1373. เรื่องฅนเกิดปีมะโรงกับครุฑ “หลวงปู่เดินหน อิเกสาโร” พระอริยะสงฆ์ผู้อยู่เหนือกาลเวลา

§ เรื่องฅนเกิดปีมะโรงกับครุฑ §
…หลวงปู่เดินหน อิเกสาโร…
พระอริยะสงฆ์ผู้อยู่เหนือกาลเวลา

เรื่องราวอิทธิฤทธิ์ทั้งคำสอนของหลวงปู่เดินหนมีมากมาย ปัจจุบันเห็นควรนำมาเผยแพร่ต่อผู้ฅนบ้างตามสมควร หาไม่เรื่องราวในหลายส่วนอาจลืมเลือน หรือสูญไปกับตัวผู้ประสบเหตุการณ์ ที่ต่างเข้าสู่วัยชราและหลายท่านล่วงลับไปก็มาก ข้าพเจ้ารวบรวมเรื่องราวของหลวงปู่เดินหนทั้งที่ประสบมาด้วยตนเอง และสอบถามจากศิษย์อาวุโสต่าง ๆ หลายท่านฝากคำกับข้าพเจ้าว่าให้รวบรวมเรื่องของหลวงปู่ไว้ ไม่อยากให้สูญหายลืมเลือนกันไป เพราะทุกเรื่องล้วนเกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น ข้าพเจ้าตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าเรื่องราวทุกเรื่องที่นำเสนอไป หากเรื่องใดไม่เป็นความจริงหรือแต่งขึ้นมาจากจินตนาการ สร้างสรรค์ปั้นเรื่องมาเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเชิงพุทธพานิชย์ผิดศีลธรรม ทั้งในวันปัจจุบันตราบอนาคตเบื้องหน้าก็ตามที ขอข้าพเจ้าจงวิบัติพลัดพรากอย่าได้เจริญสถาพรเลย

ในวาระนี้ขอนำเรื่องราวความเชื่อเรื่องปีเกิดกับรูปเคารพ ของผู้ที่เกิดปีมะโรง ปีมะเส็ง กับรูปครุฑ เรื่อราวดังกล่าวนี้ข้าพเจ้าได้ฟังมาจาก อดีตผู้บริหารท่านหนึ่งเกิดความทุกข์ที่มาจากความเชื่อ เพราะตัวท่านเกิดปีมะโรง เมื่อย้ายเข้าทำงานในสถานที่ซึ่งมีรูปครุฑอยู่ด้านหน้า จึงเป็นที่มาของเรื่องราวที่จะเล่าดังต่อไปนี้ ข้าพเจ้าเขียนจากความจำที่พบเห็นเรื่องนี้ด้วยตนเอง ท่านผู้นี้มาปรึกษาหาทางแก้ไขกับหลวงปู่ หากกล่าวไปหลวงปู่ท่านเป็นผู้รู้ราตรีนาน มีอายุกาลผ่านมาเนิ่นนานนับพันปี เรื่องอายุของท่านนี้ท่านไม่เคยตอบตรง ๆ ท่านเคยบอกศิษย์ที่ถามอายุว่า

**หากนำเอาปู่ทวดของพวกเจ้า ๑๐ ฅน มารวมกันยังไม่เท่าอายุของปู่เลย**

ท่านผ่านวันเวลามายาวนานเกินคาดเดา ท่านรอบรู้ศาสตร์ต่าง ๆ ในอดีตอาจารย์ผู้เลืองนามหลายท่านในอดีต เคยเดินทางมาทดสอบด้วยวิชาความรู้เท่าที่ตนมี แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับหลวงปู่ท่านทุกรายไป เรื่อความเชื่อที่จะนำเสนอนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่า หลวงปู่ท่านมักสอนให้ศิษย์ใช้ปัญญา และรู้จักนำปัญญามาช่วยเหลือตนในเหตุการณ์ต่าง ๆ มากกว่าที่จะส่งเสริมให้ศิษย์มัวเมาจมอยู่แต่กับความเชื่อที่ไร้เหตุผล ที่ไร้ทางแก้ไข หรือคอยแต่จะให้ผู้อื่นมาช่วยเหลือ อันเป็นช่องทางที่พวกมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบนักบุญมัก ใช้หลอกล่อมากินบนความเชื่อความศรัทธา บนความไม่รู้ไร้หลักยึดของผู้ฅนในปัจจุบัน

หลวงปู่เดินท่านกล่าวถึงผู้ที่เกิดปีมะโรง ปีมะเส็ง ว่าเมื่อเกิดในปีดังกล่าวแล้วตัวผู้เกิดนั้น กลายเป็นนาคเป็นงู หรือมีอุปนิสัยใจคอไปในทางปีเกิดดังกล่าวนั้นหรือไม่ ออกกินของสดของคาว หรือกินเนื้ออย่างงู กินอย่างพญานาคหรือไม่ ? ต้องไปอาศัยนอนในดินในน้ำด้วยหรือไม่ ? ท่านว่ามันก็แค่ปีเกิดตามหลักโหราศาสตร์ แต่ตัวเราก็คงยังเป็นมนุษย์อยู่เช่นเดิม ตัวอย่างท่านผู้นี้เป็นต้นเรื่องที่กล่าวถึงนี้ ท่านได้รับแต่งตั้งให้ไปช่วยดูแลธนาคารแห่งหนึ่ง ที่ธนาคารมีรูปครุฑตัวใหญ่มากอยู่ด้านหน้า ผู้บริหารท่านนี้เป็นศิษย์หลวงปู่เดินหน ท่านเกิดไม่สบายใจเกรงจะไม่ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ด้วยมีหมอดูทักทำนายว่า

**ตัวท่านเกิดปีมะโรง หากเดินรอดใต้ครุฑทุกวันจะแย่ เพราะครุฑกินนาคเป็นอาหาร**

ท่านจึงต้องเข้าออกทางหลังตึกบ้าง เข้าทางใต้อาคารขึ้นลิฟต์ โดยไม่ใช้ประตูด้านหน้าเลย เวลาผ่านไปนานเข้าเกิดลำบากไปไหนมาไหนทีก็ยุ่งยาก พนักงานต่างสงสัยเมื่อเห็นท่านไม่ยอมเดินออกประตูหน้า ภายหลังท่านผู้นี้ทนไม่ไหวเกิดทุกข์ขึ้นในใจ จึงเดินทางมากราบหลวงปู่เดินหน ทั้งปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นว่าควรหาทางแก้ไขอย่างไร เวลานั้นข้าพเจ้าอยู่ในเหตุการณ์ คอยเป็นหนุมานหน้าพลับพลา มีหน้าที่หยิบของตามท่านสั่ง และบีบนวดอันเป็นหน้าที่ประจำ จึงมีโอกาสได้ยินเรื่องราวต่าง ๆ จัดเจนกว่าชาวบ้านเขา จดจำได้เกือบทุกเรื่องจวบจนทุกวันนี้

สำหรับความทุกข์ของท่านผู้นี้หลวงปู่ตอบเขาว่า

หลวงปู่เดินหน :

หมอดูเวลามันดู มันรู้ไหมว่านาคกับครุฑ เขาไล่กินกันจริงไหม ฅนพูดเกิดทันหรือ ? นาคหน้าตาเป็นอย่างไร ? ครุฑหน้าตาเป็นอย่างไร ? นอกจากรูปวาดแล้วมันเคยพบตัวจริงหรือไม่ ?

ฅนเราอยากจะเป็นผู้รู้เป็นเอกในสิ่งที่ตนหากิน เขาก็ตั้งเรื่องขึ้นมาเพื่อให้ฅนฟังเขา ต้องมาปรึกษาพึ่งพาเขามันเป็นอย่างนั้น ฅนเรามักระแวงเกรงกลัวในสิ่งที่ตนมองไม่เห็น นี่มันคือจุดอ่อนของผู้ไร้ปัญญาญาณตัวรู้ ฌานสมาบัติใดไม่มีก็ต้องหาพึ่งผู้รู้ แล้วผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้รู้นั้นรู้จริงหรือไม่ ? ทั้งเป็นผู้ทรงคุณธรรมจริงแท้หรือไม่ หรือเพียงผู้ใส่ชุดขาวเพื่อครอบคลุมความคาวเน่าเหม็นภายในไว้ เหตุนี้เองเมื่อฅนเราพอเห็นใครที่ดูภายนอกว่าน่าเชื่อ ดูภายนอกน่าเคารพดูใจดีมีศีล เขาพูดเราก็เชื่อเขาไป **สมัยนี้พวกมือถือสากปากถือศีลมีมาก** แล้วย้อนถามว่าหากเขาพูดผิด พูดไม่จริงแล้วใครจะทักท้วงได้ ในเมื่อยังไม่เจอฅนที่รู้จริงยิ่งกว่ามาหักล้างเหตุผล

ปัจจุบันผู้รู้จริงล้วนล้มหายตายจากไปเสียมาก จะเอาอะไรเป็นแก่นสารในเรื่องที่เขาพูด หากพูดทำนายทายทักแล้วเขาช่วยเราโดยไม่คิดค่าตอบแทน ช่วยสงเคราะห์ด้วยใจเมตตาแท้จริงก็ยังนับว่าดีไม่เสียหาย แต่นี่พวกที่ทักทำนายก็ล้วนแล้วแต่มีผลประโยชน์ในด้านต่าง ๆ พ่วงท้ายมาทั้งสิ้น ในเมื่อพากันเชื่อถือตาม ๆ กันมาแต่อดีต โดยไม่รู้วิธีแก้หรือรับให้ร้ายกลายเป็นดี เอาแต่ทักทำนายในทางร้ายให้ผู้ฅนกลัว สุดท้ายต้องมาพึ่งพาเหล่าหมอ หรือให้ความสำคัญแก่ผู้พูดบอกยกให้ว่าเป็นผู้รู้ และศาสตร์ที่ผู้นั้นคิดขึ้นมาให้เป็นสิ่งถูก ทั้งที่ปีเกิดหาใช่จะส่งผลไปตามที่เขาบอกไปทุกเรื่องก็หาไม่ เช่นนี้จะเอาอะไรมาเป็นแก่นสาร นี่เป็นคำพูดสอนที่หลวงปู่เคยกล่าวไว้ใจความเป็นไปดังนี้

หลวงปู่ท่านกล่าวสอนว่า ตัวเราเกิดมามีพ่อ – แม่เป็นมนุษย์ และมนุษย์ย่อมเหนือกว่าทุกภพภูมิ ทั้งนาค ครุฑ พรหม เทพ ที่ต่างไม่สามารถทำบุญได้เช่นมนุษย์ แม่นเป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องมาบำเพ็ญในภพมนุษย์ พระอรหันต์ก็ต้องสร้างบารมีในภพมนุษย์ มนุษย์เหนือกว่าที่มีโอกาสทำทุกอย่างเหนือทุกภพภูมิ เหตุนี้จะไปติดว่าตัวเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นตัวนั้นตัวนี้อยู่ทำไม ? ในเมื่อตัวเราทำตัวเราจะเลือกทางให้ตนเป็นได้ถึงอรหันต์ก็ย่อมได้ แล้วยังจะไปเป็นนาคเป็นครุฑย้อนกลับหลังไปทำไม จึงไม่ควรไปเชื่อเรื่องที่เขาอ้างปีเกิดปีนั้นปีนี้ว่าไม่ดีไม่ถูกกันไปต่าง ๆ นานา

หลวงปู่เดินหนสอนศิษย์ผู้มาขอคำชี้แนะว่าควรแก้ไขอย่างไร ท่านกล่าวว่า :
การไม่สบายใจอยากคิดแก้ไขอาถรรพ์ของพญาครุฑนั้นไม่ยาก ผู้บูชาย่อมได้รับการอวยพรและบูชาตอบเป็นธรรมชาติ ศัตรูก็อาจเปลี่ยนเป็นมิตรได้หากเราเคารพและดีต่อเขา ที่เล่าสืบมาว่านาคกับครุฑทะเลาะกันนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเรานี่ หรือเราไปเผาวิมานของครุฑมาจึงต้องหนีเขา (ท่านชี้มือทางศิษย์ผู้ถามแล้วพูดติดตลกว่า) หรือเอ็งไปแย้งเอาอีนางกากีมาจึงต้องหลบลี้เขา ท่านพูดจบพลางหัวเราะเบา ๆ ศิษย์ทุกฅนต่างหัวเราะกันครืน

วิธีรับและแก้อาถรรพ์พญาครุฑ

หลวงปู่ท่านกล่าวย้ำว่าเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์เกิดปีมะโรง แล้วเหตุใดท่านจึงอยู่กับรูปครุฑได้ไม่เห็นท่านเป็นอะไร สุดท้ายท่านผู้บริหารได้จึงไปจัดหารูปวาดพญาครุฑมาจากที่ใดไม่ทราบชัด ท่านนำรูปครุฑนี้มาขอความเมตตาให้หลวงปู่ปลุกเสก แล้วนำภาพนี้ไปใส่กรอบตั้งหิ้งบูชาอย่าดีในห้องทำงาน เรียกว่าบูชาท่านเป็นการส่วนตัวเลยในห้องงาน ต่อมาท่านผู้นี้การงานก็ราบลื่นดีตลอดมาไม่มีปัญหาใด ๆ เรื่องของครุฑนี้หากหน้าบ้านหรือร้านค้า โดนสถานที่ซึ่งมีรูปครุฑอยู่หันประจันหน้าเข้าใส่ โดยมากบ้านช่องมักไม่เจริญเพราะอำนาจครุฑที่กล้าแข็ง ให้แก้โดยนำกระจกเงามาตั้งประจันกับรูปครุฑนั้น ให้เงาของครุฑสะท้อนอยู่ในกระจก แล้วตั้งหิ้งหรือโต๊ะหมู่เล็ก ๆ ใต้กระจกเงานั้น ถวายดอกไม้เครื่องบูชาทำการคราวะครุฑนั้น เป็นการรับและทำการคราวะครุฑเสียเลย เช่นนี้ครุฑท่านจะไม่ส่งผลร้ายแก่ผู้บูชา

วิธีแก้อาถรรพ์พญาครุฑแบบเข็มแข็งรุนแรง เรียกว่าต่อสู้แบบหักล้างกันเลยก็คือ ให้หล่อสร้างรูปเหมือนชายร่างใหญ่กำยำใหญ่โตสูงราว ๒ เมตรเศษ ในมือถือธนู (เกาทัณฑ์) หันหน้าเล็งธนูมือก็ง้างสายธนูพร้อมยิงเข้าหารูปพญาครุฑ แสดงท่าทีหมายยิงพญาครุฑให้ตกลงมาเช่นนั้น ชายถือธนูผู้นี้หลวงปู่บอกให้สลักชื่อไว้ที่รูปด้วยว่า **ซิยิ่นกุ้ย** ท่านเล่าว่าชายผู้นี้เป็นชาวจีนในสมัยโบราณ เดิมทีเป็นพรานฝีมือดีภายหลังเป็นแม่ทัพมีกำลังเหนือมนุษย์ เรื่องราวของซิยิ่นกุ้ยหลวงปู่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังไว้จำได้พอสมควร แต่เกรงเรื่องราวจะยืดยาวเกินไป ขอยกไปกล่าวถึงในวาระต่อไปภายหน้า ว่าเหตุใดต้องใช้ภาพซิยิ่นกุ้ยมาปราบครุฑ และมีความเป็นมาอย่างไร

วิธีการแก้อาถรรพ์พญาครุฑแบบหักล้างรุนแรงวิธีสุดท้ายนี้ หลวงปู่ท่านไม่ค่อยแนะนำให้ใช้ ท่านว่าเป็นมิตรย่อมดีกว่าเป็นศัตรู หากแก้อาถรรพ์พญาครุฑด้วยวิธีหักล้างรุ่นแรงได้ก็จริงอยู่ แต่ครุฑเขามีพวกมีบริวาร เหตุนี้หากล้างอาถรรพ์ครุฑไปได้ แต่จะมีผลร้ายเดือดร้อนเล็ก ๆ น้อยจากบริวารของพญาครุฑ เรื่องพวกนี้ละเอียดอ่อนลุ่มลึกเกินตาเนื้อมองเห็น หลวงปู่ท่านจึงแนะนำให้แก้ด้วยวิธีรับและบูชาอย่างมิตรไมตรีดีที่สุด เรื่องราวที่ได้บอกเล่าไปดังนี้เป็นเพียงเกล็ดเล็กน้อย

อาจมีประโยชน์เป็นความรู้กับท่านที่สนใจ เพราะหลวงปู่ท่านมักสั่งสอนศิษย์ให้รู้วิธีแก้ไข หรือทำการต่าง ๆ ในชีวิตของตนด้วยการพึ่งตนเอง ท่านไม่ส่งเสริมให้ศิษย์เชื่อแต่ดวงชะตา หรืออะไร ๆ ก็โทษส่งไปให้เรื่องลี้ลับมองไม่เห็นเพียงถ่ายเดียว หลวงปู่ท่านว่าเรื่องลี้ลับนั้นมีอยู่จริง แต่หลายเรื่องเกิดจากกำลังใจที่ถดถอย หรือความคิดของตัวเราที่ทำลายตัวเราเอง เรียกว่าความคิดเป็นศัตรูตัวเอง ท่านมักให้ใช้ความพยายามและความรู้ทีท่านสอนช่วยเหลือตนเอง แต่สมัยก่อนเหล่าศิษย์เห็นมีหลวงปู่อยู่ก็เคยตัว โดยมากรับฟังเอาไว้แต่สุดท้ายก็มาขอท่านช่วยเหลือทั้งสิ้น ส่วนตัวข้าพเจ้าเป็นพวกชอบจดจำ ชอบศึกษาศาสตร์ที่เป็นภูมิปัญญา และความรู้ต่าง ๆ ที่หลวงปู่สั่งสอน จึงพอมีเรื่องราวมาเล่าสู่ท่านทั้งหลายที่สนใจดังที่กล่าวมานี้

เขียน / เรียบเรียง โดย : ฅนขลัง คลังวิชา
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : คุณ ทศเชียงราย
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : ฅนขลัง คลังวิชา

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: