1555.หลวงพ่อเสือ วัดไผ่สามกอ แห่งเมืองแปดริ้ว ผู้ที่มีพลังจิตรอันแก่กล้ามาก

หลวงพ่อเสือ วัดไผ่สามกอ

ท่านคือ 1 เดียว ในสยาม เก่งกว่าที่หลายท่านคิดว่า เก่ง..
[รายละเอียด] และมีวิชาอาคมเข้มขลังหาใดเทียม…. 1 เดียวใน สยาม ที่มีตาลปัตร เป็นรูป ” เสือ ” ((((หลวงพ่อเสือ วัดสามกอ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา)))) เหรียญ รุ่นแรก หลวงพ่อเสือ วัดไผ่สามกอ ปี 2492 หายากยิ่งนักแล….++ ท่านเป็นสุดยอดเกจิ แห่งเมืองแปดริ้ว ผู้มี ฌาณสมาบัติขั้นสูง มีพุทธาคมเข้มขลัง แก่กล้า โด่งดังมากในเรื่อง ของน้ำมนต์ ผ้ายันต์ เสื้อยันต์ สมัยท่านมีชีวิตอยู่ ละแวกนั้นและพื้นที่เขตจังหวัดใกล้เคียง เช่น ชลบุรี ฯลฯ

หากมีพิธี ปลุกเสกใดๆ มักจะนิมนต์ท่านเข้าร่วมเสมอ สมัยก่อน ใครที่เป็นบ้า เป็นบอ ถูกคุณไสย์ หรือโดนกระทำใดๆ ก็ตามที่ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด นำมาล่ามไว้ที่วัดไผ่สามกอ 3 วัน 7 วัน หายเป็นปลิดทิ้ง ทุกรายไป วัตถุมงคล ของท่านเด่นดัง ด้าน มหาอุต คงกระพันชาตรี อย่างมาก ท่านเป็น เกจิอาจารย์ ยุคเดียวกับ หลวงพ่อดิ่ง วัด บางวัว หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก หลวงพ่อจาด วัด บางกระเบา หลวงพ่อคง วัดซำป่าง่าม ร่วมปลุกเสกพิธีเดียวกันเสมอๆ

พุทธาคมแก่กล้าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย และ ท่านยังเป็น พระภิษุสงฆ์รูปเดียวในสมัยนั้น ที่มี ตาลปัตร เป็น รูปเสือ หลวงพ่อเสือ เกิดเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๐๕ ที่ จ. ชลบุรี โยมบิดา ชื่อ นายแสวง โยมมารดาชื่อ นางลำเจียก ตั้งแต่เด็กเมื่อได้มีโอกาสติดตามพ่อแม่ไปวัดตอน๕ – ๖ ขวบ และได้ฝึกหัดทำสมาธิจึงได้รับรู้ถึงความสงบสุขอันเกิดจากจิตที่เป็นสมาธิ อายุ ๑๖ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดหลวง จ.ชลบุรี

และได้ติดตามพระอุปัชฌาย์ออกธุดงค์ หลังจากนั้น ๗ วันท่านจึงแยกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ตามลำพัง ในปีต่อมาหลวงพ่อได้ธุดงค์ไปสกลนครพระอาจารย์ที่นั่นได้แนะนำให้เดินทางไปพม่าซึ่งเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ท่านจึงเริ่มออกเดินทางผ่านอุดรธานี ไปจนถึงพม่า อาศัยพักอยู่ที่วัดโชติการาม โดยมีพระอาจารย์โชติกะธรรมจริยะ คอยแนะนำ และให้ความสะดวกตลอดเวลา ๖ เดือน เมื่ออุปสมบทแล้วท่านก็ธุดงค์กลับไปที่พม่าอีกครั้งหนึ่ง

โดยพักอยู่ที่วัดซันคยองวิหาร ถึง ๒ ปี ณที่นี้หลวงพ่อได้พบกับ ท่านเลดี สย่าดอ มหาเถระ ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นผู้คอยแนะแนวทางการปฏิบัติธรรม การศึกษาพระไตรปิฏกให้

หลังจากนั้นหลวงพ่อยังได้เดินทางไปที่ลังกาได้พบและศึกษากับ ท่านญาณโปนิกมหาเถระ กลับจากลังกาแล้วหลวงพ่อได้พักปฏิบัติธรรมที่ถ้ำเชียงดาว ๓ ปีเศษ ต่อจากนั้นได้มาพักอยู่ที่หมู่บ้านชาวเขาบนดอยปุย สอนธรรมะ และรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับชาวเขา เป็นเวลาถึง ๙ ปีจึงเดินทางกลับมาบ้านเกิด ที่ชลบุรีโดยมีจุดมุ่งหมายที่จะมาช่วยเหลือชาวบ้านทั้งการให้ธรรมะและช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้ ๔๕ ปีมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแถบจังหวัดชลบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา ต่อมามีชาวบ้าน ต.สิบเอ็ดศอก อ.บ้านโพธิ์จ.ฉะเชิงเทรา ได้ร่วมใจกันสร้างกุฏิเล็กๆ และนิมนต์ให้ท่านอาศัยอยู่จนในที่สุดสร้างเป็นวัดขึ้น ให้ชื่อว่า “วัดไผ่สามกอ” ตามสัญญลักษณ์ที่มีต้นไผ่เหลืองที่ขึ้นอยู่ ๓ กอหน้ากุฏิของท่านที่ชาวบ้านปลูกถวายนั่นเอง

มีเรื่องเล่าว่า… หลวงพ่อไม่เคยสรงน้ำเลยแต่ทุกวันเวลาท่านอยู่ในห้องผู้ที่อยู่ใกล้เคียงจะได้ยินเสียน้ำเหมือนไหลจากฝักบัวและร่างกายของหลวงพ่อก็เปียกเอง ทั้งยังมีกลิ่นหอมเหมือนดอกลำเจียก

เมื่อถึงวันเกิดของท่านผู้คนจะหลั่งไหลมาสรงน้ำท่าน เวลาท่านเดินลงจากกุฏิ ฝนจะตกลงมาพอดีทุกครั้งท่านจึงได้ฉายาว่า “พระวิรุฬหผล” ท่านเป็นผู้ที่มีจิตรกล้าแกร่งมากได้รับการเลือกเป็นผู้นำพระออกลุขมูลในสายแปดริ้ว รับช่วงต่อจาก ล.พ เหลือวัดสาวชะโงก สุดยอดเกจิย์ ผู้โด่งดังด้าน ปลัดขิกของเมืองแปดริ้ว

ชาวบ้านแถบวัดเล่าให้ฟังว่าสมัยนั้น คนที่เป็นบ้าวิกรจริต ซึ่งไม่ได้เป็นแต่กำเนิด อาจถูกของคุณไสย จะถูกพามาหาท่านให้ท่านรักษาให้ ภายใน 3-7 วันก็จะหายดี คนถูกผีเข้าโดนของท่านจะใช้พลังจิตรช่วยขับไล่ปัดเป่า จนหายดีทุกคนไป เป็นที่พึ่งของชาวบ้านเสมอมา..

ซึ่งท่านเก่งทำน้ำมนต์มาก น้ำมนต์ของท่านนั้นชงักนัก คนโดนผีเข้าโดนคุณไสย แรงแค่ใหนเห็นเป็นต้องออกทุกรายไป แม่ค้าแม่ขายมาขอน้ำมนต์จากท่านไปพรม ร้านค้า ขายของดีเป็นเทน้ำเทท่าเลย และยิ่งด้วยพลังจิตรของท่านที่แก่กล้ามาก ขนาดญาติผู้ป่วยไม่สามารถพาคนป่วยมาได้ มาบอกกล่าวท่านให้ช่วย ท่านยังสามารถ ส่งกระแสจิตไปช่วยปัดเป่าให้คนป่วย นั้นหายดี จนได้…..

ท่านยังเป็นหนึ่งในเกจิย์ ที่ถูกนิมนต์ไปพิธีใหญ่วัดราชบพิตรปี 81 และเป็นหนึ่งในเกจิย์ที่ร่วมปลุกเสก หลวงพ่อโสธร รุ่น สองหน้าปี 2497อันโด่งดังที่มีประสบการณ์เล่าขานตั้งแต่สมัยก่อนจวบจนถึงปัจจุบัน ส่วนวัตถุมงคลของท่านก็สร้างปฏิหารย์ให้คนที่บูชาเสมอมา เช่น เรื่องที่ผู้ใหญ่บ้าน ท่านหนึ่ง แขวนเหรียญรุ่นแรกของท่านแล้วโดนผู้ร้าย ไล่ยิงจน วิ่งไปจนมุม จึงอารธนาถึง ล.พ เสือให้ช่วยแล้วกลั้นใจเดินฝ่าวงล้อมโจรออกมาเฉยๆๆ รอดพ้นออกมาโดยที่ไม่มี โจรคนใหนเห็นเลยเหมือนท่านช่วยบังตาไว้ …

และยังมีเรื่องไม้เท้าของท่าน ที่ทิ้งไว้ที่ถ้ำเชียงดาวซึ่งเคยเป็นสถานปฏิบัติธรรมของท่าน ชาวบ้านแถวนั้นเล่าให้ฟังว่าเคยมีพระธุดงค์ชื่อ เสือ ได้มานั่งปฏิบัติธรรม แล้วทิ้งไม้เท้าไว้เมื่อถ่ายรูปไม้เท้าไว้เป็นที่ระลึก ก็ปรากฏว่า เกิดมีรัศมีขึ้นในภาพนั้นเป็นวงล้อมรอบไม้เท้า ของท่าน……

เมื่อตอนอายุได้ ๕๕ ปีท่านได้ธุดงค์ไปประเทศลังกาเป็นเวลานานเพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาในรายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนมรณภาพ หลวงพ่อรู้ล่วงหน้าท่านจึงได้เตรียมตัวพร้อม โดยเรียกลูกศิษย์มาถ่ายรูปของท่านไว้ ให้ทำความสะอาดศาลาและเรียกมาประชุมฟังธรรม หลังจากนั้นท่านก็เริ่มป่วยมีไข้ทวีขึ้นทั้งวันทั้งคืน

เมื่อถึงวันโกนท่านก็ลุกขึ้นจากที่นอนสั่งให่ช่วยกันปลงผม ซึ่งชาวบ้านก็พูดเตือนว่าคนเป็นไข้เขาห้ามตัดผลแต่ท่านก็พูดให้คติว่า “คนเราถ้าถึงเวลาตายแล้วถึงจะปล่อยให้ผมยาวเพียงไหน ชีวิตก็ยาวต่อไปไม่ได้” ก่อนมรณภาพ ๔ วัน หลวงพ่อได้สั่งว่าท่านจะทำสมาธิ เจริญวิปัสสนาอยู่ในห้อง ๔ วัน ห้ามไม่ให้ใครมารบกวน ครั้นครบ ๔ วันตามที่ท่านสั่งแล้ว ลูกศิษย์ (คือ หลวงตาเผย) ได้เคาะประตูห้องเมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ

ลูกศิษย์จึงเข้าไปดู พบว่า หลวงพ่อครองผ้าไตรจีวรครบถ้วนเหมือนเวลาที่มีพิธีกรรมทางศาสนามีตาลปัตรตั้งไว้ด้านขวา มีข้อความเขียนไว้ที่ผ้าสังฆาฏิว่า “เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา” ท่านนอนตะแคงขวาเหมือนหลับ สีหน้าสงบปราศจากความเศร้าหมอง ทุกคนก็ทราบทันทีว่า ท่านได้มรณภาพแล้ว

วันนั้นตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ นี่แหละเป็นแค่ส่วนหนึ่งของ ชีวประวัติของสุดยอดเกจิย์ อีกท่านหนึ่ง ชอง แปดริ้ว ที่มีวิชาอาคมและพลังจิตรที่แก่กล้าอย่างมาก ซึ่งไม่โด่งดังมากมายเพราะท่านไม่ชอบคุยโว โอ้อวดใดๆ แต่ท่านนั้น เก่งจริง เก่งเงียบ ….แอ็บบี้ 28 ขอรับประกันด้วยความศรัทธาครับ.. ……. หลวงพ่อเสือ วัดไผ่สามกอ แปดริ้ว …….

หลวงพ่อเสือเป็นสุดยอดเกจิดังแห่งเมืองแปดริ้ว ผู้มีฌานสมาบัติขั้นสูง มีพุทธาคมแก่กล้า โด่งดังมากในเรื่องของน้ำมนต์ ผ้ายันต์ เสื้อยันต์

ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ยุคเดียวกับหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา หลวงพ่อคง วัดซำป่าง่าม ร่วมปลุกเสกพิธีเดียวกันเสมอๆ พุทธาคมแก่กล้าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย และท่านยังเป็นพระสงฆ์รูปเดียวในสมัยนั้นที่มีตาลปัตรเป็นรูปเสือ

สมัยท่านมีชีวิตอยู่ ละแวกนั้นและพื้นที่เขตจังหวัดใกล้เคียง เช่น ชลบุรี ฯลฯ หากมีพิธีปลุกเสกใดๆ มักจะนิมนต์ ท่านเข้าร่วมเสมอ ใครที่เป็นบ้าเป็นบอ ถูกคุณไสย หรือโดนกระทำใดๆ ก็ตามที่ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด นำมาล่ามไว้ที่วัดไผ่สามกอ 3 วัน 7 วัน หายเป็นปลิดทิ้งทุกรายไป

วัตถุมงคลของท่านเด่นดังด้านมหาอุด คงกระพันชาตรีอย่างมาก อย่างเช่น เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก สร้างปีพ.ศ.2492 มีประสบการณ์ มากมาย ปัจจุบันหาสภาพสวยๆ ยาก และมีราคาเล่นหาสูง

เหรียญรุ่นสองออกปี 2493 ในงานผูกพัทธสีมา วัดแก้วศิลาราม(หนองขวาง) อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี หายากเหมือนกัน เหรียญรูปเหมือนใบโพธิ์ หลังนางกวัก
นอกจากนี้ ยังมีนางกวักเนื้อดิน หลังยันต์น้ำเต้า, พระลีลา เนื้อชินเขียว ประเภทเครื่องรางของขลังมีอาทิ ตะกรุด, หวายเสก และปลาตะเพียนเนื้อชิน ที่บอกกันว่าหายากกว่าเหรียญรุ่นแรกเสียอีก

หลวงพ่อเสือ วัดสามกอ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา เกิดเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2405 ที่ จ.ชลบุรี

อายุ 16 ปี บรรพชาที่วัดหลวง จ.ชลบุรี และได้ติดตามพระอุปัชฌาย์ออกธุดงค์ หลังจากนั้น 7 วัน ท่านจึงแยกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ตามลำพัง
ปีต่อมาหลวงพ่อได้ธุดงค์ไปสกลนคร พระอาจารย์ที่นั่นได้แนะนำให้เดินทางไปพม่า ซึ่งเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ท่านจึงเริ่มออกเดินทางผ่านอุดรธานี ไปจนถึงพม่า อาศัยพักอยู่ที่วัดโชติการาม โดยมีพระอาจารย์โชติกะธรรมจริยะ คอยแนะนำ และให้ความสะดวกตลอดเวลา 6 เดือน

เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านก็ธุดงค์กลับไปที่พม่าอีกครั้งหนึ่ง โดยพักอยู่ที่วัดซันคยองวิหาร ถึง 2 ปี ณ ที่นี้หลวงพ่อได้พบกับท่านเลดี สย่าดอ มหาเถระ ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นผู้คอยแนะแนวทางการปฏิบัติธรรม การศึกษาพระไตรปิฎกให้ หลังจากนั้นหลวงพ่อยังได้เดินทางไปที่ลังกา ได้พบและศึกษากับท่านญาณโปนิกมหาเถระ กลับจากลังกาแล้ว หลวงพ่อได้พักปฏิบัติธรรมที่ถ้ำเชียงดาว 3 ปีเศษ

ต่อจากนั้นได้มาพักอยู่ที่หมู่บ้านชาวเขา บนดอยปุย สอนธรรมะ และรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับชาวเขา เป็นเวลาถึง 9 ปี จึงเดินทางกลับมาบ้านเกิดที่ชลบุรี โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะมาช่วยเหลือชาวบ้านทั้งการให้ธรรมะ และช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งขณะนั้นท่านอายุได้ 45 ปี มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในแถบจังหวัดชลบุรี และฉะเชิงเทรา

ต่อมามีชาวบ้าน ต.สิบเอ็ดศอก อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา ได้ร่วมใจกันสร้างกุฏิเล็กๆ และนิมนต์ให้ท่านอาศัยอยู่ จนในที่สุดสร้างเป็นวัดขึ้น ให้ชื่อว่าวัดไผ่สามกอ ตามสัญลักษณ์ที่มีต้นไผ่เหลืองที่ขึ้นอยู่ 3 กอ หน้ากุฏิของท่านที่ชาวบ้านปลูกถวายนั่นเองก่อนมรณภาพ 4 วัน หลวงพ่อได้สั่งว่า ท่านจะทำสมาธิ เจริญวิปัสสนาอยู่ในห้อง 4 วัน ห้ามไม่ให้ใครมารบกวน ครั้นครบ 4 วันตามที่ท่านสั่งแล้ว ลูกศิษย์ (คือ หลวงตาเผย) ได้เคาะประตูห้อง เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ ลูกศิษย์จึงเข้าไปดู พบว่าหลวงพ่อครองผ้าไตรจีวรครบถ้วนเหมือนเวลาที่มีพิธีกรรมทางศาสนา มีตาลปัตรตั้งไว้ด้านขวา มีข้อความเขียนไว้ที่ผ้าสังฆาฏิว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

ท่านนอนตะแคงขวาเหมือนหลับ สีหน้าสงบ ปราศจากความเศร้าหมอง ทุกคนก็ทราบทันทีว่า ท่านได้มรณภาพแล้ว วันนั้นตรงกับวันศุกร์ที่ 30 ธ.ค.2498

ท่อนสองภาคต่อ
รุ่นแรกที่ราคาแพงสุดของท่านต้องเหรียญท่านพ่อเสือครับหลักหมื่นกลางๆ หายากมากรุ่นนี้เหรียญหลวงพ่อเสือ ต้องเป็นพิมพ์หน้าผาก3เส้น พ.ศ. มีจุด ครับจึงจะนิยมท้องที่เล่นหากัน ถ้าไม่มีเส้นหน้าผาก และ พ.ศ.ไม่มีจุดเป็นเหรียญเสริมครับสร้างที่หลัง องค์นี้เก่าดูง่ายตัวหนังสือเป็นแท่งขอบตัดยุคเก่าครับห่วงเดิมยังอยู่ผิวไฟยังอยู่ครับ

มีเรื่องเล่าว่า…
หลวงพ่อไม่เคยสรงน้ำเลย แต่ทุกวันเวลาท่านอยู่ในห้องผู้ที่อยู่ใกล้เคียงจะได้ยินเสียน้ำเหมือนไหลจากฝักบัว และร่างกายของหลวงพ่อก็เปียกเอง ทั้งยังมีกลิ่นหอมเหมือนดอกลำเจียก เมื่อถึงวันเกิดของท่าน ผู้คนจะหลั่งไหลมาสรงน้ำท่าน เวลาท่านเดินลงจากกุฏิ ฝนจะตกลงมาพอดีทุกครั้ง ท่านจึงได้ฉายาว่า “พระวิรุฬหผล”
เมื่อตอนอายุได้ ๕๕ ปี ท่านได้ธุดงค์ไปประเทศลังกาเป็นเวลานาน เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาในรายละเอียดเพิ่มเติม

ก่อนมรณภาพ หลวงพ่อรู้ล่วงหน้า ท่านจึงได้เตรียมตัวพร้อม โดยเรียกลูกศิษย์มาถ่ายรูปของท่านไว้ ให้ทำความสะอาดศาลา และเรียกมาประชุมฟังธรรม ก่อนมรณภาพ ๔ วัน หลวงพ่อได้สั่งว่า ท่านจะทำสมาธิ เจริญวิปัสสนาอยู่ในห้อง ๔ วัน ห้ามไม่ให้ใครมารบกวน ครั้นครบ ๔ วันตามที่ท่านสั่งแล้ว ลูกศิษย์ (คือ หลวงตาเผย) ได้เคาะประตูห้อง เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบ ลูกศิษย์จึงเข้าไปดู พบว่า หลวงพ่อครองผ้าไตรจีวรครบถ้วนเหมือนเวลาที่มีพิธีกรรมทางศาสนา มีตาลปัตรตั้งไว้ด้านขวา

มีข้อความเขียนไว้ที่ผ้าสังฆาฏิว่า “เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา”
ท่านนอนตะแคงขวาเหมือนหลับ สีหน้าสงบ ปราศจากความเศร้าหมอง ทุกคนก็ทราบทันทีว่า ท่านได้มรณภาพแล้ว
วันนั้นตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๘
ขอบคุณที่มา
https://plus.google.com/10095353339142638…/posts/BwYmjcX8BRX

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: