ขณะนั้นเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. มีการนัดเล่นการพนันสังสรรค์ ระหว่างเพื่อนบ้านมีผู้อยู่ในเหตุการณ์ขณะนั้นประมาณ ๑๐ กว่าคน ประกอบด้วยวงใหญ่ซึ่งกำลังเล่นไพ่ ประเภทประสมสิบ มีสมาชิกในวงทั้งหมด ๗ คน เรียงชื่อตามลำดับการนั่งดังนี้

๑. ผู้ใหญ่บรรจง กวางแก้ว(ผู้เล่า) ซึ่งขณะนั้นยังเป็นหนุ่มรุ่นอายุประมาณ ๒๑ปี ยังไม่ได้รับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน ๒.นายทองดี พุทธรักษา ๓. เด็กหนุ่มวัยรุ่นเจ้าของระเบิด (ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม) ๔.นางมาลี (ไม่ทราบนามสกุล) ๕.นายเล็ก (ไม่ทราบนามสกุล) ๖.นางละเมียด ฟั่นนาง ๗. นายช้าง ชังชั่ว ส่วนคนอื่นๆนอกจากนี้ อยู่ในบริเวณรอบๆวง

เหตุเกิดเพราะเด็กหนุ่มวัยรุ่นหนึ่งในผู้เล่นที่นั่งเล่นอยู่ในวงใหญ่ พกพาระเบิดติดตัวมาด้วยเป็นระเบิดชนิดลูกเกลี้ยง แต่เป็นระเบิดชำรุดซึ่งเจ้าตัวใช้หนังสติ๊กรัดกระเดื่องเอาไว้ มิหนำซ้ำยังอยู่ในอาการมึนเมา เมื่อนั่งเล่นได้สักพักคงจะเกิดอาการเมื่อยเจ้าตัวจึงขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถและอาจจะด้วยรู้สึกรำคาญลูกระเบิดที่เจ้าตัวใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ด้านหน้า

จึงล้วงลูกระเบิดออกจากกระเป๋ากางเกง แต่ด้วยอาการมึนเมาจึงทำให้ลูกระเบิดลื่นหลุดมือ ระเบิดที่ชำรุดอยู่แล้วก็เกิดระเบิดขึ้นท่ามกลางวงไพ่ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้ชาวบ้านที่กำลังรูดข้าวอยู่ในขณะนั้นและชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงต่างวิ่งกรูกันมายังสถานที่เกิดเหตุอย่างแตกตื่น สิ้นเสียงระเบิดปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตทันที ๓ ศพ

คือ ๑.เด็กหนุ่มเจ้าของระเบิด ๒.นางมาลี ๓.นายเล็ก สภาพศพเละเทะน่าสยดสยอง บาดเจ็บสาหัส ๓ คน หลังนำส่งโรงพยาบาลแล้วเสียชีวิตอีกหนึ่งคน รวมเสียชีวิตทั้งสิ้น ๔ ศพ นอกนั้นก็บาดเจ็บชนิดเลือดตกยางออกมีบาดแผลกันทุกคนมากบ้างน้อยบ้าง แต่ปรากฏว่ามีอยู่ ๔ คนที่ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดเลย คือ ๑.นายทองดี พุทธรักษา ๒.ผู้ใหญ่บรรจง กวางแก้ว ๓.นายช้าง ชังชั่ว ๔.เด็กชายจำรัก ร้องรำ (ลูกชายของนางมาลี) และที่สำคัญบุคคล ๓ ใน ๔ นี้เป็นผู้เล่นที่นั่งเล่นอยู่ในวงใหญ่ใกล้กับจุดที่ลูกระเบิดตกเพียงไม่กี่คืบ

โดยเฉพาะนายทองดี พุทธรักษา ซึ่งนั่งอยู่ติดกับเด็กหนุ่มเจ้าของระเบิดที่เสียชีวิตคาที่ร่างเละ แต่นายทองดีกลับไม่มีบาดแผลแต่อย่างใดเลย ทั้งๆที่สะเก็ดระเบิดพุ่งเข้าประทะอย่างจังทั้งแถบตั้งแต่น่องขา โคนขา ชายโครง จนถึงกกหู ความแรงของระเบิดทำให้ด้ามปืนที่นายทองดีพกมาด้วยฉีกกระจุย แต่ร่างกายของนายทองดีไม่ปรากฏบาดแผลแต่อย่างใด มีเพียงรอยไหม้เป็นจ้ำๆคล้ายโดนธูปจี้ ในเอวของนายทองดีมีตะกรุดโทนเชือกดิบติดตัวอยู่ดอกเดียว

ส่วนผู้ใหญ่บรรจง กวางแก้ว นั่งต่อจากนายทองดี ด้านหลังของผู้ใหญ่เป็นเสาบ้าน สภาพของเสาบ้านปรากฎรอยแผลที่เกิดจากแรงสะเก็ดระเบิดพรุนไปทั้งเสาคล้ายถูกสิ่วสกัด แต่ตัวของผู้ใหญ่เองไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ไม่ทราบสะเก็ดระเบิดรอดตัวแกแล้วไปโดนกกเสาได้อย่างไร เช่นเดียวกันกับนายช้าง ชังชั่วซึ่งนั่งต่อจากผู้ใหญ่ฯ ก็ไม่ได้รับอันตรายแม้ปลายเล็บเช่นกัน ในคอของบุคคลทั้งสองมีเพียงรูปหล่อหลวงพ่อคำรุ่นแขนทะลุ (ผู้ใหญ่เรียกรุ่นจักกะแร้โบ๋) คนละองค์เท่านั้น

ส่วนเด็กชายจำรัก ร้องรำลูกชายของนางมาลี ซึ่งก็นั่งอยู่ใกล้ๆกับนางมาลี ก็ไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใดเช่นเดียวกัน ผู้ใหญ่ฯจำได้คร่าวๆว่าเด็กชายจำรักมีล๊อคเกทหลวงพ่อคำติดตัวอยู่ เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อคำดังยิ่งกว่าเสียงของระเบิดไม่รู้จักกี่เท่าตัว เรื่องเล่าจากปากต่อปากขจรขจายออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนทั่วสารทิศต่างหลั่งไหลไปยังวัดสุวรรณรัตนาราม (หัวทะเล) ไม่ขาดสาย เพื่อบูชาของดีของหลวงพ่อครับ

#สำหรับข้อห้ามในการใช้เครื่องรางของขลังของหลวงพ่อ
……ท่านไม่มีข้อห้ามยุ่งยากเหมือนหลวงปู่หลวงพ่อท่านอื่นๆเลย ท่านห้ามผิดศีลข้อ 3 เป็นหลัก และก็ห้ามด่าพ่อด่าแม่ เท่านั้นเอง ท่านว่า ทองคำอย่างไรก็เป็นทองคำ ตกน้ำก็เป็นทองคำ ตกไฟละลายแล้วก็ยังเป็นทองคำ อยู่วันยันค่ำ

ความมหัศจรรย์ในองค์ท่านผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวว่าเล่าวันนึงก็ไม่หมด ด้วยเหตุที่หลวงพ่อเป็นพระผู้นั่งอยู่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของชาวบ้านทุก เพศทุกวัยจึงพูดได้เต็มปากว่าท่านเป็นเสมือนหนึ่ง “#เทพเจ้าแห่งน้ำทรง”

หลวงพ่อคำ ท่านเป็นพระเกจิอยู่ที่ อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ซึ่งก็ถือว่าเป็น๑ในหลายๆเกจิในนครสวรรค์ ที่ศีลจารวัตรงดงามและนับถือท่านมากๆก่อนที่ท่านจะมรณะ ท่านจำวัดอยู่ที่ วัดสุวรรณรัตนาราม อ.พยุหะคีรี หลวงพ่อท่านมรณภาพวันที่๑๐มีนาคม พ.ศ ๒๕๓๒ สิริอายได้ ๙๖ปี๕๐พรรษาแต่พอท่านเสียบรรดาญาติ จึงนำสรีระของท่านมาอยู่ที่ วัดหนองหม้อ อ.ตาคลี จนถึงปัจจุบันนี้ครับ…ท่านใดผ่านไปก็อย่าลืมแวะกราบสรีระสังขารของท่านได้นะครับ..

ที่มา​ จดหมายเหตุพระเกจิ

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: