1447.เณรสมาบัติแปด

เณรสมาบัติแปด

ปี ๒๕๑๘ ปีแรกที่หลวงปู่ชุ่ม(โพธิโก)มาวัดท่าซุง ท่านก็มากับสามเณรน้อยอายุ ๘ ปีรูปหนึ่ง เณรนั่นทรงสมาบัติแปดได้เป็นปกติ
หลวงปู่ชุ่มหรือครูบาชุ่ม(โพธิโก)ของชาวหริภุญไชย เป็นศิษย์เอกขนานแท้ของของพระคุณหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย พระมหาโพธิสัตว์สงฆ์ผู้เป็นประดุจเทพเจ้าของชาวลานนาทั้งผอง ที่ว่าเป็นศิษย์เอกขนานแท้ ก็เพราะครูบาศรีวิชัยเป็นผู้ประทานกำเนิดบวชเป็นสมณะให้ ครั้นตอนครูบาศรีวิชัยมรณภาพลงไป หลวงปู่ชุ่มองค์นี้แหละ ที่เป็นทายาทผู้รับมรดกครอบครองไม้เท้าและพัดหางนกยูงอันเป็นตราสัญลักษณ์ประจำองค์ครูบาศรีวิชัย แสดงถึงคุณธรรมที่ท่านปฏิบัติได้ถึงขนาดนั้นแหละ และที่สำคัญท่านมาเกี่ยวข้องกับพ่อเรา (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง) ตั้งแต่อดีตชาติ คือเป็นพี่ชายพ่อเรา คู่กับหลวงปู่คำแสนเล็ก สามองค์นี้แหละลูกหลานเอ๋ย ที่เป็นต้นกำเนิดการสถาปนาแผ่นดินไทยสมัยเชียงแสน นานนักหนามาแล้ว

อดีตพูดถึงก็พิสูจน์แบบมนุษย์ให้คนทั้งหลายยอมรับยาก ก็ไม่เอาตรงนั้น เอาตรงท่านทั้งสอง คือพ่อเรากับหลวงปู่ชุ่มพบกัน ก็ตอน พ.ศ. ๒๕๑๗ ต่างองค์ก็ต่างอายุเกิน ๖๐ ปีแล้ว พ่อก็นิมนต์ หลวงปู่ให้มางานฉลองวัดประจำปี ๒๕๑๘ – ๑๙ – ๒๐ ทั้งสามปีนี่แหละ ที่ผู้เขียนได้ย้ำประทับภาพอมตะแห่งขุนเขาชุ่มบุญบารมีองค์นี้ไม่มีลืม

ปี ๒๕๑๘ ปีแรกที่หลวงปู่ชุ่มมาวัดท่าซุง ท่านก็มากับสามเณรน้อยอายุ ๘ ปีรูปหนึ่ง พักอยู่กุฏิทรงไทยหลังที่ ๖ ต้องบอกกันก่อนว่าเรื่องของหลวงปู่ชุ่มเขียนยากที่สุด เพราะท่านไม่ค่อยพูด ท่าทางเคร่งขรึมมั่นคงเยือกเย็น ก็เหมือนภูเขาชุ่มน้ำคลุมไปด้วยป่าเขียวสดอีกชั้นหนึ่ง นั่นแหละ ! ผู้เขียนไม่มีโอกาสได้ประจ๋อประแจ๋ ถามนั่นถามนี่เหมือนกับหลวงปู่่องค์อื่น คงได้แต่ดูแลปรนนิบัติ เหมือนชื่นชมทิวทัศน์ป่าเขาลำธารน้ำใสอย่างไรอย่างนั้น ไม่ค่อยจะได้เนื้อหามาเขียนเล่าถนัดใจนัก ก็เล่าบอกตามลำดับกันมาพ่อบอกว่าหลวงปู่ชุ่มเป็นพระอรหันต์ทรงปฏิสัมภิทาญาณ เวลาท่านมองเรานี่ มองเหมือนมองผ่านอากาศ โธ่เอ๋ย จะให้ความสำคัญกับเราสักนิดเหมือนยิ้มกับลูกหมาก็ไม่ได้ นี่เป็นจริยาอาการปกติของท่าน ผู้เขียนนึกไปถึงนั่น นึกถึงอากาสานัญจา วิญญานัญจา อากิญจัญญา เนวสัญญานาสัญญา แปลว่าอะไร… ก็ไม่รู้ อรูปฌานทั้ง ๔ นั่นแหละ ใจท่านคงทรงอารมณ์นั้น ๆ จนชิน เวลาไม่มีธุระจะพูดคุยกับผู้คน ก็อย่างนั้นแหละ มองอะไรเป็นอากาศ ไม่มีเหลือเลย จะว่าจำได้ รู้จักมักคุ้นก็ไม่ใช่ โอย..ผู้เขียนเกรงหลวงปู่องค์นี้มาก จะว่าไม่รู้จักไม่สนใจก็ไม่ได้ เพราะเวลาท่านจะเอาธุระกับเรา ตาอย่างนี้มีประกายหมายมั่น เสียงติดดุ ๆ เอาด้วย

ที่พูดถึงสามเณรที่มาด้วยนั้น ก็เพราะว่าหลวงปู่เป็นอย่างไร เณรก็แทบจะอาการเดียวกัน นั่งมองอะไรอย่างนี้ดูทะลุผ่านเลย เราเข้าไปประเคนถวายข้าวน้ำนี่..เอามือรับ แต่ตานี่เหมือนไม่สนใจเรานัก คุณตั้ว ศิษย์คนหนึ่งของหลวงพ่อ ซึ่งเป็นคนรับหน้าที่รับใช้พระที่กุฏิเบอร์ ๖ พูดถึงสามเณรว่า
“เณรนี่ ท่าจะไม่ค่อยเต็ม ดูเหม่อ ๆ อย่างไรบอกไม่ถูก”
แต่แล้ววันรุ่งขึ้นก็ต้องรีบไปกราบขอขมาท่านเณร เพราะพ่อเรียกตัวเข้าไปบอกว่า
“แกอยากลงนรกหรือ เณรนั่นทรงสมาบัติแปดได้เป็นปกติ อย่าปากหมาหาเรื่อง”

แล้วคืนนั้นแหละยืนยันกันชัด นี่ขอเล่าเรื่องสามเณรให้จบขาดไปก่อน คืนนั้น พ่อก็จัดพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลในพระอุโบสถ พระเถระที่มีโอกาสได้เข้าไปนั่งล้อมวัตถุมงคลมี ๑๑ องค์ คือพ่อ หลวงปู่สุปฏิปันโนอีก ๑๐ แถมสามเณรหนึ่ง เอาแล้วสิ ตอนพระอาจารย์ทั้งหลายพรมน้ำมนต์ที่วัตถุมงคล หลวงปู่ชุ่มให้สามเณรพรมแทน !เล่าต่อถึงตอนงานเสร็จสิ้น หลวงปู่ชุ่มพาสามเณรไปลาพ่อกลับลำพูน จำได้ติดตาตรึงใจว่า พ่อกับหลวงปู่ชุ่มนั่งเก้าอี้เหล็กสีแดงบนพื้นลูกรัง จุดนั้นปัจจุบันนี้คือศาลารายข้างพระอุโบสถ ด้านหลังรูปหล่อหลวงพ่อใหญ่ ส่วนสามเณรนั่งกราบกับพื้น พ่อมองเณรด้วยสายตาที่นุ่มนวลชื่นชมนักหนา
“รักษาตัวให้ดีลูกเอ๊ย ต่อไปเณรจะเป็นผู้รับคุณธรรมทั้งหมดของหลวงปู่ไว้ได้ หลวงปู่เป็นอย่างไร ลูกก็จะเป็นอย่างนั้น”
พูดจบก็ส่งเหรียญหลวงปู่ปาน ข้างหลังมียันต์เกราะเพชรให้เณรเหรียญหนึ่ง ผู้เขียนก็ยื่นมือเข้าไปบ้าง แล้วก็หยุด…ถอยกลับออกมา ๓ วา เพราะสายตาพ่อที่มองมาที่เราไม่นุ่มแล้ว โอย เขียวกล้า แปลว่า อย่าเสือกได้ไหม !

ถึงเวลานี้ สามเณรองค์นั้นอยู่ที่ไหนหนอ ปี ๒๕๑๘ อายุครบ ๘ ปี ปี ๒๕๔๓ นี่ก็อายุได้ ๓๓ ได้ยินแล้วกรุณาตอบด้วย คิดถึงเหลือเกิน จะพาท่านผู้อ่านลูกหลานไปกราบ

ที่มา เวปวัดท่าขนุน

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: