1845.หลวงพ่อเกษม “ผ่าได้ แต่ไม่ต้องวางยาสลบ และก็ไม่ต้องฉีดยาชาด้วย เราจะเจริญสมาธิ”

เรื่องจากเวปสวนขลัง.. เขียนโดย
คุณ hengjia หลวงปู่เกษม เขมโก
สอนถึงเรื่องกรรมน่าสนใจดีครับ…

ในฐานะที่เป็นคนลำปาง และมีโอกาสได้ใกล้ชิด ตุ๊ป่อ(หลวงพ่อ) ซึ่งท่านจะเทศนาให้บรรดาลูกศิษย์(กลุ่มโยมอุปัฏฐากที่เป็นผู้หญิงสูงอายุ นำโดยเจ้าป้า(น้องสาวหลวงพ่อ)) ที่จะมาถือศีลอุโบสถ และนอนที่ศาลาใกล้ๆกับกุฎิของหลวงพ่อ ซึ่งผมก็ได้มีโอกาส ฟังเทศนาแทบทุกครั้ง ยกเว้นติดเรียนไม่สามารถไปทัน ข้อธรรมที่ท่านจะเทศนาจะแตกต่างจาก พระทั้งหลายที่เรียนพระไตรปิฎกแล้วจับเอาประเด็นมาขยายความ เป็นต้นว่า หากหลวงพ่อจะเทศนาเรื่องกรรม และการจะให้กรรม สิ้นสุดในชาตินี้ ท่านก็จะยกตัวอย่าง ง่ายๆพร้อมทั้งให้ปฎิบัติไปด้วย เช่น

ตุ๊เจ้า “ป่อออก แม่ออกศรัทธา ฮู้ก่อว่ากำมัน เกิดจากไหน เริ่มเมื่อใด”
แปล หลวงพ่อ “โยมผู้ชายและโยมผู้หญิง รู้ไหมว่ากรรมเกิดขึ้นและเริ่มต้นอย่างไร”

ตุ๊เจ้า “ตุ๊จะอู้หื้อฟัง แล้วก่ะหื้อกึ๊ด พิจารณาผ่อเน้อ”
แปล หลวงพ่อ “หลวงพ่อจักเทศน์ให้ฟัง และให้โยมพิจารณาตามไป”

ตุ๊เจ้า “กำมุนาวัตตะตีโลโก๋ สัตว์โลกย่อมเป๋นไปตามกำ กำย่อมเ้กิดขึ้นตั้งอยู่และก่ะดับไปสืบภพสืบชาด หมุนวนไปตามวัดตะจักร”
แปล หลวงพ่อ”กัมมุนา วัตตะตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยูและดับไป ตามภพชาติแห่งการเกิดของสัตว์โลก หมุนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่มีสิ้นสุด”
แล้วท่านก็เทศน์ไปเรื่อยๆโดยให้เรานั่งกัมฐานพิจารณาในสิ่งที่ ท่านเทศน์ จนเมื่อก่อนที่จะจบการเทศน์ ท่านก็ให้เราออกจากการทำกัมฐาน แล้วเตรียมหยุดกรรม เสียชาตินี้ โดยท่านให้นั่งเป็นวงกลม ทั้งโยมผู้หญิงและชาย ต่อๆกัน(กลุ่มสวดมนต์หลวงพ่อจะมีไม่เกิน20คน และผมเด็กสุดขณะนั้นก็ประมาณ 16-17 ปี)

แล้วหลวงพ่อก็ให้ยกแขนขึ้น งอนิ้วมือเข้าหากันทำเป็นก้อนมะเหงก

ตุ๊เจ้า “เอาละ เน้อกำนี้ถ้าหากตุ๊ป่อบอกหื้อ ยะอะหยังก่ะยะตวยเน้อ บ่อดีเหลียกำหนา” หลังจากนั้นก็ได้เทศน์ต่อว่า “คนตางหลังเป็นเก๊า เอามะเหงกวัดหัวคนตางหน้า และก่ะคนตางหน้าวัดหัวคนตางหน้าต่อๆกั๋นไปติก ติ๊กๆ”

แปล หลวงพ่อ “เอาละทีนี้ หากหลวงพ่อสั่งให้ทำอะไรก็ให้ทำอย่างนั้นห้ามขัดคำสั่งเด็ดขาด” ……”คนข้างหลังเอามะเหงกเข็กหัวคนอยู่ด้านหน้าและคนต่อๆไปก็เข็กต่อๆกันไปเรื่อยๆ”

ตอนแรกก็กล้าๆกลัวๆเพราะ ไอ้คนที่อยู้หลังสุดก็ผมนั่นเอง และในฐานะที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาคนในสถานที่นั้น (ท่านอื่นๆ 60 อัฟทั้งนั้น) ก็เลยไม่กล้าที่จะทำตามที่หลวงพ่อบอก จึงมีเสียงพูกผ่านลำโพงมาอีกว่า(หลวงพ่อจะเทศน์ผ่านลำโพงมาจากกุฎิ) “ตู๊บอกว่าจะใด หื้อยะต๋ามกำตี่บอกบ่อใจ่กา” แปล “บอกให้ทำตามที่สั่งทำไมไม่ทำละ”

ผมจึงจำเป็นต้องยกมือไปเคาะที่ศรีษะคนด้านหน้าเบาๆ แล้วก็ยกมือไหว้ขอโทษยายคนที่ผมเคาะ แต่เสียงก็ดังผ่านลำโพงมาอีกว่า “วัดก่อยม๊อกอั้น จะเป็นกำอย่างใด แฮงแฮ้มหน้อยก่า” แปล “เข็กเบาอย่างนั้น ไม่เรียกว่าเป็นกรรมหรอก ให้แรงอีกหน่อย”

ผมจึงต้องยกมือไหว้ขอโทษยายอีกครั้งพร้อมทั้งเข็กลงไปดังป๊อก พร้อมทั้งหลับตาปี๋ทันที สักพัก ผมก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อ มะเหงก ได้ตกลงมาบนกรบาลผมดังโป๊ก ด้วยความเจ็บเลยลืม อาวุโส เล่นยายคนเดิมดังโป๊กเช่นกัน คราวนี้ยายหันมาเข็กผมคืน ดังโป๊กๆ สองทีพร้อมทั้งถลึงตาใส่อาฆาตให้อีก แล้กหันไปเข็กคนข้างหน้าดังกว่าหนแรก ด้วยเพราะอยากเอาคืนบ้าง

ส่วนผม นอกจากจะโดนเข๊กไปสองทีแล้ว เดี๋ยวสักพักก็คงโดนอีกหนึ่งทีเพำราะเสียงกำลังใกล้เข้ามาแล้ว และหนนี้หากผมไม่ตั้งสติให้ดีๆ ก็อาจะโดนสามเด้งเหมือนเดิม จึงหลับตาและคิดถึงเรื่องที่หลวงพ่อเทศน์เมื่อก่อนหน้านี้ และด้วยความที่อาวุโสน้อยที่สุดและพวกบรรดายายๆทุกคนก็ให้ความเมตตาผม อยู่เสมอๆ ผมจึงไม่อยากจะเขกหัวท่านอีกในรอบที่จะถึง เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงตั้งท่าเตรียมรับ มะเหงกมะหาประลัยจากคนข้างหลัง

“โป๊ก!” น้ำตาเล็ดเลยคราวนี้ พร้อมกับอารมณ์โกรธขึ้นมาทันที และกำลังจะเอื้อมมือออกไปแก้คืน พลันก็มีเสียงกระแอมผ่าน
ลำโพงเบาๆ ทำให้ผมมีสติยั้งมือได้ทันที่จะถึงหัวคุณยายด้านหน้าที่ย่อคอรอรับอยู่

เพียงอึดใจเดียว แต่เหมือนนานนับสิบนาที ที่ห้องทั้งห้องเงียบกริบ คนข้างหน้าเริ่ม เหลียวหลังกลับมาทีละคน เพราะระยะเวลามันนาน ผิดปกติ สุดท้ายทุกคนก็ส่งสายตามาหยุดที่ผม พร้อมทั้งใช้สายตาและใบหน้าพะยักพะเยิด ให้ผมรีบเขกเสียที เดี๋ยวหลวงพ่อจะดุเอาอีก แต่ผมก็ส่ายหน้าไม่ยอมเขกอีก

พลันก็มีเสียงหลวงพ่อผ่านลำโพงมาถามว่า “(นับแต่นี้ขอเขียนเป็นภาษากลาง) อ้าวทำไมหยุดอยู่ละ ก็หลวงพ่อบอกให้เขกไปเรื่อยๆ จนว่าจะบอกให้หยุดไม่ใช่หรือ” เงียบ เงียบ เงียบ ไปอีกอึดใจใหญ่ๆ

หลวงพ่อ “เอาหยุดที่ใครและใครไม่เขกต่อ และหยุดทำไม” เจ้าป้าจึง จำเป็นต้องกด อินเตอร์คอมตอบหลวงพ่อไปว่า

เจ้าป้า “อั๋น ยุดตี่ไอ้น้อยเจ้า(หยุดที่เด็กค่ะ) และก่ะไอ้น้อย ก่ะ บ่อ ยอมวัดต่อเจ้า” เจ้าป้ารายงาน ให้หลวงพ่อทราบ จากนั้นหลวงพ่อก็ถามต่ออีกว่า

หลวงพ่อ “ว่าอย่างไร เราหรือเป็นคนหยุด และไม่ยอมเขกต่อ ตามคำสั่งหลวงพ่อ” ผมเสียววาบ เนื้อตัวสั่นขึ้นมาทันใด

หลวงพ่อ “อ้าวว่าอย่างไร ไหนลองบอกออกว่าหน่อน ซิ ว่ามีเหตุุผลอะไร” เสียงนั้นกลับแฝงด้วยความอบอุ่นและเมตตาอย่างประหลาด

ผม “ก็ เอ่อ…..??? ผม กลัวครับ” ผมตอบไปเท่าที่คิดได้ หลวงพ่อถามต่ออีกว่า “กลัวอะไร ทำไม”
ผม “กลัวเวรกรรม กลัวบาป กลัวยายเจ็บ กลัวยายโกรธ ครับหลวงพ่อ” ผมตอบออกไป เท่าที่ๆคิดออก

หลวงพ่อ “แล้วอย่างไร เราจะยอมเจ็บ โดยไม่เอาคืนอย่างนั้นหรือ ไม่เสียดายหรือที่โดนเค้าทำให้เจ็บและก็มีโอกาสเอาคืน แต่กลับปล่อยดอกาสนั้นไป” หลวงพ่อถามกลับมาค่อนข้างยาว (ในความคิดผมขณะนั้น)

ผม “ครับ ช่างมันเถอะครับไม่เป็นไร ขาดทุนก็ไม่เป็นไร แต่ผมก็คงเขกต่อไปไม่ได้ แม้ว่าโอกาสจะทำได้” ผมตอบออกไปด้วยคำพูดที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว

หลวงพ่อ “อั้น ก่ะเป๋น คนง่าว นะก่ะ ดดนเปิ้นยะแล้วบ่อ เอาคืน” (อย่างนั้นก็เป็นคนโง่นะซิที่โดน คนอื่นทำให้ตัวเองเจ็บแล้วไม่เอาคืน) หลวงพ่อพูดและถามต่ออีกว่า “แล้ว สูโขดก่อ ใจสูกึดโขดก่อ” (แล้วผมมีความโกรธไหม ในใจผมคิดอาฆาตไหม”

ผม “ไม่โกรธครับ และก็ไม่คิดอาฆาตด้วยเพราะ ไม่รู้จะคิดแค้นอาฆาตไปทำไมกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เจ็แป๊บเดียวเดี๋ยวก็หายครับ”

หลวงพ่อ “ดีแล้ว ถูกแล้ว นั่นแหละ การหยุดกรรม หยุดภพหยุดชาติ จบการเวียนว่ายในกองทุกข์ที่ไม่มีสิ้นสุด ด้วยการไม่โต้ตอบ ผู้ที่ทำกับเรา และหยุดความอาฆาตทั้งทางกายและใจ นั่นจึงเป็นการหยุด กรรมที่จะต้องติดตามไปในชาติอื่นไม่มีที่สิ้นสุด เอวังก็ขอจบพระธรมมเทศนา เป็นข้อคิดเตือนสติ เป็นแนวทางในชีวิต ที่จะสิ้นสุดการสืบกรรมข้ามภพข้ามชาติ ด้วยประการละชะนี้และ สาธุ อนุโมทามิ”

เป็นอย่างไรครับกับเรื่องเล่าที่ฝังลึกในความทรงจำ แม้ระยะเวลาจะผ่านไปกว่า 20 ปี ผมก็ยังจำเหตุการณ์ครั้งนั้นได้เหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง

และเคยมีนายแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์ลำปาง สมัยนั้นเล่าให้ฟังว่า “ในคราวที่หลวงพ่ออาพาธ เกี่ยวกับระบบเส้นประสาท และจำเป็นจะต้องเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขอาการ โดยผ่าทางด้านหลังที่บริเวณใกล้ๆกระดูกสันหลังของหลวงพ่อ

แพทย์จำเป็นจะต้องวางยาสลบ เพื่อทำการผ่าตัด จึงได้กราบเรียนหลวงพ่อ ในเรื่องการผ่าตัดและวางยาสลบ

แต่คณะแพทย์ ก็ต้องตกใจ เมื่อหลวงพ่อกลับบอกมาว่า ผ่าได้ แต่ไม่ต้องวางยาสลบ และก็ไม่ต้องฉีดยาชาด้วย เราจะเจริญสมาธิ
แล้วให้ทำการผ่าได้เลย เมื่อได้ฟังที่หลวงพ่อบอก คณะแพทย์ก็มีความกังวลเป็นอย่างมาก เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่วางยาสลบ เพราะเป็นการผ่าตัดใหญ่ แม้แต่แค่ฉีดยาชาก็เถอะ ไม่สามารถจะระงับความเจ็บปวดที่เป็นผลจากการผ่าได้แน่นอน
แต่ด้วยหลวงพ่อ ยังคงยืนกรานให้ทำดั่งที่ท่านว่า คณะแพทย์จึงจำต้องยอมปฎิบัติตามคำสั่งของหลวงพ่อ

ในวันที่ทำการผ่าตัดหลวงพ่อได้สั่งให้ทีีมแพท์ยที่จะทำการผ่าตัดรอสักครู่ ประมาณ 5-10 นาที เพื่อที่ท่านจะได้เจริญสติ และเมื่อท่านผงกหัว ก็ให้ดำเนินการผ่าตัดได้ แม้ทีมแพท์ยที่ผ่าตัดจะเป็นกังวล แต่ในเมื่อหลวงพ่อท่านมั่นใจเช่นนั้น ก็ต้องทำตาม

ด้วยระยะเวลายังไม่ถึง 5 นาทีดี หลวงพ่อก็ผงกศรีษะ เบาๆสองที แต่ทีมแพท์ยก็ยังคงนิ่งอยุ๋ จนท่านต้องผงกหัวซ้ำอีกครั้ง

คณะแพทย์ที่ผ่าตัด ได้สั่งให้ทีมเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าหากหลวงพ่อ แสดงอาการเจ็บปวดขึ้น
แต่! เมื่อปลายมีดกรีดลงไปบน ผิวหนังหลวงพ่อทางด้านหลัง ก็ต้องตกตะลึงเมื่อ ไม่เห็นหลวงพ่อแสดงอาการ อะไรเลย สัญญาณชีพและความดันก็ยังคงเป็นปกติ ไม่สูงขึ้นแต่อย่างใด และเมื่อเปิดปากแผลจนได้ที่แล้วก็ต้องตกใจอีกครั้งที่ ไม่มีเลือดที่เกิดจากคมมีดไหลออกมาเหมือนกับคนไข้ผ่าตัดทั่วไปแต่อย่างใด จะมีก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นและก็หยุดไหลเองในที่สุด เป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ทีมแพทย์และพยาบาลที่อยู่ในห้องผ่าตัดขณะนั้นเป็นอย่างมาก บางคนที่มือว่างถึงกลับ ยกขึ้นพนมไหว้เหนือศรีษะ

และความตกใจระลอกที่สาม ก็คืนกระดูกที่งอกโผ่ลมานั้นจำเป็นจะต้องตัดออก เพราะไปกดทับเส้นประสาท คณะแพทย์ได้ทำการเลาะตัดกระดูกดังกล่าวออกมา สิ่งที่ตื่นตะลึงอีกครั้งก็นั่นคือ กระดูกชิ้นดังกล่าวเมื่อถูกตัดออกจากร่างกายสังขาร ของหลวงพ่อ ก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นผลึกธาตุในทันที
เมื่อการผ่าตัดผ่านพ้นไป ทีมแพท์ยทั้งหมดได้เข้ามากราบถวายตัวเป็นศิษย์ของหลวงพ่อ และได้ทำการสร้างตึกขนาดแปดชั้น เพื่อถวายในนามของหลวงพ่อ ตึกดังกล่าว มีชื่อว่า “ตึกสิทธิเกษม”

จึงนับว่าหลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นพระที่ทรงอภิญญา อย่างหาผู้ใดเทียบได้และวัตรปฎิบัติอีกอย่างที่ลูกศิษย์ใกล้ชิดทุกคนจะต้องปฎิบัติตาม นั่นคือ การไม่วางฝ่าเท้าลงไปบนอักขระหรืออักษรใดๆทุกชนิด เพราะหลวงพ่อถือว่า อักขระและอักษรเปรียบประดุจครูอาจารย์ที่ให้ความรู้ ดังนั้นเราจะเหยียบย่ำครูอาจารย์ไม่ได้ แม้กระทั่งตอนบิณฑบาตร หากว่ามีเศษกระดาษหรือหนังสือพิมพ์ตกที่พื้น ตามเส้นทางที่หลวงพ่อบิณฑบาตร ท่านก็จะก้มเก็บเอาใส่ไว้ในย่ามเพื่อนำกลับมายังสุสานไตรรัตน์เสมอๆ

อีกประการคือการฉันท์ภัตรหาร หลวงพ่อจะทดลองการฉันอาหาร หลายวิธี แม้กระทั่งการทิ้งไว้สองสามวันเพื่อให้บูดเน่า แล้วจึงฉันฑ์ หรือทิ้งไว้ต่อไปอีกจนกระทั่งขึ้นรา แล้วจึงฉันฑ์ จนบางครั้งหลวงพ่อเกิดอาพาธจากอาหารเป็นพิษ ท่านก็ไม่เลิกทดลอง จนทีมแพท์ยต้องขอร้องให้หยุดท่านจึงรับนิมนต์

แต่ก็จะฉันฑ์เพียงวันละ 5 – 7 คำเท่านั้น ที่เหลือจะแบ่งออกเป็นกองเท่าๆกันเพื่อ ให้บรรดาสัตว์ที่อาศัยแถวนั้นได้กิน และให้บรรดาศิษย์ได้กิน แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครที่กลืมคำข้าวนั้นลงไปในท้องแม้แต่รายเดียว ทุกคนทำเหมือนกันหมดเคืออมข้าวก้นบาตรคำนั้นไว้ เพื่อจะเอาเก็บกลับไปบูชาที่บ้าน

จนหลวงพ่อต่อว่า ให้หลายครั้ง เรื่องสะสมทรัพย์ แต่ในเรื่องข้าวก้นบาตรนี้ ก็ไม่มีใครเชื่อฟังแม้แต่คนเดียว

Cr.ภาพ พี่เล็ก ชลบุรี
แอพเกจิ แอพรวมเรื่องราวประสบการณ์จริง เกี่ยวกับ พุทธคุณ ไสยศาสตร์ วิชาอาคม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: