1632.หลวงพ่อ ขอจงเมตตา ผีปอบกินลูกของอิฉันนะ

หลวงปู่จันทาธุดงค์พบผีกินผี
ผีกินผี
สมัยหนึ่ง (ปี ๒๔๙๖) ไปวิเวกอยู่ที่ถ้ำเป็ด ภูเหล็ก อ.สว่างแดนดิน (ปัจจุบันเป็น อ.ส่องดาว จ.สกลนคร) กับหลวงพ่อไค ๆ เป็นคนภูไท อายุมากแล้ว (๖๐ – ๗๐ ปี) จึงบอกว่า
“หลวงพ่อไค ที่นี่ผีมันร้ายนะ คนไม่กล้ามาทำไร่ ทำสวน เพราะผีมันกวน ฉะนั้น เวลาจะถ่ายปัสสาวะให้นั่งถ่ายใส่รางให้เป็นที่เป็นทางนะ อย่าไปถ่ายเรี่ยราดทั่วไป ไม่ดี เดี๋ยวผีมันจะดึงหำเอา” (หำ คือ อัณฑะ)
หลวงพ่อไคก็ว่า “ผมมันแก่แล้ว เวลาปวดปัสสาวะแล้วมันก็ไหลเลย”
วันหนึ่งได้ยินเสียงหลวงพ่อไคร้อง “โอ๊ย ! …”
จึงถามไปว่า “เป็นอะไร ?”
หลวงพ่อไคก็ว่า “ผีมันดึงหำ”
“นั่นแหละ บอกแล้วไม่ฟังก็เป็นอย่างนั้น ลูกหลานเขาหยอกคนแก่หรอก นี่แหละ โทษฐานที่ถ่ายปัสสาวะไม่เป็นที่ ไม่เป็นทาง”

จากนั้น อยู่มาวันหนึ่ง นั่งภาวนาอยู่ในป่าจนถึง ๖ ทุ่ม ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องว่า
“พี่น้อง…มาช่วยฉันเถอะว้า ผีปอบมากินลูกฉัน ฉันคลอดลูกใหม่ ๆ ผีปอบมากินเลย”
อ้าว ! … มันอะไรกัน มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนกลางวัน ไม่เห็นมีอะไร โอ๋…ดอนป่าไม้นี้ มีผีอยู่ที่นั่นกลุ่มหนึ่ง ร้องเรียกบักทิดบักจารย์ มาช่วยกันขับไล่ผีปอบ ผีเหล่านั้นก็ออกมาจากพุ่มไม้ กอไม้ ต้นไม้ต่ำ ๆ เป็นปราสาทที่อยู่ มาแล้วก็ขับไล่กันทุกอย่าง ก็ไม่ออก

เมื่อไม่ออกแล้วทำอย่างไร หมดคาถาแล้ว คาถาของเรานี้ แต่ก่อนก็คมกล้าดี แต่มาระยะนี้ มาอยู่กับผู้หญิง อาถรรพ์ของผู้หญิงนั้นกล้า คาถาดีเท่าไหร่ก็เสื่อมหมด ฉะนั้นจงไปขอน้ำมนต์จากพระที่ท่านมาเจริญธรรมที่ถ้ำนะ เพราะศีลของท่านดี ท่านไม่ได้อยู่กับผู้หญิง ไม่ได้กินเหล้าสุรานารีอะไร

ยายคนนั้น คนแก่ ๆ ดำ ๆ สูง ๆ ก็เลยเอาขันน้ำมาหา แล้วว่า
“หลวงพ่อ ขอจงเมตตาช่วยเหลือข้าพเจ้าเถอะว้า ผีปอบกินลูกของอิฉันนะ คลอดบุตรใหม่ ๆ ผีมากินแล้ว”

ก็เลยทำน้ำมนต์ให้ ใช้คาถาธรรมพระไตรสรณคมน์นั่นแหละ ให้เอาไปกิน พอกินแล้วก็อาเจียนออกมาเลย นั่นแหละ ผีมันออกแล้ว

จากนั้น พวกนี้ก็กลับไปอยู่ตามถ้ำแคบ ๆ เล็ก ๆ ตามกอไม้กอหญ้าต่ำ ๆ จึงถามว่า
“ทำไมไม่ไปอยู่ในถ้ำใหญ่ ๆ ?”

เขาตอบว่า “ไปอยู่ไม่ได้นะท่าน เข้าไปแล้วมันร้อนเหมือนไฟ เพราะสมัยที่มีภพชาติเป็นมนุษย์โน้น พ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายายพากันนับถือผี เมื่อถึงฤดูกาลก็บวงสรวง เซ่นไหว้ผีหมอ ผีฟ้า ผีต่าง ๆ ทุกอย่าง น้อมเอาผีมาเป็นที่พึ่งทั้งนั้น

แม้ว่านักปราชญ์จะป่าวร้องเชิญชวนให้เข้าวัดฟังธรรม จำศีล เจริญภาวนา สร้างถนนหนทาง สร้างน้ำบ่อก่อศาลาก็ไม่ยินดี ถือว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีพอแล้ว ไม่อดไม่อยาก ไม่ยากไม่จน ใครยังไม่พอก็ทำไปเถอะ”

“นั่นแหละ ฆ่าวัว ฆ่าควาย กินเหล้ากินยา สุรานารี ไม่ถือผัวถือเมีย เสพกามกันไม่เลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่าลูกเขาเมียใคร ไม่ถือกันทั้งนั้น ดังนั้น เมื่อตายแล้วพวกข้าพเจ้าจึงมาเกิดเป็นผีอยู่ที่นี่ ไปไหนมาไหนไม่ได้ ร้องไห้บ่นเพ้อละเมอใจ เป็นทุกข์ทรมาน หนอนเจาะของลับ น้ำเน่าไหล อาศัยอยู่ในถ้ำแคบ ๆ แสนทุกข์ยากลำบาก ครั้นเดือน ๔ เดือน ๕ ก็มีไฟไหม้ป่ามา ต้องขนข้าวของหนี ฉิบหายทุกปีแหละท่าน”

นั่นแหละ เคยเห็นแต่ผีปอบกินคน แต่นี่ ทำไมหนอ ผีจึงมากินผี จึงกำหนดถามพระธรรม ๆ ก็พูดขึ้นมาที่ใจว่า

“เจ้าอุ้มลุ่ม เจ้าผู้ตุ้มผ้าดำ แสนจะหนีไปลี้ภูเขา ถ้ำใหญ่ก็ดีถ่อน กรรมเวร เวรกรรม หากสินำซอกใช้ กินไส้บ่หร๋อเจ้าเอย”
(คนใจบาปหยาบช้า ถึงจะหลบหนีไปอยู่ที่ใด บาปกรรมก็จะตามไปสังหารให้เดือดร้อนอาทรใจเสมอ)

นั่นแหละ ไปเห็นมาอย่างนั้นแล้วก็สิ้นสงสัย คนที่มีนิสัยเคยถือผีถือสางคางแดงมาแต่ครั้งเมื่อเป็นมนุษย์ เมื่อตายไปก็ไปเกิดเป็นผีตกทุกข์ได้ยาก ถึงจะช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ มันก็ไม่สนใจหรอก ควรที่จะมาขอรับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ก็ไม่มา นิสัยเคยถือผีสางอย่างนั้น ถึงจะพ้นทุกข์ได้ก็ไม่อัศจรรย์อะไรหรอก นี่แหละ โทษของการนับถือผีก็เป็นอย่างนั้น

นั่นแหละ ไปเห็นอย่างนั้นก็ได้ธรรมะ คือ คนที่นับถือผี เมื่อตายไปแล้ว ก็ไปเกิดเป็นผีอย่างนั้นแน่นอน จะไปมนุษย์หรือสวรรค์ไม่ได้ เพราะไม่มีศีลธรรมอันดีงาม มีแต่กรรมชั่วช้าลามก คือ โลภะ โทสะ โมหะฉาบทาจิตใจ ตายแล้วไปเกิดเป็นผีอย่างนั้น นั่นแหละ ก็ได้ความสังเวชสลดใจ ได้วิชาปัญญาความรู้

ข้อมูลจาก http://www.palungjit.com/

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: