1398.พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุและพระเครื่องเจ้าคุณนรฯ เอาก้อนกรวดไปปลุกเสก!! แม้แต่ใบตองรองอาหารกับน้ำล้างเท้าเจ้าคุณนรฯ ยังศักดิ์สิทธิ์เข้มขลัง!!

พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุและพระเครื่องเจ้าคุณนรฯ
เมื่อท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุ หรือพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส ใกล้จะมรณภาพนั้น ท่านได้ให้หลานชายของท่าน คือ คุณโกศล ปัทมะสุนทร ไปเก็บก้อนกรวดที่อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อท่านจะอธิษฐานจิตเสกเป็นก้อนกรวดศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่า พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุ

ท่านเจาะจงว่า ต้องเป็นก้อนกรวดจากอำเภอบางบ่อเท่านั้น ท่านอธิบายว่า บางบ่อ เป็นเสมือนบ่อเพชร บ่อเงิน บ่อทอง และชื่อจังหวัดสมุทรปราการ ก็เป็นชื่อที่ไพเราะ และคำว่า ปราการ เปรียบเสมือนเกราะป้องกันภยันตรายต่าง ๆ

ก้อนกรวดพระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุ เก็บมาจากอำเภอบางบ่อรวม 2 ครั้ง ครั้งแรกได้มาหนึ่งถุง ท่านได้อธิษฐานจิตเสกให้ก่อน 9 ก้อน เรียกว่า ปลุกธาตุ เมื่อวันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2514 ส่วนที่เหลือในถุง ท่านอธิษฐานจิตเสกในวันรุ่งขึ้น คือวันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2514 ครั้งที่สองได้มาอีกหนึ่งถุงซึ่งท่านได้อธิษฐานจิตเสกให้ในวันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2514 รวมอธิษฐานจิตเสกให้ 3 ครั้ง รวม 2 ถุงใหญ่ คาดว่าน่าจะมีก้อนกรวดพระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุไม่เกิน 1,500 องค์

พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุ
บรรจุในถุงพลาสติกและถาดใบเดิมที่ท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุเสกให้

ท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุอธิบายว่า ก้อนกรวดนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์มาก เรียกว่า พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุ หมายความว่า ก้อนกรวดนี้มีจิตเมตตา ถึงใครจะเหยียบย่ำทำสิ่งใดก็ไม่ว่า ประดุจพ่อแม่ที่รักลูก จะมีแต่ความกรุณาต่อลูกทุกคน แม้ลูกจะกระทำสิ่งใดผิด ก็ให้อภัยเสมอ หากจะมอบของสิ่งนี้ให้ใคร ก็จงมอบให้กับผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาเท่านั้น เพราะเป็นก้อนกรวดศักดิ์สิทธิ์ มีค่ายิ่งกว่าเพชรพลอย สามารถที่จะคุ้มครองป้องกันนิวเคลียร์ และป้องกันไฟได้อีกด้วย ท่านอธิบายพร้อมทั้งยกนิ้วชี้ขึ้นกระดกสำทับอย่างกลัวจะไม่เชื่อ

นอกจากนี้ พระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุ ยังมีอานุภาพ 9 อย่าง คือ
1. พระเมตตา
2. พระมหาเสน่ห์
3. พระมหานิยม
4. พระอุดมลาภ
5. พระมหาลาภ
6. พระมหาอุด
7. พระอยู่ยงคงกระพันชาตรี
8. พระแคล้วคลาดอันตราย
9. พระหายตัวได้ (ศัตรูมองไม่เห็นตัว)

วิธีนำพระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุไปเลี่ยมเพื่อบูชาติดตัวนั้น ท่านบอกว่าให้นำกระดาษ หรือโลหะ แผ่นทองเหลือง ทองแดง เงิน หรือทองคำก็ได้ มาตัดเป็นรูปใบโพธิ์ ให้เขียนอักขระ อุณาโลม 9 ชั้น อยู่ด้านบน หางตัวอุณาโลมชี้ตรงไปจรดปลายใบโพธิ์ ส่วนใต้ตัวอุณาโลม ให้เขียนตัวอักษร “น” ส่วนใต้ตัว “น” ลงไป ให้เขียนชื่อ-สกุล ของผู้ที่เป็นเจ้าของพระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุนั้น แล้วจึงนำพระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุวางลงตรงกลางใบโพธิ์ที่เขียน แล้วนำไปเลี่ยมห้อยคอ จะเกิดสิริมงคลแก่ผู้ห้อยทุกคน

คุณโกศลและภริยาคือคุณจำเนียร ปัทมะสุนทร ได้ทูลเกล้าถวายพระพ่อแม่ธรณีปฐวีธาตุแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จำนวน 20 องค์ ในคราวเสด็จพระราชดำเนินบำเพ็ญกุศลท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุมรณภาพครบ 50 วัน ในวันพระราชทานเพลิงศพท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุ สมเด็จพระนางเจ้าฯ รับสั่งว่า “พระปฐวีธาตุ จะแจกเฉพาะพระญาติพระวงศ์เท่านั้น ไม่ได้แจกทั่วไป”

งานพระราชทานเพลิงศพท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างสูงจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ใช้กลดกั้นสำหรับพระองค์กางกั้นโกศที่บรรจุอัฐิและอังคารของพระคุณเจ้าตลอดทางลาดพระบาทไปสู่พลับพลา ส่วนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินตามโดยปราศจากกลดกั้น ในพิธีเลี้ยงพระสามหาบหลังงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระนางเจ้าฯ เสด็จพระราชดำเนินมาที่เฉลียงหน้าพลับพลา ทรงชะโงกพระพักตร์รับสั่งกับผู้อยู่ข้างล่างว่า “ใครได้กลิ่นหอมเหมือนแป้งร่ำบ้าง” แล้วทรงรับสั่งต่อไปว่า “ได้กลิ่นหอมนี้ตลอดเวลาตั้งแต่เมื่อวานนี้ เมื่อประทับอยู่ในวังก็ได้กลิ่น บัดนี้ก็ยังได้กลิ่นหอมตลอดเวลา”

กล่าวกันว่า ท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุ มีอิทธิปาฏิหาริย์หลายอย่างซึ่งปรากฎต่อสายตาของบุคคลหลายสาขาอาชีพ และได้มีการบันทึกไว้ในที่ต่าง ๆ มากมาย ในที่นี้จะขอหยิบยกมาเล่าสู่กันฟังสักเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับ น้ำล้างเท้าศักดิ์สิทธิ์

เรื่องมีอยู่ว่า ลูกสะใภ้ของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยเพ้ออยู่ตลอดเวลาว่าเห็นภูติผีปีศาจมาหลอกหลอน จึงมีผู้แนะนำว่าให้ไปขอน้ำมนต์ท่านเจ้าคุณนรฯ มาประพรมแล้วจะหาย นายตำรวจท่านนั้นจึงมาดักรอพบท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุอยู่ที่หน้ากุฏิ หลังจากพระคุณเจ้าท่านทำวัตรเช้าเสร็จและกลับออกมาจากพระอุโบสถ นายตำรวจท่านนั้นก็นั่งคุกเข่าลงพนมมือนมัสการท่านพร้อมกับขอน้ำมนต์

ท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุ กล่าวตอบนายตำรวจท่านนั้นไปว่า “อาตมาไม่ได้เป็นหมอผี และอาตมาก็ไม่เคยทำน้ำมนต์หรอกคุณโยม” กล่าวจบท่านก็ขอตัวเดินเข้ากุฎิไป นายตำรวจท่านนั้นคิดในใจว่า เมื่อไม่ได้น้ำมนต์ น้ำในตุ่มล้างเท้าของท่านนี้แหละดีนัก จึงรีบจัดแจงตักเอาน้ำในตุ่มล้างเท้าของท่านใส่ขวดที่เตรียมมา เมื่อได้ตามต้องการแล้ว ก็ยกขวดขึ้นพนมมือจรดเศียรเกล้า ตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีจากท่าน แล้วก็รีบกลับไปที่โรงพยาบาล

หลังจากพรมศีรษะและให้ดื่มกินน้ำล้างเท้าเจ้าคุณนรฯ เข้าไปแล้ว ปรากฎว่าอาการเพ้อของลูกสะใภ้ได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง คุณหมออนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านได้เป็นปรกติดี เป็นที่น่าอัศจรรย์

ข่าวนี้ได้เล่าลือกันออกไป นานวันเข้า พอท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุออกจากกุฏิ ลงไปทำวัตรเช้า-เย็นที่พระอุโบสถ จะมีคนมาคอยแอบตักเอาน้ำล้างเท้าของท่านไปเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อท่านทราบว่ามีคนมาแอบตักเอาน้ำในตุ่มล้างเท้าของท่านไปพรมไปดื่ม ท่านจึงยกตุ่มเข้าไปไว้เสียในกุฏิด้วยความห่วงใยว่าจะเป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บจากการดื่มกิน ท่านเคยปรารภกับพระที่อยู่กุฏิข้างเคียงว่า “มิน่าเลย น้ำสกปรกออกอย่างนี้ ไปดื่มไปกินกันได้อย่างไร เดี๋ยวเกิดโรคภัย เป็นบิดเป็นไข้ เป็นอหิวาตกโรคเข้า ก็จะเป็นบาปเป็นกรรมเสียเปล่า ๆ คนเรานี้แปลก เชื่อกันไปต่าง ๆ นา ๆ น่าสงสาร”

ใบตองรองอาหารของท่านก็ถือกันว่าเป็นของมงคล เมื่อท่านฉันอาหารเสร็จ ท่านจะทำความสะอาดใบตองที่รองอาหารแล้วเก็บไว้ในกุฏิ ภายหลังท่านมรณภาพแล้ว น้องชายของท่านได้นำมาใบตองนั้นมาตัดเป็นรูปใบโพธิ์แล้วประทับยันต์พระภควัมปติแจกให้กับผู้ที่เคารพนับถือ นอกจากนี้ ยุวพุทธิกสมาคมชลบุรีก็เคยนำใบตองนี้มาผสมทำพระเครื่องเนื้อใบตอง

พระเครื่องที่ท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุได้อธิษฐานจิตให้นั้น ท่านมีเจตนาให้เกิดประโยชน์แก่ชาติและพระศาสนาเท่านั้น และจะไม่อธิษฐานจิตให้กับกลุ่มคนที่มุ่งเอาประโยชน์เพื่อส่วนตัว พระคุณเจ้าท่านได้เคยกล่าวไว้ว่า

“ให้เขาได้ทำบุญทำกุศลกันเสียบ้าง ดีกว่าเอาเงินไปสุรุ่ยสุร่าย เที่ยวตามบาร์ตามไนท์คลับกัน เพราะเงินรายได้ที่ได้จากการจำหน่ายพระเครื่องเหล่านี้ ท่านผู้สร้างก็นำไปใช้จ่ายในการกุศล สร้างโรงเรียน สร้างโบสถ์ เป็นทุนการศึกษาของพระภิกษุสามเณร ฯลฯ อันเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่การศึกษาและศาสนาทั้งสิ้น”


บางส่วนของพระเครื่องที่พระอุดมสารโสภณ วัดเทพศิรินทราวาส เป็นผู้สร้าง
และท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุ เป็นผู้อธิษฐานจิตปลุกเสกนำรายได้ไปสร้างพระอุโบสถและโรงเรียนวัดวังกระโจม

พระเครื่องของท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุนั้น จัดเป็นหนึ่งในพระเครื่องยอดนิยมและเป็นที่แสวงหาของนักสะสม สัญลักษณ์หนึ่งของการสร้างพระเครื่องของท่าน คือจะอัญเชิญยันต์ พระภควัมปติ มาประดิษฐานอยู่ด้วย

ยันต์พระภควัมปติ หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า ยันต์น้ำเต้า นี้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) พระอุปัชฌาย์ของท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น ประกอบด้วยอักขระ 6 ตัว บรรจุอยู่ในกรอบวงรี เรียงซ้อนกันสามชั้น ขนาดลดหลั่นกัน ดูจากรูปร่างของยันต์คล้ายกับรูปร่างของพระภควัมปติ หรือพระผู้มีรูปงามละม้ายคล้ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งหมายถึงพระมหากัจจายนะเถระ พระอริยสาวกในครั้งพุทธกาลนั่นเอง

แถวบนสุดมีอักขระหนึ่งตัว คือ “อะ” ย่อมาจาก “อะระหัง” หมายถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ไกลจากกิเลส

แถวกลางมีอักขระสองตัว คือ “อุ” และ “มะ”
“อุ” หมายถึง “อุตตร” แปลว่า ยิ่ง กว่า เหนือ แล้วแต่ว่านำไปใช้ในที่ใด เช่น “โลกุตตรธรรม” หมายถึงธรรมที่เหนือโลก 9 อย่างอันได้แก่ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 หรือ “อนุตตรธรรม” หมายถึงธรรมที่ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า
“มะ” ย่อมากจาก “มหาสังฆะ” หรือพระอริยสงฆ์ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

แถวล่างสุดมีอักขระสามตัว คือ “พะ” ย่อมาจากคำว่า “พุทธะ” “ฆะ” ย่อมาจากคำว่า “โฆษะ” และ “อะ” ย่อมาจากคำว่า “อาจารย์” เมื่อสนธิตัวอักขระทั้งสามเข้าด้วยกัน จะได้คำว่า “พุทธโฆษาจารย์” อันเป็นสมณศักดิ์ของสมเด็จอุปัชฌาย์ของท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุนั่นเอง

การสร้างพระเครื่องในสายท่านเจ้าคุณธมฺมวิตกฺโก และในหมู่ศิษยานุศิษย์ที่มีความเคารพนับถือในองค์สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) เช่น พระเครื่องของพระเทพสังวรญาณ (ท่านเจ้าคุณสนิท) วัดศีลขันธาราม อ. โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง จะนิยมอัญเชิญยันต์พระภควัมปติมาประดิษฐานอยู่ด้วย เป็นเครื่องหมายของความเป็นสิริมงคล โชคลาภและความสมบูรณ์พูนสุข

ในการอธิษฐานจิต ท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุจะอัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและอำนาจแห่งศีล สมาธิ ภาวนา และบารมีแห่งสมเด็จพระอุปัชฌาย์มาสถิตในวัตถุมงคล เพื่อให้วัตถุมงคลเกิดอำนาจเป็นมหัศจรรย์ ดังนั้นเมื่อมีพิธี เจ้าภาพจะนำวัตถุมงคลไปวางไว้หน้าพระประธานในพระอุโบสถ พระคุณเจ้าจะนำภาพของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) พระอุปัชฌาย์ของท่านมาวางไว้ข้างหน้าวัตถุมงคล จากนั้น ท่านจะสวดพระปริตร พระคาถาชินบัญชร และพระสูตรต่าง ๆ ตามลำดับ ซึ่งท่านจะเขียนด้วยลายมือของท่านเองไว้เป็นข้อ ๆ เพื่อให้รู้ว่าท่านสวดอะไรบ้าง

หลังจากท่านอธิษฐานจิตเสร็จ ท่านก็จะประพรมน้ำพระพุทธมนต์เป็นการสมโภช แล้วท่านก็จะกล่าวเสียงดัง ๆ ว่า “พระเมตตา พระมหานิยม พระแคล้วคลาดคงทน พระล่องหนหายตัวได้”

ครั้งหนึ่ง นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์ ผู้เป็นศิษย์ใกล้ชิดได้เคยถามท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุว่า “เรื่องอภินิหาร พระเดชพระคุณว่ามีจริงไหม” นายแพทย์ท่านนี้เคยนำพระเครื่องกรุเก่าและพระนางพญากรุพิษณุโลก มาทดสอบความขลังโดยการผูกพระไว้ที่ตัวปลาแล้วยิงด้วยปืนพก ปรากฏว่า ส่วนใหญ่ยิงถูกแต่ไม่เข้า บางองค์ยิงไม่ถูก บางองค์ยิงไม่ออก ท่านเคยทดลองกับพระปิดทวารของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ก็ยิงไม่ออก จากประสบการณ์ดังกล่าวนี้เอง ทำให้นายแพทย์ท่านนี้มีความเชื่อในเรื่องอำนาจจิตและอิทธิปาฏิหาริย์

ท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุได้ตอบข้อสงสัยของคุณหมอสุพจน์ไปว่าอภินิหารนั้นมีจริง แต่อภินิหารนั้น หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น แม้ท่านจะตั้งใจอธิษฐานจิตและแผ่เมตตาลงในพระเครื่อง ด้วยความเชื่อมั่นว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ สามารถปกป้องคุ้มครองผู้สักการะบูชาได้จริง แต่ผู้มีพระเครื่องไว้คุ้มครองนั้น ก็ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม คำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา เจ้าของที่มาแห่งองค์พระปฏิมานั้นด้วย

เวลาที่ท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุให้พรแก่คนที่มากราบนมัสการท่าน ท่านจะพูดอยู่เสมอว่า “ขอให้มีความสุขความเจริญ เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ให้ทำแต่กรรมที่ดีนะ จะได้มีความสุข”

อ้างอิง: “ตามรอยธมฺมวิตกฺโก พระอรหันต์กลางกรุง : ขอบคุณที่มา บล็อกท่าพระจันทร์ / บทความนี้เพื่อการศึกษาอนุรักษ์เชิงประวัติศาสตร์

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เรื่องเล่าชาวสยาม

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: