1732.หลวงปู่บุดดา ถาวโร แป้งเสกสุดวิเศษของ”พระอรหันต์”

จากหนังสือ ๑๐๐ ปี หลวงปู่บุดดา ถาวโร
” ๑๐๐ ปี …ในวาระเจริญอายุครบหนึ่งศตวรรษของหลวงปู่บุดดา ถาวโร” ในวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๒๖ ชื่นใจแท้ๆ ในวันนั้น…ชาวพุทธทั่วประเทศไทย และทั่วโลกกำลังรอคอยวันที่หลวงปู่จะมีอายุครบ ๑๐๐ ปีบริบูรณ์ ที่เอ่ยอ้างถึงชาวพุทธทั่วโลก ไม่เป็นการเกินความจริง เพราะลูกศิษย์ลูกหาที่หลวงพ่อเคยสั่งสอน เคยเทศน์ให้ฟังย่อมกระจัดกระจายไปทำมาหากินอยู่ทั่วโลก อย่างเช่นการทำบุญตักบาตรบำเพ็ญกุศลแด่พระอาจารย์หลวงปู่บุดดา ถาวโร ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

หลวงปู่ท่านอายุใกล้ ๑๐๐ ปีเต็มที่แล้ว … ท่านเริ่มบวชเมื่ออายุ ๒๘ ครั้นอายุ ๓๘ ได้นมัสการ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และเคยนมัสการ ท่านครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทยอีกด้วย (ปัจจุบันภาษาไทยวิวัฒนาการเป็นล้านนา) ท่านได้สัมผัสบุญบารมีแห่งครูบาศรีวิชัย เมื่อท่านหลวงปู่ยังเป็นหลวงพ่อ บวชได้ ๑๐ พรรษา ใบสุทธิเพิ่งออกให้ท่าน นับว่าทำงานช้ามาก …ช้าจนต้องหัวเราะออกมาและหายเป็นปลิดทิ้ง

ในสมัย สมเด็จพระสังฆราช กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราช ที่มีชื่อเสียงของวงการศาสนาในเมืองไทยก็ยังเคยให้ความเคารพหลวงปู่ให้มาร่วมกิจกรรมในพระศาสนาหากว่าเปรียบไป “ชีวิตคือการเดินทาง” …ชีวิตของหลวงปู่ได้เดินทางมาไกลแสนไกล…หลายสิ่งหลายอย่างได้เปลี่ยนไป…แปรไป บางอย่างเป็นวิวัฒนาการ บางอย่างไม่อาจปลงใจเชื่อว่าเป็นวิวัฒนาการ แม้แต่อักษรดังที่ได้กล่าวมาแล้ว …เปลี่ยนแปรจาก “ลานนา” เป็น “ล้านนา” อำเภอ “หางสัตว์” ในจังหวัดลำปาง ปัจจุบันกลายเป็น “อำเภอห้างฉัตร”

สมัยหลวงปู่เป็น “หลวงพี่” สมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ ท่านเจ้าคุณนรฯ ยังเป็นมหาดเล็กคนโปรดอยู่ ยังไม่ได้บวช…พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ พระองค์ ท่านทรงพระอักษรว่า… “ไหย่” ปัจจุบันกลายเป็น “ใหญ่” คือคนรุ่นหลัง ต้องเอาไม้ม้วนและเอา “ญ.หญิง” มาใหญ่แทน “ย.ยักษ์” เลยทำให้คิดว่าผู้หญิงนี่ปัจจุบันใหญ่กว่ายักษ์ สมัยนั้น คำว่า “สิงห์โต” เขียนอย่างงี้…มาปัจจุบัน ขนหลุดไปแยะได้เขียนเป็น “สิงโต” ไปแล้ว ผมเองได้นมัสการได้ทำบุญกับหลวงปู่บุดดา ถาวโร เมื่อ ๑๐กว่าปีมาแล้ว ได้รับผงวิเศษจากหลวงปู่มาทาหน้าทาหัว และกิจการงานก็เจริญดีมากปรากฎว่า “แป้งเสก” ของหลวงปู่มีเมตตามหานิยมเป็นเยี่ยม…

ความวิเศษของ “แป้งเสก” ต้องขอยืมคำกล่าวของ “หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ” แห่งวัดสะแก อยุธยา (ท่านมรณภาพเมื่ออายุ ๘๖ ปี) คือครั้งนั้น หลวงปู่ดู่ได้นมัสการหลวงปู่บุดดา และหลวงปู่บุดดา ก็จัดการเทแป้งเสกให้

หลวงปู่ดู่ หยิบภาชนะอะไรไม่ทัน จึงแบสองมือรับแป้งเสกอย่างนอบน้อม หลวงปู่บุดดาท่านเขย่ากระป๋องแป้งเสกใส่มือหลวงปู่ดู่จนพอใจ แล้วก็หยุดมองดูหลวงปู่ดู่ แล้วท่านก็ยิ้มด้วยความเมตตา หลวงปู่ดู่ ได้ยกสองมือขึ้นเหนือศีรษะแล้วทาผงแป้งเสกทั้งหมดไว้บนศีรษะของ จนขาวไปหมด…

นี่เป็นคำบอกเล่าของศิษย์ของหลวงปู่ดู่…ตามปกติแล้ว หลวงปู่ดู่เป็นพระเถราจารย์ที่ค่อนข้างดุ การดุของท่านนั้นก็คือการเคร่งครัดในศีลาจารวัตร การโต้ตอบว่าใครจะคลุมอยู่ในปฎิปทาที่พระควรสังวรทั้งสิ้นเมื่อหลวงปู่บุดดา ลาจากไปแล้ว ลูกศิษย์คนหนึ่งก็อดรนทนไม่ได้จึงถามหลวงปู่ดู่ว่า…”หลวงปู่ครับ…ทำไมเอาผงแป้งทาศีรษะจนขาวไปหมด” หลวงปู่ดู่ตอบว่า…

“อ้าว ก็เป็นของพระอรหันต์…เอ็งจะให้ข้าเอาไปไว้ที่ไหนจึงจะเหมาะล่ะ”

นี่แหละครับท่านผู้อ่าน คำอธิบายถึง “กิตติคุณ” หรือ “คุณวิเศษ” ของหลวงปู่บุดดา ได้เป็นอย่างดีคำพูดประโยคนี้… ของหลวงปู่ดู่ บรรดาศิษย์ และผู้ศรัทธาทั้งหลายได้ยินได้รู้แล้วยิ่งทวีคูณความเคารพนับถือหลวงปู่บุดดายิ่งนักผมต้องขอแทรกเอาไว้สักนิดเกี่ยวกับเรื่องหลวงปู่ดู่ คือเมื่อสมัยผู้เขียนได้ไปกราบนมัสการท่านที่วัดสะแก ผมได้สนทนากับท่านอยู่หลายเรื่อง…แต่บางเรื่องขอเสนอเป็นข้อสังเขปดังนี้

ผมผู้เขียนได้กราบนมัสการถามว่า… “หลวงปู่ครับ ผมเป็นผู้เขียนประวัติพระอาจารย์ต่างๆ ” หลวงปู่ดู่กล่าวว่า “เออ…ของข้าไม่ต้องเขียน…” ผู้เขียนชอบพระดุ ไม่ท้อ…ถามอีกว่า…”ผมจะเอาหนังสือเกี่ยวกับพระที่ผมเขียนถวายหลวงปู่…ได้ไหมครับ…”
“เออ…ไม่ต้องถวาย…” หลวงปู่ตอบ

ผมสังเกตเห็นตาของหลวงปู่ดู่…ดุนัก…นัยตาของท่านคล้ายหลวงปู่ทวดที่ท่านนับถือมาก และอีกองค์ที่ท่านเคารพมาก โดยกล่าวถึงเสมอๆ คือ หลวงปู่ครูบาเจ้าเกษม เขมโก แห่งสำนักปฏิบัติธรรมสุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง…แต่เมื่อสนทนาไต่ถามไปถึงเรื่องวิธีปฏิบัติภาวนา หลวงปู่จะอารมณ์ดีมากทันทีและอธิบายให้ฟังอย่างเต็มที่หลวงปู่ต้องการให้ชาวพุทธทุกคน “ภาวนา”

ความจริงแล้วหลวงปู่ท่านดูคล้ายๆ ดุ… แต่ที่จริงแล้วเป็นการกระหนาบไม่ให้ผู้ที่หาท่านมุ่งไปเรื่องอื่น ท่านต้องการให้สิ่งมีค่าแก่ชาวพุทธทุกคนคือ “ภาวนา” หลวงปู่ดู่เคยกล่าวไว้ว่า …”ใส่บาตรจนขันลงหินทะลุ ยังได้บุญไม่เท่าภาวนาจนเห็นแสงเท่าก้านไม้ขีด” หลวงปู่บุดดาและหลวงปู่ครูบาชัยวงษาพัฒนา

ในสมัยที่มีงานบุญคล้ายวัดเกิดหลวงปู่บุดดา เมื่อหลายปีมาแล้ว ที่วัดกลางชูศรี ผมได้เห็นพระคณาจารย์ ไปร่วมงานบุญของหลวงปู่บุดดาอย่างมากมาย อาทิ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย (สมัยยังไม่มรณภาพ) หลวงปู่ชัยวงศาฯ หลวงพ่อจำเนียร ศีลเศรษโฐ หลวงปู่เมตตาหลวง เป็นต้น

โดยเฉพาะหลวงปู่เมตตาหลวง แห่งวัดพิทักษ์ปุณณาราม ปากช่อง นครราชสีมา ซึ่งท่านมี “พระคาถาเมตตาหลวง” อันยิ่งใหญ่และลือลั่น ซึ่งท่านได้รับความรู้มาจากพระอาจารย์ของท่านคือ “หลวงปู่ขาว อนาลโย” อีกทอดหนึ่ง… “หลวงปู่เมตตาหลวง” นี้ผมได้กราบนมัสการท่านอีกครั้งหนึ่งในงานพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่ดู่วัดสะแก อยุธยา หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็มรณภาพ ด้วยโรคชรา

พระมหาธงชัย วัดไตรมิตร
ผมได้พบได้กราบนมัสการ ได้ทำบุญกับท่าน หลวงปู่บุดดา ถาวโร บ่อยครั้งที่สุดก็ที่กุฎท่าน “พระมหาธงชัย วัดไตรมิตร กทม” พระมหาธงชัย นับว่าเป็นศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่บุดดามาก และได้ปฏิบัติวัฏฐากท่านผู้เป็นอาจารย์อย่างดีมากที่สุดองค์หนึ่ง

ที่กุฏินี้ (กุฏิพระมหาธงชัย) สมัยนั้นท่านพระเดชพระคุณ “พระวิสุทธาธิบดี อดีตเจ้าอาวาสวัดไตรมิตร” ยังไม่มรณภาพ… หลวงปู่บุดดา ได้รับนิมนต์มาที่กุฏินี้…เสมอและมีผู้ศรัทธามากราบนมัสการสนทนาธรรมและขอพรจากหลวงปู่มากมายทุกวัน ผู้ที่มานมัสการขอพรต่างได้รับความอัศจรรย์ใจ ที่หลวงปู่สามารถล่วงรู้สิ่งที่เป็นทุกข์อยู่ในใจ ยังไม่ทันได้ถามก็มีหลายรายที่กล่าวแนะชี้ทางแก้ไขให้เป็นอย่างดี ผู้ที่ได้พบอภินิหารต่างๆ ของหลวงปู่บุดดามากอีกท่านหนึ่งคือ คุณบุญเลิศ กิจกาญจนไพบูลย์ เสี่ยใหญ่เจ้าของกิจการหลายอย่าง

สำหรับผม มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่มีเสี่ยใหญ่อีกท่านหนึ่งกำลังจะถวายปัจจัยแด่หลวงปู่บุดดา ผมเตรียมกล้องไว้อย่างดี และผมลืมขออนุญาตหลวงปู่ (ในใจ) ปรากฏว่าเกิดการขัดข้องอย่างกะทันหัน ผมไม่สามารถถ่ายภาพนั้นได้ (ผมรู้ของผมคนเดียวว่าเป็นปาฏิหาริย์…เพราะภาพอย่างงี้ ถ่ายง่ายมาก ไม่น่ามีปัญหา แต่การที่หลวงปู่ทำให้เห็นปาฏิหาริย์ เสียบ้างนี้ทำให้เรามีสติ และมั่นใจว่าบุญฤทธิ์แห่งการปฏิบัติภาวนาเป็นมีอยู่จริง)

มีมากมายที่เกิดขัดข้องทางธุรกิจการค้า ได้อธิษฐานขอพรจากหลวงปู่ แล้วได้ผลดีชนิดที่ตัวเองก็คาดไม่ถึง บางท่านเจริญก้าวหน้าจากบริษัทเล็กๆ มาเป็นบริษัทใหญ่ในระยะเวลาไม่กี่ปีบางท่านฐานะดีขึ้นขนาดรับสร้างโบสถ์ให้กับวัดในต่างจังหวัดก็มี ฯลฯ

บางท่านอธิษฐานขอให้มีบุตร บางท่านอธิษฐานขอให้มีบุตรชายหรือบุตรหญิง แต่ถ้าบอกหลวงปู่ดังๆ ตรงๆ คงถูกหลวงปู่ดุเอาแน่ข้อธรรมะ ของหลวงปู่อุดมด้วยข้อธรรมลึกซึ้ง และปนอารมณ์ขันซึ่งทำให้เกิดอารมณ์เจิดจ้า ตาสว่างไม่ง่วงนอนแม้แต่น้อย “แค่หลวงปู่เทแป้งเสกให้ ก็ตื่นเต้นแล้วละค่ะ” เป็นคำกล่าวของสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ซึ่งผมเคยสัมภาษณ์มา

ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของหลวงปู่บุดดา ถาวโร คือการ “แสวงหาโมกขธรรม” คือหลังจากท่านได้อยู่จำพรรษากับพระอุปัชฌาย์เพียง หนึ่งพรรษา …ได้ออกแสวงหาที่วิเวกโดยจาริกไปบำเพ็ญสมณธรรมธุดงค์ในต่างจังหวัด ใกล้ก็มีมาก ไกลก็มีมาก อาทิ ผ่านไปทางจังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย เป็นต้น ท่านไปถึงเวียงจันทน์ ธุดงค์ไปสู่หลวงพ่อบาง ประเทศลาว

พระเกษแก้วจุฬามณี
ครั้นลุพรรษาที่ 4 ได้ธุดงค์มาเจริญภาวนาที่ “ถ้ำภูคา” ต.หัวหวาย อ.ตาคลี นครสวรรค์หลวงปู่ ได้พบ “สัจธรรม” ณ ถ้ำภูคานี้เองท่านได้กล่าวกับศิษย์ใกล้ชิดว่า…”มนุษย์สมบัติมีแค่ไหน…สวรรค์สมบัติมีแค่ไหน นิพพานสมบัติมีแค่ไหน เป็นอย่างไร หลวงปู่บอกว่า…ฌานล่วงหน้าไม่บอก แต่เมื่อทำสำเร็จแล้ว จึงทราบทีหลัง…” ในขณะนั้น หลวงปู่อายุ 32 เพียงพรรษาที่ 4 นับถึงวันนี้ปีนี้ เวลาได้ผ่านเลยมาเกือบ 68 ปีแล้ว

สำหรับอนุสรณียสถานสำคัญที่หลวงปู่สร้างไว้ในบวรพระพุทธศาสนาก็คือ “พระเกษแก้วจุฬามณี” ขึ้นประดิษฐาน ณ เขาภูคา สร้างไว้เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ที่หลวงปู่มาบำเพ็ญเพียรมา กระทั่งรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม ซึ่งองค์พระสัพพัญญูได้ตรัสรู้ไว้แล้ว ณ เบื้องพุทธกาลโพ้น

อดีตชาติ หลวงปู่บุดดา ถาวโร
ตายแล้วเกิดมีจริงหรือไม่?!!!… คำตอบที่ดีที่สุด จะได้จากการอ่านพุทธประวัติโดยเฉพาะเรื่อง “พระเจ้าสิบชาติ” และ “พระเจ้า 500 ชาติ” ซึ่งแสดงถึงการเวียนว่ายตายเกิดของพระพุทธเจ้า ชาติแล้ว ชาติเล่า จนกระทั่งเสวยพระชาติเป็น “พระเวสสันดร” เป็นชาติสุดท้าย ก่อนจะมาเกิดเป็น “พระพุทธเจ้า” อันได้บรรลุถึง “พระนิพพาน” ซึ่งหยุดการเวียนว่ายตายเกิดอย่างสิ้นเชิง

ในเรื่องนี้จะขอกล่าวถึงประวัติและปฏิปทาของพระคุณเจ้า หลวงปู่บุดดา ถาวโร อายุ 98 ปี ใน พ.ศ. 2534 นี้ ซึ่งหลวงปู่เป็นภิกษุอีกรูปหนึ่ง และเป็นคนอีกคนหนึ่งในโลกนี้ ที่มีความพิเศษ คือ ระลึกชาติได้หลายชาติด้วยกัน บุคคลที่ระลึกชาติได้ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนากล่าวว่าจะเป็นผู้ที่ได้ “อตีตังสญาณ” แต่สำหรับหลวงปู่บุดดาแล้วท่าน ระลึกชาติได้บางชาติตั้งแต่ยังเป็นเด็กแล้ว คือชาติปัจจุบันนี้ท่านรู้ตั้งแต่เป็นเด็กแล้วว่า “บิดา” ในปัจจุบันคือ พี่ชายของท่านในชาติก่อน

ท่านได้เคยกล่าวไว้กับสานุศิษย์ผู้ใกล้ชิดว่า…”พี่ชายของอาตมาในอดีตชาติ นับได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความดีพร้อม ที่มีลักษณะพิเศษคือท่านรักน้องชายคืออาตมามาก ท่านรักและตามใจจนเราติดท่านอย่างจริงจัง จึงมีความผูกพันกันอย่างมากมาย… ข้อสำคัญคือเคยให้สัญญากันไว้ว่า

“จะไม่ทอดทิ้งกันเป็นอันขาด”!!!
“มาชาตินี้อาตมาจึงได้มาเกิดเป็นบุตรของท่าน แทนที่จะเกิดเป็นน้องชาย และยังจำคำสัญญาเดิมได้แม่นยำคือ… จะไม่ทอดทิ้งกัน!”
“การทำให้เจ็บตัวเจ็บใจ เป็นการทอดทิ้งกันหรือไม่?!”

คงเป็นปัญหาที่น่าใคร่ครวญ เพราะหลวงปู่เล่าว่า… มาในปัจจุบันชาตินี้ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านถูกบิดาเฆี่ยนตีเอาอย่างรุนแรง เจ็บปวดทั้งกายและใจท่านในสมัยเด็ก จึงวิ่งหนีออกไปนอกบ้านพลางตะโกนว่า….พ่อโกหก!…พ่อโกหก!…พ่อโกหก!…การตะโกนเช่นนี้ เป็นที่ประหลาดใจของวงศาคณาญาติบิดามารดายิ่งนัก

ครั้นต่อมาเมื่อมารดาปลอบใจ พร้อมถามไถ่ ท่านจึงสารภาพเรื่องระลึกชาติได้ และชาติก่อนบิดาเป็นพี่ชายตน ให้คำสัญญาไว้ว่า “จะไม่ทิ้งกัน” แต่เมื่อมาทุบตีกันเช่นนี้ ก็เท่ากับไม่รักษาสัญญา ตนจึงตะโกนออกไปด้วยความน้อยใจเช่นนั้นเรื่องราวคราวเป็นเด็กจึงร่ำลือไปในหมู่ญาติว่า เด็กชายบุดดา มงคลทอง เป็นเด็กที่ระลึกชาติได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา…และท่านก็มิได้ถูกบิดาเฆี่ยนตีอีกเลย.

จะขอกล่าวถึงชาติกำเนิดของท่านสักนิดว่า… ท่านมีนามเดิมว่า บุดดา มงคลทอง เกิดเมื่อวันเสาร์ ขึ้น 10 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย บิดาชื่อ “น้อย” มารดาชื่อ “อึ่ง” มีพี่น้องรวมกัน 7 คน ที่ยังมีชีวิตอยู่คือ นายเหลือ คนสุดท้อง… (ท่านเกิด พ.ศ. 2437 เมื่อวันที่ 5 มกราคม)

ท่านเกิดที่ บ้านหนองเกวียนหัก ตำบลพุคา อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ในด้านการระลึกชาติได้ของหลวงปู่บุดดา ถาวโรนี้ ได้มีท่านสุภาพสตรีท่านหนึ่ง หรือ จะเรียกว่า อุบาสิกาก็ได้ คือคุณกัลยารัตน์ ไพศาลอัศวเสนีย์ ซึ่งเป็นศิษย์ที่ปฏิบัติธรรมสายหลวงปู่บุดดาอย่างเคร่งครัดท่านหนึ่ง ในการจัดงานบุญคล้ายวันเกิดของคณะศิษยานุศิษย์ ให้แก่หลวงปู่บุดดาในทุกๆ ปี ที่วัดกลางชูศรีเจริญสุข ตำบลพักทัน อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี จะพบท่าน… อุบาสิกากันยารัตน์ มาช่วยงานอย่างเต็มที่เสมอๆ…และอุบาสิกากันยารัตน์นี่แหละหลวงปู่บุดดา กล่าวว่า… “เป็นย่าของท่านในชาติก่อน”

หลวงปู่บุดดาท่านได้ให้ความเมตตาคุณกันยารัตน์ โดยการสั่งสอนอบรมการปฏิบัติธรรมต่างๆ เป็นการตอบแทนพระคุณในอดีตชาติอีกโสตหนึ่งด้วย คุณกันยารัตน์ ได้อยู่รับใช้หลวงปู่บุดดา และรับการอบรมการปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรร่วมกับสานุศิษย์มากมายของหลวงปู่มาเป็นเวลานานนับสิบๆ ปี เป็นที่ไว้วางใจของหลวงปู่บุดดาอย่างมากและได้รับใช้ในกิจการพระศาสนาของหลวงปู่มานาน…ฯลฯ

มีท่านผู้ปฎิบัติธรรมกับหลวงปู่บุดดาท่านหนึ่งกล่าวว่า คุณกันยารัตน์ก็ได้บรรลุธรรมในขั้นหนึ่งแล้วยังมีศิษย์อีกท่านหนึ่ง ถือเพศบรรพชิต คือ หลวงพ่อมหาทอง กาญจโณ ซึ่งได้ติดตามใกล้ชิดหลวงปู่บุดดามานานนับสิบปีเศษเช่นกัน ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาส วัดกลางชูศรีเจริญสุข และได้เป็นผู้อาราธนาหลวงปู่บุดดามาจากสำนักสงฆ์สองพี่น้อง ชัยนาท ให้มาจำวัดในยามปัจฉิมวัย ณ

วัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรีนี้
หลวงปู่บุดดา นับว่าเป็นพระสุปฎิปันโนโดยแท้ แลจากการบำเพ็ญสมณธรรมอันยาวนานนับตั้งแต่ท่านอุปสมบท เมื่ออายุได้ 28 ปี เพราะพ้นเกณฑ์ทหารเมื่ออายุ 21 ออกมา ช่วยพ่อแม่ทำนาเสีย 4 ปี… ดังนั้นเมื่ออายุย่าง 28 ปีจึงได้อุปสมบท และดำรงอยู่ในสมณเพศมาตลอดถึงปัจจุบันนี้ (ปลายปี 2534)

อดีตของท่านนั้นครั้งหนึ่ง ได้ธุดงค์ไปที่จังหวัดหนองคายแดนอีสาน ในขณะที่ท่านเป็นพระที่ขาดแคลนอย่างหนัก คือเดินธุดงค์ก็ไม่มีกลด มีแต่ร่มเก่าๆ คันเดียวเท่านั้นแทนกลด กาน้ำก็ไม่มี มีแต่บาตร เอาไว้ใช้สารพัดประโยชน์ หลวงปู่บุดดา ถาวโร เคยเล่าไว้แก่ศิษย์ใกล้ชิดว่าได้พบสถานที่ โคกไม้ใหญ่ เป็นที่สัปปายะ ท่านจึงบำเพ็ญธรรมที่โคกไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง และขณะนั้นได้กำหนดจิตเพ่ง “เตโชกสิณ”

จากความเยือกเย็นของบรรยากาศในค่ำคืน ทำให้จิตใจสงบและแจ่มใสในธรรม ญาณทัสสนะของท่านเต็มเปี่ยมและมีพลังกล้าเมื่อยามดึก ทำให้ท่านเห็นภาพในอดีตชาติของท่าน…ท่านได้ทราบในขณะนั้นเองว่า เมื่อท่านเป็นเด็กในอดีตชาตินั้นท่านได้พำนักอยู่ ณ บ้านหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่นอกนครเวียงจันทร์ประเทศลาว

ในภาพอดีตชาติ ท่านได้เห็นญาติๆ ของท่าน กำลังนำศพท่านไปฝังไว้ที่สถานที่แห่งหนึ่งในป่า และที่ฝังนั้นอยู่ที่โคนต้นพุทราต้นเขื่อง ท่านได้เห็นภาพแห่งความโศกเศร้าของบรรดาญาติๆ และเพื่อนสนิทมิตรสหายชาวบ้านใกล้เรือนเคียง เพราะว่าในชาตินั้น ท่านก็เป็นคนดีคนหนึ่ง จึงเป็นที่รักของชาวบ้านทั่วไป

ในภาพรำลึกแห่งอดีตชาติ หลวงปู่ได้เห็นคุณย่าของท่านคือ คุณกันยารัตน์โศกเศร้ามาก เพราะมีความสงสารท่านเป็นพิเศษ คุณกันยารัตน์ ในชาติที่เป็นย่าของหลวงปู่นั้นมีฐานะดี หวังว่าจะทำนุบำรุงหลานเป็นอย่างดี หลานก็มาเสียชีวิตไปอีก จึงทำให้โศกเศร้ามากขึ้นเป็นทวีคูณการ “ระลึกชาติ” ในครั้งนั้นศพของท่านถูกฝังไว้ ไม่ได้เผา และต่อมากะโหลกศีรษะนั้นโผล่พ้นมูลดินออกมาขาวโพลนอยู่เพราะกาลเวลาอีกทั้งภูมิประเทศก็รกเรื้อขึ้นเพราะพันธุ์ตฤณชาติ และพฤกษชาติขึ้นอยู่ทั่วไป
ขอบคุณที่มา http://www.dharma-gateway.com/…/lp-bud…/lp-budda-hist-05.htm

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: