1519.หลวงปู่หนู ฉินนกาโม เจ้าตำรับหนุมานเชิญธงแห่งเมืองโอ่ง

หลวงปู่หนู ฉินนกาโม เจ้าตำรับหนุมานเชิญธงแห่งเมืองโอ่ง

หลวงปู่หนู ฉินนกาโม ชื่อเดิมว่า หนู เจริญวิทยา เกิดเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ ที่หมู่ ๕ ต.หนองโพ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี โยมบิดาชื่อ นายฮง มารดาชื่อ นางบาง จบชั้น ป.๔ โรงเรียนวัดหนองโพ แล้วช่วยบิดา-มารดาทำงานทางบ้าน จากนั้นได้บวชเป็นสามเณร ณ วัดหนองโพ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้ นักธรรมโท แล้วหันมาสนใจวิชาทางไสยศาสตร์และเวทมนตร์คาถา พุทธาคม จึงไปเรียนวิชาการต่าง ๆ กับ หลวงพ่อหลาบ วัดเนินตอ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี จนเชี่ยวชาญจึงไปเรียนกับ หลวงพ่อหลุง วัดทุ่งสมอ อีก ๓ ปี

กระทั่งอายุครบบวชในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงทำการอุปสมบทที่ วัดใหม่เจริญผลโดยมี หลวงพ่อปลิว เป็นพระอุปัชฌาย์แล้วไปจำพรรษาที่ สำนักสงฆ์วัดเขาคร้อ หนึ่งพรรษาจึงไปเรียนวิชา พุทธาคมและวิปัสสนากับ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน จ.สุพรรณบุรี

จากนั้นก็ไปเรียนวิชากับ หลวงพ่อจันทร์ วัดบ้านยาง, หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ.นคร ปฐม ซึ่งระหว่างเรียนวิชากับ หลวงพ่อแช่ม ได้พบกับศิษย์อีกคนหนึ่งของหลวงพ่อแช่มที่มาเรียนด้วยคือ หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม จ.นคร ปฐม จากนั้นจึงไปจำพรรษาที่ สำนักสงฆ์เขาคร้อ จนคณะสงฆ์เห็นในศีลาจารวัตรของท่านเหมาะสม จึงนิมนต์ไปเป็นเจ้าอาวาส วัดกระต่ายเต้น อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี

อยู่ได้ไม่นานมีความเบื่อหน่ายกับการบริหารจัดการวัดร่วมกับกรรมการจึง ลาสิกขาออกไปใช้ชีวิตฆราวาสอยู่ที่ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี ระหว่างเป็นฆราวาสก็ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นเมื่อถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๐๒ จึงได้ตัดสินใจอุปสมบทอีกครั้ง ณ วัดกุฎบางเค็ม อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี โดยมี พระครูเกษมสุตคุณ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาเปรย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า ฉินนกาโม และไปจำพรรษาปฏิบัติธรรม ณ วัดไทยธรรมาราม อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ๕ พรรษาจึงกลับมา วัดกุฎบางเค็ม

ชาวบ้านทุ่งแหลมเลื่อมใสในศีลาจารวัตร จึงนิมนต์ให้ไปจำพรรษาที่ วัดทุ่งแหลม อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี โดยได้ทำการพัฒนาวัดทุ่งแหลมจนเจริญก้าวหน้าเป็นลำดับมา ระหว่างอยู่วัดทุ่งแหลมนี้เองมีประชาชนเลื่อมใสศรัทธามาก จึงได้สร้างมงคลวัตถุออกแจกจ่ายมากมายหลายรุ่นและมีประสบการณ์มากมาย

จวบจนถึง วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๙ จึงมรณภาพอย่างสงบ คงทิ้งไว้แต่อนุสรณ์แห่งความดีงามและมงคลวัตถุตลอดจนสังขารที่ไม่ เน่าเปื่อย ทางวัดได้ใส่หีบแก้วไว้ให้เป็นที่พึ่งทางใจแก่ผู้เลื่อม ใสศรัทธาต่อไป
(ขอขอบคุณข้อมูลจากนิตยสารลานโพธิ์).
———————————————–
เหรียญรุ่นแรกของท่านครับ มีประสบการณ์เป็นที่นิยมกันมากครับ เช่าหากันในราคาสูงพอสมควร

เล่าประสบการณ์
ระเบิด นับเป็นอาวุธร้ายแรงในการ ทำลายล้าง ที่กฎหมายในประเทศไทยระบุให้ใช้ได้เฉพาะ หน่วยงานราชการ ที่มีภารกิจทำการปราบปรามผู้ก่อการร้ายหรือในยาม เกิดสงคราม เท่านั้น เพราะฤทธิ์เดชของมันสามารถสร้าง ความ เสียหาย ให้กับทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งข้าวของในวงกว้าง หรือสรรพชีวิตของผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงให้ราบเรียบได้ ด้วยฝีมือแห่งประดิษฐกรรมทางวิทยาศาสตร์ แต่ในทางตรงกันข้ามฤทธิ์เดชของระเบิดที่แม้จะร้ายแรงปานใด ก็ไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ ต่อผู้ที่มี พุทธบารมีได้อย่างเหลือเชื่อ ก็มีให้เห็นอยู่เสมอจึงนับเป็นเรื่อง เหนือลิขิต ประกาศิตฟ้าดิน ดังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นดังรายละเอียดที่จะนำเสนอต่อไปนี้

เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ มีครอบครัวของ อาสาสมัคร รายหนึ่งคือ นายกู้เกียรติ บัวบาน ครอบครัวนี้มีอยู่ด้วยกัน ๔ ชีวิตประกอบด้วย นายกู้เกียรติ ผู้เป็นสามีพร้อมทั้ง ภรรยา และ บุตรชายอีก ๒ คน ชื่อ ด.ช.สมเกียรติ และ ด.ช.เกียรติยศ มีบ้านพักอาศัยอยู่ที่ หมู่บ้านมะขามเอน ต.ป่าหวาย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ส่วน นายกู้เกียรติ ปกติมีอาชีพทำไร่และเป็น อาสาสมัครของรัฐบาล มีหน้าที่คอยคุ้มครองหมู่บ้านจึงได้รับแจก อาวุธ ที่ใช้ในราชการสงคราม ซึ่งมีทั้ง ปืน และ ระเบิดสังหาร ไว้ใช้สำหรับการปฏิบัติงานตามหน้าที่ เนื่องจากที่ อ.สวนผึ้ง นั้น มี ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ชุกชุม ซึ่งอาวุธเหล่านี้ยามเมื่อไม่ได้ใช้งานก็จะเก็บไว้ที่บ้านตลอดเวลา

ในวันเกิดเหตุอันเป็นที่มาของเรื่องนี้ตรงกับวันพระ ๑๕ ค่ำ นายกู้เกียรติ และภรรยาได้ไปทำบุญที่ วัดทุ่งแหลม ตั้งแต่เช้าโดยปล่อยให้ ?บุตรชายทั้งสอง? ทำหน้าที่เฝ้าบ้านกระทั่งเวลาประมาณ ๐๘.๓๐ น. ผู้คนที่มาทำบุญในวัดต่างได้ยินเสียงคล้าย ?เสียงระเบิด? ดัง สนั่นขึ้นเพราะ วัดทุ่งแหลม อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านและชั่วครู่ต่อมาก็มีคนขี่มอเตอร์ไซค์มาด้วยสีหน้าตื่น ๆ พร้อมร้องบอก นายกู้เกียรติ ว่าที่บ้านเกิดระเบิดขึ้นและเห็นลูกชายของนายกู้เกียรติ นอนจมกองเลือดทั้งสองคน

ได้ยินเช่นนั้น นายกู้เกียรติ และภรรยารีบซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ของผู้ที่มาบอกข่าวตะบึงกลับบ้านทันที เมื่อถึงบ้านจึงได้เห็นสภาพของลูกชายทั้งสองที่ทำให้ทั้งนาย กู้เกียรติและภรรยา แทบจะเป็นลม เพราะเด็กชายทั้งสองสลบไม่ได้สติจากแรงระเบิด นายกู้เกียรติ รีบนำบุตรชายขึ้นรถไป โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ซึ่งพอหมอและพยาบาลของโรงพยาบาลเห็นสภาพลูกชายทั้งสองของ นายกู้เกียรติ แล้ว กลับไม่ยอมรับตัวไว้รักษาเพราะเกรงจะช่วยเด็กไม่ได้ เนื่องจากมีเครื่องไม้เครื่องมือไม่พร้อมที่จะรักษานั่นเองโดยแนะนำให้ส่งไป ที่ โรงพยาบาล ในตัวเมือง จังหวัดราชบุรี

นายกู้เกียรติ ไม่รอช้ารีบบึ่งไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดราชบุรี ซึ่งพอไปถึงหมอรีบนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินเป็นขณะที่ เด็กทั้งสอง เริ่มรู้สึกตัวแล้วแต่ยังคงร้องโอดโอยอย่างคนที่อยู่ในอาการเจ็บปวดเพราะพิษ สะเก็ดระเบิด ที่ฝังอยู่ตามร่างกายเพราะหลายคนที่เห็นสภาพของเด็กแล้วต่างระบุว่า อาการของเด็กคงหนักมากและอาจไม่รอดชีวิตด้วยซ้ำ แต่หลังจากหมอได้ทำการ ชำระล้างบาดแผล เพื่อหา สะเก็ดระเบิด ปรากฏว่ามีสะเก็ดระเบิดตามร่างกายน้อยมาก สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก และหลังจากนำสะเก็ดระเบิดออกพร้อมใส่ยาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กทั้งคู่ก็แทบจะไม่มีอาการอย่างใดเลย มีอาการเจ็บปวดก็เพราะบาดแผลระบมเท่านั้นเอง หมอจึงอนุญาตให้นำเด็กกลับบ้านได้

หลังจากกลับถึงบ้านและได้นอนพัก เป็นเวลาเกือบค่อนวัน เด็กทั้งคู่จึงบอกเล่าเหตุการณ์ให้ นาย กู้เกียรติ ผู้พ่อฟังว่า ?นำลูกระเบิดมาแกะเล่น? จึงทำให้เกิดระเบิดขึ้นและแรงระเบิดก็ทำความเสียหายให้ตัวบ้านไม่น้อย แต่เด็กทั้งคู่กลับมีบาดแผลจากสะเก็ดระเบิด เพียง ?เล็กน้อย? เท่านั้น เมื่อเหตุกลับเป็นเช่นนี้ นาย กู้เกียรติ จึงเชื่อว่าเป็นเพราะ ?พุทธบารมี? ของ ?เหรียญหลวงปู่หนู วัดทุ่งแหลม รุ่น ๗? แน่นอน เนื่องจากเด็กทั้งคู่ต่างแขวนไว้ในคอคนละเหรียญ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก เวปไซต์สยามอมูเลทดอทคอมครับผม

แอพเกจิ

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: