2183.คุณแม่บุญเรือน เข้านิโรธสมาบัติ ครั้งสุดท้าย ที่พระแท่นดงรัง

พระแท่นดงรัง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เข้านิโรธสมาบัติ ครั้งสุดท้าย ( การเข้านิโรธครั้งนี้ พิเศษ ศักดิ์สิทธิ์แลอัศจรรย์ยิ่ง )

ปี พ.ศ. 2499 คุณแม่บุญเรือน กับคณะศิษย์ ได้เดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง ที่ จ. กาญจนบุรี

เมื่อคณะเดืนทาง ถึงพระแท่นดงรัง แม้จะถึงเป็นเวลาค่อนข้างดึกอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังมีผู้คนพลุกพล่านมากพอดู

เนื่องด้วยกำลังอยู่ในช่วงเทศกาลนมัสการพระแท่นดงรัง อยู่พอดี มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลมาร่วมงานนมัสการ กันอย่างคับคั่ง มีทั้งที่มาจากตัวเมืองกาญจนบุรีเอง หรือจังหวัดอื่นๆ ทั้งใกล้และไกล ซึ่งประเพณีนี้ ได้มีติดต่อสืบเนื่องกันมานานเป็นร้อยๆ ปีแล้ว….

พอไปถึงวัดพระแท่นดงรัง คุณแม่บุญเรือนก็นำคณะศิษยานุศิษย์เข้าไปภายในวิหารพระแท่น ซึ่งมีหินแท่งทึบหน้าลาด รูปพรรณสัณฐานคล้ายกับแท่น หรือที่นอน

ที่นี้บรรดาชาวบ้านชาวเมือง ต่างเชื่อว่า นี้แลคือ สถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางหรือหัวใจหลัก ของปูชนียสถานแห่งนี้
และภายในพระวิหารนี้เอง

ยังมี “รอยพระพุทธบาทไม้แกะ” สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ซึ่งปูลาดและห่อหุ้มขอบข้างด้วย “ชินตะกั่วโบราณ” อายุนับได้กว่า ๑๕๐-๒๐๐ ปีประดิษฐานอยู่เคียงข้างกับ “พระแท่น” ด้วย อันเป็นที่มาแห่ง “ชินตะกั่วเก่า” ที่ทางวัดได้นำมาจัดสร้าง “พระนางพญา เนื้อชินตะกั่วโบราณ” นั่นเอง

เมื่อเข้าไปนั่งเป็นที่เรียบร้อยกันเป็นอย่างดีแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ก็จุดธูปเทียนถวายเป็นพุทธบูชา แล้วท่านกับคณะ ไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ค่ำอีกครั้ง หลังจากที่ได้สวดกันมาก่อนแล้วครั้งนึงบน รถระหว่างเดินทางมา

“อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา..ฯลฯ…”

กระแสเสียงของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อันกังวานชัดเจน ก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งวิหารพระแท่นดงรัง

ขานรับด้วย สรรพสำเนียงสวดของเหล่าสานุศิษย์ และพุทธศาสนิกชนอีกจำนวนไม่น้อย ที่มานมัสการพระแท่นดงรังและถือโอกาสมาร่วมทำวัตรค่ำ กับคณะ “สามัคคีวิสุทธิ” ด้วย

ในคืนค่ำดึกสงัดของวันเพ็ญมาฆมาส กล่าวกันว่า เสียงที่เจริญพระพุทธมนต์ในคราวนั้น ดูจะดังหนักแน่นและกึกก้องกังวานเป็นพิเศษ ยิ่งกว่าวันเวลาในครั้งไหนๆ ที่ผ่านมาแล้วทั้งสิ้น

การทำวัตรสวดมนต์ในวิหารพระแท่นดงรังในยามนั้น เล่ากันว่า ออกจะมีรสชาติสนุกสนานเบิกบานในธรรมเป็นพิเศษ ไม่มีการสวดมนต์ครั้งใดจะเสมอเหมือนเลยทีเดียว

และเมื่อเสร็จจากการทำวัตรสวดมนต์ ณ วิหารพระแท่นดงรังในคืนนั้นแล้ว คุณแม่บุญเรือนก็นำคณะศิษย์ตรงไปยังเขาถวายพระเพลิง ซึ่งอยู่ห่างจากวิหารพระแท่นดงรังไปทางทิศตะวันตกไม่ไกลนัก มีบุคคลภายนอกติดตามไปด้วยเป็นจำนวนมากพอดู

เข้านิโรธสมาบัติที่เชิงเขาถวายพระเพลิง

“เขาถวายพระเพลิง” สถานที่นี้ เป็นจุดที่สำคัญยิ่งอีกแห่งหนึ่งของวัดพระแท่นดงรัง มีลักษณะเป็นเนินเขาย่อมๆ สูงประมาณ ๕๕ เมตร บนยอดเนินนี้มีมณฑปทรง ๑๒ เหลี่ยม ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง

กล่าวกันว่า มณฑปนี้ สร้างครอบเชิงตะกอนที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระคราวเสด็จดับขันธปรินิพพาน และ ณ เชิงเขาถวายพระเพลิงนี่เอง คุณแม่บุญเรือนได้กระทำพิธี “เข้านิโรธสมาบัติ” อยู่เป็นเวลา ๑๕ นาที

อันเป็นการเข้า “นิโรธสมาบัติแบบพิเศษ” ที่ไม่ซ้ำแบบหรือเหมือนกับท่านผู้ใดทั้งสิ้น (ที่ปกติจะเข้ากัน ๗ วัน)

เชื่อกันว่า การเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนนี้ เป็นปฏิปทา หรือแนวทางในการช่วยเหลือศิษยานุศิษย์ของท่าน

โดยเมื่อคุณแม่บุญเรือน คิดจะ “อนุเคราะห์” ช่วยเหลือเขาเหล่านั้นเป็นพิเศษเมื่อใด ในโอกาสที่ได้ไปประกอบพิธีกรรมทางสถานที่สำคัญต่างๆ คุณแม่บุญเรือนก็จะมีการเข้านิโรธสมาบัติ ณ ที่นั้นตามสมควร

ซึ่งตามที่มีการเล่าขานมา การเข้านิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือน จะมีทั้งหมดเพียง ๔ ครั้งเท่านั้น โดยมีการเข้านิโรธฯ ที่วัดพระแท่นดงรังเมื่อคืนวันเพ็ญ เดือน ๔ ปีพ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นครั้งสุดท้ายที่สุดดังกล่าวไว้

แม้คุณแม่บุญเรือน จะไปเข้านิโรธสมาบัติที่เชิงเขาถวายพระเพลิง ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากวิหารพระแท่นดงรังหลายสิบเมตรอยู่ แต่เพราะเหตุที่ “อำนาจจิต” ย่อมไม่อาจมีสิ่งใดกีดกั้น

สมดังที่หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเคยกล่าวเอาไว้ว่า “แม้ภูเขาหนานับเป็นแสนโยชน์ ( ๑,๖๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร) ก็กั้นพลังจิตไว้ไม่ได้” ประกอบกับที่วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรี แห่งนี้

เป็นสถานที่ที่คุณแม่บุญเรือนได้เลือก ที่จะเข้า “นิโรธสมาบัติ” เพื่อช่วยเหลือลูกๆ หลานๆ ของท่านให้สำเร็จประโยชน์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยตัวของท่านเอง

อานุภาพของพลังแห่งนิโรธสมาบัติ

พลังงานแห่งจิตพระอริยเจ้าของคุณแม่บุญเรือน ขณะทรงอยู่ใน “สัญญาเวทยิทนิโรธ” หรือ “นิโรธสมาบัติ” ที่ทรงพลานุภาพอย่างมหาศาล ไม่มีสิ่งใดจะปิดกั้นต้านทาน จึงแผ่ซ่านครอบคลุมทุกสรรพสิ่งในเขตวัดพระแท่นดงรังไว้ทั้งสิ้น

เรื่องนี้ แม้หลวงพ่อกัสสปมุนี วัดปิปผลิวนาราม อ.บ้านค่าย จ.ระยอง พระอริยเจ้าชั้นสูงที่เคยเข้านิโรธสมาบัติมาหลายครั้งก็กล่าวรับรองว่า “พลังแห่งนิโรธสมาบัติ” นั้น จะครอบคลุมไปทั้งภูเขาท่านเลยทีเดียว

ทุกคนทุกสรรพสิ่ง ก็ย่อมพลอยได้รับอานิสงส์ของพลังแห่ง “นิโรธสมาบัติ” ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมในค่ำคืนวันนั้นไปทั้งสิ้นอย่างไม่มีใดต้องสงสัย ดังที่ได้ปรากฏเหตุแห่ง “ปาฏิหาริย์” ยืนยันการดังกล่าวกับตัวของ “ศิษย์” ของคุณแม่บุญเรือนท่านหนึ่ง

ซึ่งแม้จะนั่งอยู่ห่างๆ แต่เมื่อโดนอัดด้วยกระแส พลังนิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนเข้าอย่างจัง ทำให้ “ศิษย์” คนนั้น ถึงกับได้ “ตาทิพย์” มองเห็นสิ่งอันพ้นวิสัยมนุษย์สามัญจะพึงเห็นได้ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน

ในวันที่คุณแม่บุญเรือนเข้านิโรธสมาบัติครั้งสุดท้าย ที่วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรีนั้นเอง ก็ได้ปรากฏเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดกับบุคคลคนหนึ่ง

ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะ “สามัคคีวิสุทธิ” ที่ติดตามคุณแม่บุญเรือนไปยังวัดพระแท่นดงรังในคราวเดียวกันนั้นนั่นเอง ซึ่งมีชื่อว่า “นายผัน” ชาวตำบลย่านยาว อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี (ถึงแก่กรรมไปหลายปีแล้ว) นายผันผู้นี้ มีอาชีพเป็นแพทย์ประจำตำบล ผู้คนจึงนิยมเรียกกันจนติดปากว่า “หมอผัน”

“หมอผัน” หรือนายผันได้เล่าให้บรรดาพรรคพวกเพื่อนฝูงที่เดินทางไปด้วยกันฟังว่า ขณะที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติมกำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่นั่นเอง ตัวเขาก็ได้นั่งสมาธิในจุดที่ไม่ห่างไกลไปพร้อมกันด้วยฉับพลันนั้นเอง

โดยไม่คาดฝันมาก่อน ก็ได้ มีลำแสงชนิดหนึ่ง พุ่งออกมาจากร่างของคุณแม่บุญเรือนตรงมายังตัวของหมอผันที่กำลังนั่งสมาธิ อยู่นั้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงปานสายฟ้าฟาด!

และ พอลำแสงแห่งนิโรธสมาบัติของคุณแม่บุญเรือนมากระทบตัวกับหมอผันเพียงเท่านั้น ก็เกิดแสงสว่างโชติช่วงชัชวาลในตัวของเขาในบัดดลนั้นเอง!

และในทันใด หมอผันก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆที่เร้นลับ นอกเหนือสายตาปกติของมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปจะเห็นได้

“หมอผัน” จึงกลายเป็นคนได้ “ตาทิพย์” ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ด้วยอำนาจ “นิโรธสมาบัติ” ของคุณแม่บุญเรือนในบัดเดี๋ยวนั้นเอง

( กราบคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ด้วยเศียรเกล้า )

ข้อมูลและภาพจาก โลกทิพย์
ที่มา​ ศักดิ์สิทธิ์

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: