1706.พ่อท่านยกห้อง วัดสลักป่าใหม่ อ.สิงหนคร จ.สงขลา คงหน้า-คงหลัง เมตตามหาลาภ

พ่อท่านยกห้อง จนฺทปญโญ วัดสลักป่าใหม่ อ.สิงหนคร จ.สงขลา ตอน สัจธรรมแห่งชีวิต

เสียงประทัดไม่ต่ำกว่าร้อยนัดดังขึ้นบริเวณลานวัดหน้าศาลาหลังเล็กๆ ที่พ่อท่านใช้รับแขก

“ใครมาไหว้เจ้า”

เสียงกระซิบเบาๆ เชิงสัพยอกของเพื่อนในกลุ่มเอ่ยลอยขึ้นมา

รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของ “พ่อท่านยกห้อง” ผู้กำลังนั่งมองเศษกระดาษประทัดสีแดงที่ปลิวว่อนไปมา

เจ้าเพชร-เพื่อนรุ่นน้องบอกกับพวกเราว่า ที่วัดแห่งนี้มักจะมีคนมาจุดประทัดแก้บนกับพ่อท่านยกห้องอยู่บ่อยๆ เขาว่าความบ่อยคือความถี่ของความสำเร็จ

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ในส่วนที่ว่าจะสำเร็จกันด้วยเรื่องอะไรนั้น เขาเองก็ตอบไม่ได้

นอกจากนี้เขาว่าในบางวันมันก็มีมากจนบางทีเขาเองยังตาลาย เพราะมองดูเศษกระดาษที่ปลิวลอยไปลอยมาจนเผลอคิดไปว่ามีฤดูใบไม้ผลิเกิดขึ้นที่วัดสลักป่าใหม่

ถ้าจะว่ากันถึงความรู้สึกส่วนตัวแล้ว ผมว่า “พระครูอรัญญาภิวัฒน์” หรือ “พ่อท่านยกห้อง จนฺทปญโญ” เจ้าอาวาสวัดสลักป่าใหม่ ตำบลชิงโค อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ท่านเป็นพระที่มีอารมณ์ดีมากๆ ครับ ประมาณว่ามองท่านแล้วมีแต่ความสบายใจ

ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าท่านมีใบหน้าที่ยิ้มละไมอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้พวกเรามองดูเหมือนว่าท่านจะมีอายุไม่มากนัก ทั้งๆ ที่ในความจริงแล้วท่านมีอายุสูงถึง ๘๘ ปี และในทางสายวิชาอาคมต้องถือว่าพ่อท่านยกห้องคือศิษย์สายพุทธาคมที่ยังมีชีวิตและมีอาวุโสสูงสุดของ “พระครูธรรมโฆษิต” (พ่อท่านคง โกกนุตฺโต) วัดธรรมโฆษณ์ และ “พระครูโสภณธรรมาราม” (พ่อท่านคง ธมฺมราโม) วัดป่าขาด อดีตสองยอดพระเกจิอาจารย์อาคมขลังแห่งเมืองสงขลา

จะว่าไปแล้วสงขลาเป็นอีกหนึ่งจังหวัดครับที่มีพระเกจิอาจารย์เก่งๆ หลายองค์ครับ อาทิเช่น พ่อท่านศรีแก้ว วัดไทรใหญ่ พ่อท่านมหาลอย วัดแหลมจาก พ่อท่านฮก วัดท่าข้าม พ่อท่านแก้ว วัดประตูชัย ฯลฯ รวมไปถึง พ่อท่านคง วัดธรรมโฆษณ์และพ่อท่านคง วัดป่าขาดด้วยครับ

แต่จากประสบการณ์ตรงชนิดที่ติดตาตรึงใจชาวสงขลาได้เป็นอย่างดีคือ

“เหตุการณ์ลอบวางระเบิดสถานีรถไฟหาดใหญ่”

ความอัศจรรย์ใจท่ามกลางเสียงโอดครวญและซากปลักหักพังคือ มีผู้ที่แขวนเหรียญ “คงหน้า คงหลัง” ซึ่งเป็นเหรียญสองหน้ารูปพ่อท่านคง วัดธรรมโฆษณ์ (อาจารย์) และพ่อท่านคง วัดป่าขาด (ลูกศิษย์) ที่จัดสร้างขึ้นโดยวัดป่าขาดในปี ๒๕๒๘ ยืนอยู่ใกล้จุดระเบิด แต่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ ทั้งที่เสื้อและกางเกงขาดแบบกระจุยกระจาย

ว่ากันว่าจากประสบการณ์ตรงในครั้งนั้นเอง ได้ส่งผลให้เหรียญ “คงหน้า คงหลัง” ขยับตัวขึ้นเบียดหน้ากระดานตลาดพระสงขลาและกลายเป็นเหรียญยอดนิยมที่มีราคาสูงในเวลาต่อมา

ย้อนหลังไปประมาณกลางปี ๒๕๕๕ ครับ นับจากวินาทีแรกที่พวกเรารู้ตัวว่าจะต้องเดินทางลงภาคใต้เพื่อนำเหรียญ “บารมีหลวงพ่อทวด” ไปขอความเมตตาจากบรรดาพระเกจิอาจารย์ทั่วภาคใต้ทำการปลุกเสก ด้วยความที่พวกเราเป็นคนต่างถิ่นและข่าวคราวเรื่องสถานการณ์ความรุนแรง เล่นเอาพวกเราต้องมานั่งทำการบ้านกันอย่างหนัก

จังหวัดสงขลา ถือเป็นจังหวัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและค่อนข้างมีความหลากมิติ บางส่วนของพื้นที่ก็เงียบสงบและเคร่งขรึมไปด้วยธรรมชาติและวิถีชีวิต ในขณะที่บางพื้นที่ก็มีความเสี่ยงภัยจนต้องมานั่งทำใจก่อนที่จะเข้าไปเยือน

สิงหนคร เป็นอำเภอเล็กๆ ในจังหวัดสงขลาที่มีความพร้อมทั้งในด้านของประวัติศาสตร์/วัฒนธรรม/ศิลปะ ฯลฯ รวมไปถึงการมีพระเกจิอาจารย์ฝีมือดีอยู่หลายองค์ ว่ากันว่าหากคุณมีความคิดว่าอยากไปกราบพระเกจิอาจารย์ที่เก่งๆ ในจังหวัดสงขลา อำเภอเล็กๆ เงียบๆ อย่างสิงหนครนี่แหละครับ สามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้อย่างเหมาะสมและลงตัวเป็นที่สุด

เก้าร้อยกว่ากิโลเมตรจากกรุงเทพมาสงขลา พวกเราเข้าสู่สิงหนครในช่วงบ่ายคล้อยที่ค่อนไปทางเย็นครับ อากาศชุ่มฝนยามบ่ายเรียกความสดชื่นให้เข้ามาแทนที่ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกลได้พอสมควรครับ

วัดสลักป่าใหม่อยู่ไม่ไกลจากถนนสายหลัก (๔๐๘) มากนัก สภาพของวัดในลักษณะขององค์รวมโดยส่วนตัวแล้วผมว่าค่อนข้างอบอุ่นและมีสิ่งสวยงามเล็กๆ ที่เห็นแล้วต้องอมยิ้มซ่อนตัวอยู่อีกเพียบครับ ไม่ว่าจะเป็นกุฏิสงฆ์สภาพเก่าแต่ล้ำด้านศิลปะเชิงช่าง ศาลารับแขกของพ่อท่านยกห้องที่มองดูแล้วน่าจะเรียกว่าเพิงขนาดใหญ่มากกว่า หรือจะเป็นอุโบสถสภาพใหม่ที่แสดงถึงบารมีของพ่อท่าน ฯลฯ

ซึ่งเมื่อมองในมุมของความแตกต่างในลักษณะที่เรียกว่าต่างยุคต่างสมัย หรือจะเป็นความแตกต่างกันในแบบของเก่ากับของใหม่ ที่อยู่ภายใต้การจัดวางที่เหมาะสมและสะดวกแก่การใช้สอยแล้ว ก็คงต้องขอชื่นชมในประเด็นของการจัดวางที่สามารถสามารถสร้างความเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ท่ามกลางความแตกต่างได้อย่างลงตัวครับ

พ่อท่านยกห้อง เป็นพระที่สมถะมากจริงๆ ครับ ท่านไม่เคยยึดติดกับสิ่งใดๆ เลย บนกุฏิของท่านมีเพียงเตียงเก่าๆ ที่ท่านใช้จำวัด ด้านหัวนอนมีโต๊ะหมู่บูชาที่รอบๆ โต๊ะเต็มไปด้วยหนังสือธรรมะ หนังสือสวดมนต์ ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นประเบียบสำหรับแจกแก่ผู้ที่เขามากราบนมัสการท่าน

แต่เนื่องจากความชราและการที่ท่านต้องคอยต้อนรับญาติโยมบ่อยๆ ทำให้ท่านต้องย้ายตัวเองออกมานั่งรับแขกอยู่ในศาลาหลังเล็กๆ ด้านหน้ากุฏิของท่านนั่นแหละครับ แม่ชีที่อุปฐากบอกกับพวกเราว่า พ่อท่ายกห้องอาพาธและเคลื่อนไหวร่างกายไม่สะดวกมานานแล้ว

แต่ถ้าเราจับสังเกตก็จะทราบว่าแม้ท่านจะมีสุขภาพไม่แข็งแรง แต่สายตาของท่านที่จ้องมองมายังพวกเราพร้อมๆ กับความตั้งใจในการเสกพระ ไม่ว่าจะเป็นเสียงสวดมนต์ที่สั่นๆ แผ่วเบา สลับกับลมหายใจที่สม่ำเสมอในแบบฉบับของพระที่ฝึกกรรมฐานมาอย่างหนัก ทำให้พวกเราสัมผัสได้ถึงความขลังของวิชาและความเชี่ยวชาญในด้านกรรมฐานของท่านได้อย่างชัดเจนครับ

นอกจากนี้เมื่อพวกเราเห็นภาพของญาติโยมที่เข้ามาในวัดและก้มลงกราบท่านอย่างอ่อนน้อมที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้ ยิ่งสร้างความประทับใจให้กับพวกเราเป็นอย่างมากครับ สมแล้วกับที่ชาวบ้านละแวกนี้บอกกับพวกเราว่าพ่อท่านยกห้องนี่แหละคือทองคำเนื้อดีแห่งสิงหนครครับ

“ถ้าเรามองเห็นตามความเป็นจริงว่าอะไรคือความเจ็บ อะไรคือความแก่ อะไรคือความตาย เราก็จะรู้ว่านี่คือธรรมชาติ เป็นสัจธรรม เราก็จะไม่ทุกข์”

น้ำเสียงแผ่วเบากับใบหน้าที่ยิ้มแย้มของท่าน บ่งบอกกับพวกเราว่าท่านไม่เคยมีความทุกข์กับสภาพร่างกายของท่านเลย

เจ้าเพชรเล่าเสริมว่า พ่อท่านยกห้องนอกจากจะได้รับคำยกย่องว่าเป็นพระที่เก่งทางด้านเมตตาและลาภผลแล้ว ในเรื่องคงกระพันหนังเหนียวก็ยังเคยมีปรากฏให้เห็น อย่างเช่นลูกน้องของเขามากราบพ่อท่านและได้บูชาพระเนื้อว่านทรงสี่เหลี่ยมพิมพ์พระพุทธชินราช หลังจากที่กลับขึ้นกรุงเทพ มีอยู่วันหนึ่งได้ไปนั่งทานข้าว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นโชคดีหรือคราวซวยเพราะโต๊ะข้างๆ เกิดเขม่นและตีกัน ลูกน้องของเขาซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกลับถูกหางเลขโดนขวดเบียร์ตีหัว ผลคือขวดแตกคามือ ส่วนหัวบวมปูดขึ้นคาตา

เขาหัวเราะพร้อมกับหันไปยกมือขึ้นไหว้พ่อท่านยกห้อง ก่อนจะเล่าต่อว่า นอกจากพระของท่านจะเหนียวแบบสุดๆ แล้ว ยังสามารถใช้ไล่ผีได้อีกต่างหาก

เรื่องมีอยู่ว่า…
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาเช่าห้องอยู่ข้างๆ คอนโดที่เขาพักอาศัย ต่อมาชายผู้เป็นสามีเริ่มมีอาการแปลกๆ พูดจาไม่รู้เรื่อง หูตาขวางไปหมด ตัวเขาเองก็คิดว่าชายผู้นี้ถ้าไม่เมาหล้าก็คงจะเมายา แต่ภรรยายืนยันว่าสามีของตนเองไม่ได้เป็นคนประเภทนั้น ประกอบกับตัวของภรรยาเองก็ได้เอาดวงของสามีไปตรวจสอบกับครูบาอาจารย์ที่นับถือได้ความว่า สามีของตนเองโดนคุณไสยลมเพลมพัด พาไปรักษามาหลายทีแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น

ตัวเจ้าเพชรเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร แต่นึกขึ้นมาได้ว่าพระของพ่อท่านยกห้องมีส่วนผสมจำพวกของอาถรรพ์อยู่มาก จึงเกิดความคิดหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง

เขาจึงนำพระผงไปแช่ทำน้ำมนต์นำไปให้ชายผู้นี้ดื่ม

ผลคือชายผู้นี้ถึงกับอาเจียนออกมาขนานใหญ่ ฝ่ายภรรยาเมื่อเห็นสามีมีอาการดีขึ้นจึงได้ขอยืมพระองค์นี้ไปให้สามีแขวนคอ เขาว่าทุกวันนี้ฝ่ายชายมีอาการปกติ ส่วนพระที่ถูกยืมไปคงจะไม่ได้คืนแล้ว

พ่อท่านยกห้อง เป็นคนพื้นเพแถบนี้ครับ ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๗๐ ณ บ้านบ่อสระ ตำบลชิงโค อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา บิดามารดาของท่านชื่อ “นายบ่าว-นางว่อน สังฆโร” ครอบครัวของท่านประกอบอาชีพเกษตรกรรมทำไร่ทำนา ตัวท่านเองมีชื่อเดิมว่า “ยกห้อง สังฆโร” ท่านเล่าว่าในจำนวนพี่น้องทั้ง ๕ คนของท่านนั้น ดูเหมือนท่านจะเป็นเพียงคนเดียวที่มีจิตใจโน้มเอียงมาทางด้านพระพุทธศาสนามากที่สุด

“รู้ตัวว่าทำบาปไม่ขึ้น”

ท่านยิ้มก่อนเล่าต่อว่าสมัยนั้นเพื่อนๆ ของท่านมักจะชวนท่านไปเที่ยวเล่นยิงนกตกปลาตามประสาเด็กๆ แต่ท่านก็ไม่เคยไปเนื่องจากเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการสร้างความทุกข์ให้เกิดแก่สัตว์เหล่านั้น ท่านยิ้มก่อนเล่าต่อว่าเพราะเราไม่รู้ว่านกที่เราไปยิงนั้นมีลูกอ่อนที่ต้องคอยป้อนอาหารหรือเปล่า และถ้าแม่ของมันตาย ลูกนกก็ต้องตายตามเพราะอดอาหาร

ฟังแล้วอดคิดตามไม่ได้ครับว่า “แนวความคิด” ของท่านในเรื่องของการมองเห็นความทุกข์ตั้งแต่วัยเยาว์นั้น มันไม่ใช่เรื่องของความรู้สึกที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ และก็หายากเหลือเกินสำหรับคนที่จะมีความคิดแบบนี้

ท่านว่าดังนั้นในทันทีที่บิดาของท่านพาท่านไปฝากไว้กับพระอาจารย์แดง ท่านจึงขานรับด้วยความเต็มใจ ในส่วนของวิชาอาคมนั้นท่านว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกฝังอยู่ในจิตสำนึกตั้งแต่เด็กๆ เพราะในสมัยนั้นเครื่องป้องกันภัยและป้องกันตัวที่ดีที่สุดคือ “คาถาอาคม”

ท่านเล่าว่าหลังจากเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดบ่อป่าจนจบชั้นประถมปีที่ ๔ ซึ่งถือว่าสูงสุดในสมัยนั้น ท่านได้กลับมาช่วยพ่อแม่ทำไรทำนาตามประสา ก่อนที่จะผันตัวเองออกไปหาความรู้ด้านการแสดงหนังตะลุงเพิ่มเติมตามวิถีชีวิตของคนยุคสมัยนั้น

ท่านเล่าว่าช่วงนั้นท่านได้ติดตามไปดูหนังตะลุงคณะต่างๆ ทั้งนั่งดูอย่างคนดูทั่วไปที่หน้าโรงและขึ้นไปดูการแสดงของนายหนังที่หลังโรงด้วย

ท่านว่าด้วยความชอบท่านจึงได้พยายามจดจำแบบอย่างที่ดีมาฝึกฝนด้วยตัวเองที่บ้าน จนมีฝีมือพอตัวและได้เป็นลูกคู่หนังตะลุงโดยตีทับกำกับจังหวะให้กับ “หนังขับ บ้านดีหลวง” นายหนังอาวุโสผู้มีความสามารถสูงจนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “ขุนลอยฟ้า โพยมหน” ซึ่งท่านเองก็ได้ฝากตัวเป็นศิษย์และอยู่เรียนวิชาไสยศาสตร์จากหนังขับจนแตกฉาน

“ใครว่าหนังตะลุงเล่นกันง่ายๆ ขั้นตอนมีเยอะมากว่ากันตั้งแต่ก้าวขึ้นโรงก็ต้องท่องคาถา จะเล่นก็ต้องว่าคาถา ประเภทเมตตา ผูกมัดจิตใจคน ตอนเล่นก็ต้องมีคาถาป้องกันไม่ให้มีคนมาแกล้ง ยิ่งตอนต้องแข่งประชัน ต้องระวังและรอบคอบมากเป็นพิเศษ พ่อหนังขับแกเก่งเรื่องพวกนี้”

ท่านเล่าว่าหลังจากผ่านการใช้ชีวิตที่โลดโผนมาได้ระยะหนึ่งจนเกิดความเบื่อหน่าย ประกอบกับอายุก็เข้าเกณฑ์ที่สมควรบวชเพื่อทดแทนพระคุณบิดามารดา ท่านจึงได้ตัดสินใจอุปสมบท เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๙๑ ณ พัทธสีมาวัดบ่อสระ โดยมี “พระครูธรรมโฆษิต” (พ่อท่านคง) วัดธรรมโฆษณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการทอง วัดเลียบ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับฉายาว่า “จนฺทปญโญ” และเข้าจำพรรษา ณ วัดบ่อสระ และฝากตัวเข้าเป็นศิษย์เรียนวิชาอาคมจากพระอุปัชฌาย์คือ “พ่อท่านคง วัดธรรมโฆษณ์” และมาต่อวิชากับ “พ่อท่านคง วัดป่าขาด” ซึ่งเป็นศิษย์อาวุโสอีกองค์หนึ่งของพ่อท่านคง วัดธรรมโฆษณ์ จนแตกฉานสามารถสร้างและเสกได้อย่างเชี่ยวชาญ

“ทุกวันนี้มีคนเข้ามาหาเยอะมาก บางคนก็มาให้ปลุกเสกของ บางคนก็เข้ามาขอคำแนะนำ บางครั้งก็มีเด็กๆ เข้ามาขอพรให้สอบได้ สอบผ่าน ก็ไม่รู้จะใช้วิชาอะไร ก็บอกว่าครูสอนอะไร ให้ท่องจำอันนั้นไว้ ตาหลวงจะเป่าหัวให้จำแม่นๆ”

“มีอยู่ครั้งหนึ่งไปร่วมงานพุทธาภิเษก มีตำรวจเดินเข้ามาหา บอกว่าตาหลวงจำผมได้ไหม ผมเคยมาให้ตาหลวงเป่าหัว เราเห็นแล้วก็รู้สึกดีมาก เพราะอย่างน้อยสิ่งที่เราได้ทำ ก็คือการสร้างอนาคตที่ดีให้กับคน”

พ่อท่านยกห้องเล่าย้อนเรื่องราวในวันวานพร้อมรอยยิ้ม…

แสดงว่าพ่อท่านมีวาจาสิทธิ์?

“ไม่ใช่หรอก เป็นเพราะใจที่ดีของเรานำไปสู่ใจที่ดีของเขา เรื่องบางอย่างถึงจะเห็นผลช้าแต่ถ้ายืนยันว่าไม่ท้อใจและมีความพยายามแล้ว เชื่อได้เลยว่าสักวันต้องสำเร็จ เด็กคนนี้ก็เรียนไม่เก่งถึงได้มาขอพร และกลับไปทำตามที่เราบอกคือการท่องจำ ในที่สุดเขาก็สำเร็จผลดังที่เขาตั้งใจ”

ท่านเล่าว่าเหมือนกับตอนที่ท่านมารับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสลักป่าใหม่ ซึ่งท่านว่าเพียงแค่รู้ตัวว่าจะต้องมาก็แทบจะถอดใจ เพราะวัดแห่งนี้ถูกปล่อยให้รกร้างมานานมาก ชาวบ้านก็เข้ามาทำประโยชน์ในเขตวัด ดังนั้นพระองค์ไหนมาอยู่กับมักจะถูกต่อต้าน แต่ท่านว่าเมื่อตกลงยอมรับก็ต้องต่อสู้ ต้องไม่ท้อ

ท่านว่ามันเป็นเรื่องของการใช้เวลา บางเรื่องที่เคยเกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้อาจไม่ใช่เรื่องดีที่สะสมกันมานาน ความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ เมื่อสะสมมันก็จะต้องมากขึ้นเป็นธรรมดา ท่านว่าเหมือนคนเรานั่นแหละขนาดอยู่บ้านข้างๆ กัน ยังทะเลาะกันเลย ยิ่งพอมีอะไรที่ต่างกัน ก็ยิ่งมีความขัดแย้งกันได้ง่าย

แล้วพ่อท่านใช้คาถาอะไรครับจึงสามารถผูกจิตผูกใจชาวบ้านให้มาเข้าวัดได้?

“ไม่ได้ใช้คาถา ใช้ใจจริงนี่แหละ สิ่งสำคัญเบื้องต้นคือเราต้องยอมรับในความแตกต่าง ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนเขาให้มาเป็นเหมือนเรา หรือจะเปลี่ยนเราให้มาเป็นเหมือนเขา พยายามหว่านความเมตตาเพื่อให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ”

พ่อท่านยิ้มอย่างสดใส ก่อนจะเล่าต่อถึงที่มาของการจุดประทัดว่า สมัยก่อนจะเป็นพวกพ่อค้าชาวจีนหรือคนมาเลเซีย เมื่อเขาบนทำการค้าสำเร็จหรือผ่านพ้นอุปสรรค์ไปได้ เขาก็จะมาแก้บนตามวิธีการของเขาคือการจุดประทัด ซึ่งท่านเองก็รู้สึกตลก เพราะส่วนมากแล้วการจุดประทัดแก้บนมันควรจะเป็นตามศาลเจ้า แต่ว่าเดี๋ยวนี้ท่านก็รู้สึกชินแล้ว ท่านว่าทุกวันนี้คนไทยเห็นคนจีนมาจุดกันเยอะ เลยมาบนขอจุดกันบ้าง

ท่านว่าประเด็นนี้คนอื่นหรือคนภายนอกอาจจะมองแล้วรู้สึกแปลกๆ แต่ตัวท่านเองเข้าใจในเหตุและผลของการแก้บนด้วยวิธีนี้ ครั้นจะให้ท่านต้องไปนั่งทำความเข้าใจหรือไปชี้แจงท่านก็ไม่สามารถทำได้ ท่านว่าใครที่เข้าใจก็เข้าใจ ใครที่ไม่เข้าใจก็ว่ากันไปตามอัธยาศัย แต่สิ่งที่อยากให้ทุกคนรู้คือ ศรัทธาหรือปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องเฉพาะตัวของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับท่าน ท่านก็คือพระสงฆ์ธรรมดาองค์หนึ่งเท่านั้น

“สิ่งที่อยากจะบอกคืออยากให้ทุกคนหันมาศึกษาธรรมะ หันมาปฏิบัติทำความดี อยากรวยก็ต้องขยัน อยากสำเร็จก็ต้องซื่อสัตย์ อยากมีความสุขในชีวิตก็ต้องไม่ประมาท”

พ่อท่านยกห้องยิ้มอย่างสดใสอีกครั้ง ก่อนจะขอตัวขึ้นไปพักผ่อนบนกุฏิ ในขณะที่พวกเราหันไปเช่าพระในตู้บูชาวัตถุมงคล

“พระเครื่องเป็นเพียงสิ่งที่ให้กำลังใจและยึดเหนี่ยวจิตใจ อย่าไขว้เขว”

เสียงพ่อท่านกล่าวทิ้งท้ายอีกครั้งอย่างคนเข้าใจธรรมชาติ และแน่นอนครับว่าความเข้าใจนี้มีที่มาจากการรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมของชีวิต

โดยเฉพาะชีวิตติดความขลังแบบพวกเรา….สวัสดีครับ

ขอบคุณที่มาดีๆจาก oknation

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: