17 มกราคม วันคล้ายวันมรณภาพ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก …เผยที่มาคาถาเด็ด! จากนิมิตหลวงปู่ดู่กลืนดาว ยิ่งสวดยิ่งเจริญ!

17 มกราคม เป็นวันคล้ายวันละสังขารของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ อดีตเจ้าอาวาสวัดสะแก จ.อยุธยา

ขอน้อมรำลึกถึงพระคุณของหลวงปู่ดู่ ด้วยการเผยแพร่เรื่องราวเพื่อประกาศเกียรติคุณของหลวงปู่ดู่ ดังต่อไปนี้

ในคืนหนึ่ง ในช่วงก่อน ปี พ.ศ. ๒๕๐๐เล็กน้อยหลังจากที่ท่านสวดมนต์ทำวัตรเย็น และเข้าจำวัดแล้วนั้นเกิดนิมิตไปว่าได้ฉันดาว ที่มีแสงสว่างมากเข้าไป ๓ ดวง ขณะที่ฉันนั้นรู้สึกว่า กรอบๆ ดี เมื่อฉันหมดก็ตกใจตื่นท่านจึงได้พิจารณานิมิตที่เกิดขึ้น ก็เกิดความเข้าใจในนิมิตนั้นว่า ดาวสามดวง ก็คือ “ดวงแก้วไตรสรณาคมน์” นั้นเอง

(หลวงปู่ดู่ หลวงปู่ทวด)

ท่านจึงท่อง “ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ” ก็เกิดปิติขึ้นในจิตท่านอย่างท่วมท้น เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและมั่นใจว่า การยึดมั่นพระไตรสรณาคมน์ เป็นวิธีที่เข้าสู่แก่นแท้เป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา ท่านจึงกำหนดเอา พระไตรสรณาคมน์เป็นองค์บริกรรมภาวนา

ช่วงชีวิตบั้นปลายหลวงปู่ดู่
สุขภาพของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เริ่มทรุดโทรมนับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๗ เป็นต้นมา เนื่องการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ สาเหตุจากการที่บรรดาศิษย์ทั่วทุกสารทิศ ที่หลั่งไหลกันมานมัสการท่านมากขึ้นทุกวันหลายคราหลายครั้งจะสุขภาพจะทรุดหนักมาก ท่านก็อุตส่าห์ออกโปรดญาติโยมเป็นปกติ พระที่อุปัฏฐากท่าน เล่าว่า บางครั้งถึงขนาดที่ท่านต้องพยุงตัวเองขึ้นด้วยอาการสั่น และมีน้ำตาคลอเบ้า ท่านก็ไม่เคยปริปากให้ใครต้องเป็นกังวลเลย

แม้ว่าทางคณะแพทย์ ได้กราบขอร้องหลูวงปู่ให้เข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่หลวงปู่ก็ปฏิเสธ ภายหลังตรวจพบว่า หลวงปู่ อาพาธด้วยโรคลิ้นหัวใจรั่ว จนกระทั่งปลายปี พ.ศ. ๒๕๓๒ หลวงปู่เริ่มพูดบ่อยครั้งกับบรรดลูกศิษย์เกี่ยวกับการละสังขารของท่าน

แต่นั้นมาท่านก็เจริญในสมณธรรมยิ่งขึ้นๆ จนได้เห็นธรรมอันอัศจรรย์ ตลอดจนถึงภูมิธรรมเดิมของตนเองอย่างสิ้นสงสัย ความเจริญในหลักภาวนาของหลวงปู่ดู่ท่านนั้น เป็นสิ่งที่ปุถุชนมิอาจหยั่งได้เลย แต่เป็นที่ปรากฏว่าท่านสามารถล่วงรู้และรับรู้ได้ว่า บุคคลผู้ใดพึงจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ประการหนึ่ง และบุคคลผู้ใดสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว หรือบุคคลผู้ใดที่มีบารมีมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่พ้นวิสัยที่ปุถุชนคนธรรมดาจะรู้ได้ เรื่องญาณทัศนะของหลวงปู่ท่านนั้นแจ่มแจ้งมากและไวเสียด้วย เรื่องเมตตาของท่านก็มากล้นพ้นประมาณเกินจะกล่าว คงทรงไว้ซึ่งความรู้สึกนี้ในใจของสานุศิษย์ทั้งหลายนั่นแล

จนเมื่อวันอังคารที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ช่วงเวลาบ่ายนั้น มีนายทหารอากาศผู้หนึ่งมากราบท่านเป็นครั้งแรก หลวงปู่ท่านได้ลุกขึ้นนั่งตอนรับ ด้วยใบหน้าที่สดใส ราศีเปล่งปลั่งเป็นพิเศษ จนบรรดาศิษย์ เห็นผิดสังเกต หลวงปู่ยินดีที่ได้พบกับศิษย์ผู้นี้ ท่านว่า

“ต่อไปนี้ ข้าจะได้หายเจ็บไข้เสียที ” คืนนั้นมีคณะศิษย์มากราบท่าน ท่านได้พูดว่า “ ไม่มีส่วนใดในร่างกายที่ไม่เจ็บปวดเลย ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าห้อง ICU ไปนานแล้ว ” พร้อมทั้งพูดหนักแน่นว่า “ข้าจะไปแล้วนะ” และกล่าวปัจฉิมโอวาทย้ำให้ทุกคนตั้งอยู่ในความไม่ประมาท “ถึงอย่างไรก็ขอให้อย่าได้ละทิ้งการปฏิบัติ ได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติ ก็เหมือนนักมวย ขึ้นเวทีแล้วต้องชก อย่ามัวแต่ตั้งท่า เงอะๆ งะๆ”

คืนนั้นหลวงปู่ก็กลับเข้ากุฏิ และละสังขารไปด้วยอาการสงบในกุฏิท่าน เมื่อเวลาประมาณ ๕ นาฬิกา ของ วันพุธที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ รวมสิริอายุได้ ๘๕ ปี ๘ เดือน ๖๕ พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่พระราชทานเพลิงศพองค์หลวงปู่ดู่ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๕

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: