1624.ผมมีประสบการณ์คาถาของหลวงพ่อปาน

ผมมีประสบการณ์คาถาของหลวงพ่อปาน
คือในตอนที่มีเรื่องเขามีปืนและส่องมาทางผมและส่ายกระบอกปืนไปมา
แต่ที่แปลกก็คือเจ้านั่นกลับมองไม่เห็นและบ่นพึมพำและตะโกนไปทางกลุ่มเพื่อนๆผมที่วงแตกไป เพื่อนๆเอาไปใช้กันนะครับ ผมบอกเลยของจริง
ชื่อคาถาป้องกันอันตราย(นะโม3จบ)
พุทโธ พุทธัง นะกันตัง อะระหัง พุทโธ นะโม พุทธายะ
แต่ถ้าเจอพวกอาวุธที่ร้ายแรงให้ภาวนาว่า
อุทธัง อัทโธ นะโม พุทธายะ
ขอบุญบารมีองค์หลวงพ่อปานคุ้มครองทุกๆท่านครับ

เครดิต คุณ จ๊ะเอ๋ สวัสดีชาวโลก

ฤทธิ์อภิญญาหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

เรื่องเรือยนต์หยุดนี้เป็นข่าวอยู่เสมอในสมัยนั้น
คือว่าสมัยตอนต้น ก็มีเรือเขียวเรือแดงรับคนโดยสาร
ตอนเช้าเรือเขียววิ่งมาลำหนึ่ง แล้วก็เรือแดง 1 ลำ …
จากอำเภอผักไห่ ผ่านหน้าวัดบางนมโค แต่บรรดาเรือ
ทั้งหลายนี่ เวลาวิ่งผ่านหน้าวัด ไม่เบาเครื่อง คลื่นมันก็จัด
แล้วก็เป็นที่เดือดร้อนของคนไข้ไม่สบาย ที่มารักษาโรค
กับหลวงพ่อปาน เอาเรือมาจอดอยู่ที่หน้าวัดเป็นต้น

คล้ายกับวัดอื่นเขามีงาน แต่นั่นเป็นยามปกติ เพราะคนไข้
ของหลวงพ่อนี่ ท่านสร้างสถานที่พักไว้ให้ คือตั้งเป็น
โรงอาศัยคนไข้ เรียกว่าโรงคนไข้ จุได้ประมาณสัก 200 คน
นอนเรียงกัน 2 แถว แล้วมีบริเวณกว้าง มีที่ทำครัว ถ้าไม่พอ
บางคราวก็ไม่พอต้องอาศัยศาลาการเปรียญบ้าง หนักเข้า
ก็ต้องอาศัยหน้ากุฏิพระบ้าง คนไข้มากขนาดนั้น

เพราะโรงพยาบาลหรือสุขศาลาเวลานั้น ก็หายาก หมอ
ที่ตั้งทำการรักษาตามในที่เจริญก็ไม่มี มีก็แต่หมอโบราณ
เขาก็เอาสตางค์มารักษาที่หลวงพ่อปานดีกว่า ไม่ต้องเสีย
สตางค์ จะเสียก็สตางค์ค่ายา ยาหม้อหนึ่งก็ราคา 2 บาท
ไม่มาก ข่ากับใบระกา หรือใบระกากับหญ้าแพรก
สำหรับอาหารการบริโภค ถ้าไม่มีก็กินกับหลวงพ่อปาน
สบาย เป็นอันว่ารักษาสบายกัน

ทีนี้ บรรดาเรือเขียวก็ดี เรือแดงก็ดี แต่ว่าเรือเขียวเป็นเรือ
ของขุนพิทักษ์ เขามีความเคารพในหลวงพ่อปานมาก
เวลาเข้าเขตวัดบางนมโค ก็วิ่งเบา เบาเครื่อง ถ้าเรือมาก
เท่าไรก็เบามากเท่านั้น จนกระทั่งคลื่นเป็นลูกๆ เรือก็
โคลงบ้าง แต่ไม่มากนัก แต่ว่าเรือแดงนี่เป็นเรือของฝรั่งเขา
สยามสติมแป็กเก็ต เขาให้ชื่อของเขายังงั้น ไม่ค่อยจะเบา
วิ่งตามอัชฌาสัยตามสบาย แต่ความจริงคนบังคับเรือ
ก็เป็นคนไทย ไม่ใช่ฝรั่ง แต่เขาถือว่านายเขาเป็นฝรั่ง

วันหนึ่งหลวงพ่อปานท่านมานั่งอยู่หน้าวัด ท่านก็นั่งมอง
ว่าไอ้เจ้าเรือพวกนี้นี่ มันไม่รู้จักเกรงใจคนไข้คนป่วยบ้าง
เรือเขาจอดกันอยู่มากๆ เรือกระทบกันก็มีอันตราย มันก็วิ่ง
ตามอัชฌาสัยของมัน นี่มันจะเบาตัวสักนิดชั่วระยะหน้าวัด
ประมาณ 5 เส้น นี่มันก็จะไม่ช้าสักเท่าไร

ขณะนั้นที่นั่งอยู่มีคนอยู่ 2 คน คือตายุงกับตาวงศ์ เขาก็ว่า
ท่านขอรับ ก็ทำให้เรือมันวิ่งไม่ได้ ได้ไหมขอรับ ท่านก็บอกว่าได้
มันเป็นของไม่ยาก จะให้มันวิ่งไม่ได้น่ะได้ แต่จะให้เสียเลยไม่ได้
จะทำลายทรัพย์สินเขาไม่ได้ แกก็เลยบอกว่า เอาให้มันวิ่ง
ไม่ไหวอย่างเดียว แต่เครื่องไม่เสียได้ไหมขอรับ ท่านก็บอกว่าทำได้
แล้วต่อมาอีกวันหนึ่ง ถึงเวลาที่เรือจะมา เรือเมล์จะขึ้นมันเป็นเวลา
ตอนเย็นก็ประมาณสัก 4 หรือ 5 โมงเย็น เรือขึ้นจากกรุงเทพ
ถ้าหากว่าตอนเช้าก็ประมาณโมงเช้านี่ 1 ลำ แล้วประมาณ
2 โมงหรือ 3 โมงเช้าอีก 1 ลำแล้วก็วิ่งระยะห่างกัน เรือเขียว
กับเรือแดงออกไม่พร้อมกัน เรือแดงออกก่อน เรือเขียวออกทีหลัง

ถึงเวลานั้นท่านก็ไปนั่งหน้าท่า ตายุงกับตาวงศ์ก็ไปด้วย ไปนั่งดูว่า
เรืออะไรที่มันไม่เบาที่หน้าวัด วิ่งแล้วไม่เบาเครื่อง ก็ปรากฏว่าเรือแดง
เรือแดงลำนั้นในสมัยนั้น ชื่อว่าโอปอ แปลว่ายังไงก็ไม่ทราบ เขาเขียน
ว่าโอปอ วิ่งมาก็เต็มฝีจักร ใช้เครื่องกลไฟ ใช้เครื่องไอน้ำนะ พอเข้า
เขตหน้าวัด ท่านนั่งอยู่ใกล้ๆ วัด เจ้าเรือนั้นมันก็ไม่เบา ตายุงกับตาวงศ์
ก็บอกว่าท่านขอรับ ให้มันหยุดเสียได้ไหม ท่านก็บอกว่าได้ เขาบอกว่า
หยุดได้แล้วนี่ขอรับหน้าวัด

ท่านก็เลยบอก อ้าว มันก็หยุดแล้วนี่นา ท่านว่ายังงั้น ความจริง
เรือยังใช้ฝีจักรเต็มที่ เวลาที่ท่านบอกว่าหยุดแล้วน่ะ ความจริง
มันยังไม่หยุดมันวิ่งอยู่ แต่พอท่านพูดก็ปรากฏว่าเรือไม่เคลื่อนที่
ไอ้เจ้าเรือยนต์มันใช้ฝีจักรได้เต็มที่ ใบพัดของมันหมุนน้ำเป็นฟอง
แต่ว่าเรือไม่ไป คราวนี้ยุ่ง จะหันซ้ายหันขวามันก็ไม่หัน คล้ายกับ
ปักสมอดึงไว้ทั้งหน้าหลัง นี่เป็นเรื่องแปลกจริงๆ

เจ้าหน้าที่ของเรือก็วิ่งกันไขว่ ไม่รู้จะทำยังไง ในที่สุดนายท้าย
ก็สั่งดับเครื่อง เรือหยุดเครื่องแล้วก็เรียกเรือเล็ก 1 ลำมารับ
เข้ามากราบหลวงพ่อแล้วก็ขอขมาโทษ ท่านก็บอกว่า อ้าว
ก็เครื่องมันไม่ได้เสียไม่ใช่รึ เขาก็บอกว่าเครื่องไม่เสียครับ
แต่ว่าเรือมันไม่ไป ท่านก็เลยถามว่าทำไมจึงไม่ไปล่ะรู้ไหม
น่ากลัวว่าเขาจะคิดได้ เขาก็เลยบอกว่าผมมาหน้าวัดของ
หลวงพ่อผมไม่เคยเบาเครื่อง เรือจอดอยู่มาก เห็นจะเป็น
เพราะผีหรือเทวดาหรือพระที่วัดนี้มีความศักดิ์สิทธิ์ท่าน
จะโกรธผม คงทำไม่ให้เรือไป ท่านก็เลยถามต่อไปว่า
ต่อไปนี้จะเบาเครื่องได้ไหมล่ะ ถ้าเบาได้ละก็เรือมันก็วิ่งได้
ถ้าเบาไม่ได้เรือมันก็วิ่งไม่ได้ ทีหลังถ้าเข้ามาวัดนี้ถ้าไม่เบา
เครื่องละก็เรือมันจะไม่ผ่านหน้าวัด

คราวนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ นายท้ายกับเอ็นยิเนียร์ก็ก้มลงกราบ
บอกว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขอรับผมจะสั่งพรรคพวก
ทั้งหมดว่า ถ้าเข้าเขตวัดนี้ให้เบาเครื่อง ท่านก็บอกว่า
ถ้ามีมรรยาทดีอย่างนั้น เห็นใจคนอื่นแบบนั้นก็ใช้ได้
เครื่องมันก็ไม่เสีย เรือก็ไป ถ้ามิฉะนั้นละก็ ถ้าเธอมีจิต
คิดว่าหาผลประโยชน์เฉพาะส่วนตัวเป็นสำคัญ
เรื่องของตัวสำคัญกว่าเรื่องของคนอื่นละก็ เรือมันจะเข้า
เขตวัดนี้ไม่ได้ เอ้ากลับไปได้แล้ว มันก็ไปได้แล้วนี่นะ
สองคนกราบลงไป พอขึ้นเรือก็ปรากฏว่าเรือวิ่งไปตามปรกติ

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็ปรากฏว่าเรือทั้งหลายไม่ใช่
แต่เฉพาะเรือแดงของสยามสติมแป็กเก็ต จะเป็นเรือ
ขนาดไหนก็ตามต่างคนต่างก็เบาเครื่องกันเป็นแถว
ยังงี้ก็ดีเหมือนกัน ผลที่ปรากฏขึ้นมาอย่างนี้เป็นเรื่อง
อภิญญาสมาบัติ แต่ว่าท่านก็ไม่ได้แสดงอวดใคร
ท่านทำเพื่อเป็นการสงเคราะห์บรรดาประชาชน
ที่มาจอดเอาคนไข้มารักษาที่วัดของท่าน

จาก เรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม 1

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: