1328. เรื่องเล่าหลวงพ่อทบ “นักล่าเกือบถูกล่า”

นักล่าเกือบถูกล่า

พรานคล้อย บ้านเดิมอยู่ที่จังหวัดพิจิตร ต่อมาเมื่อภรรยาคนแรกเสียชีวิตลง พรานคล้อยจึงได้ย้ายมาอยู่ที่ท่าข้าม อำเภอชนแดน จังหวัดเพชรบูรณ์และที่นี่เองพรานคล้อยก็ได้ภรรยาอีกคน พรานคล้อยนอกจากจะมีอาชีพในการล่าสัตว์แล้ว ยังมีอาชีพทำไร่ไถนาไปตามประสาอีกทางหนึ่ง นานๆพรานคล้อยถึงจะเข้าป่าล่าสัตว์สักครั้งก็ล่าเพื่อเป็นอาหารเท่านั้น ถ้าหากว่าล่าได้มากก็จะนำแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเอาไว้กินกัน ที่เหลือก็จะย่างหรือตากแห้งเอาไว้กินนานๆ

เมื่อมาอยู่ที่อำเภอชนแดนใหม่ๆ พรานคล้อยก็ได้ยินชาวบ้านต่างกล่าวถึงบารมีและเกียรติคุณของหลวงพ่อทบกับแทบทุกวัน พรานคล้อยเมื่อได้ยินได้ฟังนานๆ เข้าก็อยากจะได้ของด ของขลัง ของดัง จากหลวงพ่อทบบ้าง จึงได้ไปกราบนมัสการขอวัตถุมงคลของหลวงพ่อทบถึงวัดสว่างอรุณ (วัดใน) หลังจากกราบแทบเท้าของเทพเจ้าเมืองเพชรบูรณ์แล้ว พรานคล้อยจึงได้แจ้งความประสงค์ให้หลวงพ่อทบทราบ หลวงพ่อทบกลับจ้องหน้าพรานคล้อยเหมือนกับท่านจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวพรานคล้อยเป็นอย่างดี ท่านได้พูดขึ้นว่าอย่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกเลย ให้หมั่นทำบุญรักษาศีลเสียบ้าง ชีวิตในบั้นปลายจะได้สบายนะ

จากนัันหลวงพ่อทบจึงได้หยิบเหรียญรุ่นแรก ปีพ.ศ. 2491 จำนวน 1 เหรียญ พร้อมกับประสิทธิ์ให้กับพรานคล้อย พรานคล้อยดีใจเหลือจะกล่าวเมื่อได้เหรียญมาแล้วจึงได้นำมาคล้องคอติดตัวไปไหนต่อไหนมิได้ขาด

อยู่มาวันหนึ่งก็ได้มีพรานมือใหม่ได้เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร จำนวน 3 คน มาว่าจ้างให้พรายคล้อยนำทางไปล่าสัตว์ในป่าด้วยค่าจ้างราคาแพง พรานคล้อยจึงได้ตกลงพาพรานกรุงมุ่งหน้าเข้าป่าล่าสัตว์ พรานคล้อยได้พาพรานกรุงออกล่าสัตว์ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่แปลกมากที่ไม่เจอสัตว์ใหญ่ที่พอจะล่าได้เลย พรานคล้อยเองก็งงจริงๆ เพราะว่าสัตว์ป่าไม่เคยหายากอย่างนี้มาก่อน ตนเข้าป่าทีไรไม่ทันถึงครึ่งค่อนวันสักครั้งก็จะได้เนื้อกลับบ้านทุกครั้ง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าแขวนเหรียญหลวงพ่อทบ ท่านไม่ชอบให้ฆ่าสัตว์จึงได้ดลบันดาลให้สัตว์หนีหายไปหมด

ในขณะที่พรานคล้อยกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงปืนดัง เปรี้ยง! ขึ้นหนึ่งนัด พรานคล้อยจึงได้หันหน้ากลับไปดู ก็เห็นพรานกรุงคนหนึ่งกำลังยิงลิงอยู่พอดี มันถูกกระสุนปืนตกลงมาบนพุ่มไม้ พรานคล้อยเองก็นึกว่ามันตายแล้ว ที่ไหนได้มันยังไม่ตายโผล่พรวดเข้ามา ทุกคนต่างตกตะลึง มันเป็นลิงยักษ์ที่มีรูปร่างใหญ่โตกว่าคน มีสีดำและจุดขาวตรงหน้าอก ตัวของมันเต็มไปด้วยเลือด อ้าปากเสยะเขี้ยวขาววาววับวิ่งชาร์จเข้าใส่พรานชาวกรุงคนยิงมันทันทีด้วยสัญชาตญาณของความเป็นพรานและพร้อมที่จะปกป้องนายจ้าง พรานคล้อยรีบผลักพรานชาวกรุงที่มัวยืนตะลึงให้กระเด็นไป ตัวเองวิ้งถลันเข้าไปรับหน้าแทน

ลิงยักษ์ตัวนั้นเมื่อเห็นพรานคล้อยไปยืนขวางทาง มันจึงกระโจนวิ่งเข้าใส่ทันที หวังกะจะกัดพรานคล้อยให้เต็มเหนี่ยว พอมันกระโดดเข้ามาพรานคล้อยก็คว้าข้อมือของลิงเอาไว้ได้ ลิงพยายามกัดพรานคล้อยได้หลายครั้งอยู่เหมือนกัน แต่พรานคล้อยก็ไม่ยอมปล่อยข้อมือทั้งสองของลิงให้เป็นอิสระ

เมื่อถูกลิงกัดหลายๆ ครั้งเข้าพรานคล้อยก็เกิดความเจ็บจึงบิดข้อมือของลิงแล้วหันหลังของลิงไปทางพรานชาวกรุงทั้งสาม พร้อมกับร้องบอกว่ายิงซ้ำข้างหลังมันเร็วพรานชาวกรุงทั้งสามเมื่อได้ยินพรานคล้อยร้องบอกเช่นนั้นก็ไม่รอช้าเหมือนกัน ยกปืนเล็งแผ่นหลังแล้วเหนี่ยวไกทันที โดยลืมคิดไปว่าหากยิงข้างหลังลิงแล้ว กระสุนปืนจะต้องทะลุออกข้างหน้าแล้วถูกร่างของพรานคล้อยแน่นอน

แต่เสียงปืนทั้งสามกระบอกดังเกือบจะพร้อมกัน แชะ! แชะ! แชะ! ไม่มีปืนกระบอกไหนออกเลย ฝ่ายพรานคล้อยเมื่อถูกลิงกัดเจ็บๆ เข้า ก็ได้แต่ร้องบอกให้พรานชาวกรุงยิงซ้ำพรานมือใหม่จึงได้จัดการเปลี่ยนกระสุนเสียใหม่ แล้วจึงช่วยกันยิงซ้ำอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่มีปืนกระบอกไหนยิงออกเลย

พรานคล้อยเมื่อเห็นว่าไม่มีปืนกระบอกไหนยิงออก จึงตัดสินใจถีบเข้าที่หน้าท้องของลิงอย่างแรง จนลิงกระเด็นออกไป คราวนี้ปืนทั้งสามกระบอกได้เล็งไปที่ลิงยักษ์ แล้วเหนี่ยวไกทันที เสียงปืนดัง เปรี้ยง! พร้อมกันสนั่นป่า ลิงได้กระดอนไปตามแรงปืนและล้มลงขาดใจตายคาที่

เมื่อลิงป่าตัวนั้นถูกยิงตายแล้วพรานคล้อยก็ถึงกับทรุดลงนั้งกับพื้นดินอย่างหมดเรี่ยวแรง พรานชาวกรุงทั้งสามรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของพรานคล้อย พรานคล้อยถูกลิงกัดหลายแห่งแต่ก็ไม่เข้า เป็นผื่นแดงๆ เต็มไปด้วยรอยเขี้ยว และแล้วทั้งหมดก็ต้องตกใจ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อกี้หากปืนที่ยิงลิงซ้ำออกไปในขณะที่ตัวพรานคล้อยกำลังจับข้อมือของมันอยู่ กระสุนปืนจะต้องถูกทั้งลิงและพรานคล้อยจะต้องถูกกระสุนปืนตายด้วยกันอย่างแน่นอนที่สุด

พรานคล้อยรู้ดีกว่าใครทั้งหมดว่าทำไมเหตุการณ์ต่างๆ จึงเป็นแบบนี้เขายกมือขึ้นท่วมหัว พลางกล่าวขอบพระคุณต่อองค์หลวงพ่อทบด้วยเสียงพึมพำและด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า เป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อแท้ๆ ที่ช่วยเอาไว้ ไม่อย่างนั้นลูกช้างคงต้องตายในป่านี้แน่ๆ
หลังจากได้นำพรานชาวกรุงออกจากป่าแล้ว พรานคล้อยได้เดินทางไปกราบนมัสการหลวงพ่อทบอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อหลวงพ่อเห็นหน้าพรานคล้อยเหมือนกับท่านรู้เหตุการณ์โดยตลอด พรานคล้อยยังไม่ได้พูดอะไรท่านรีบพูดตัดหน้าว่า เกือบเอาชีวิตไม่รอดใช่ไหม แล้วจะเลิกฆ่าสัตว์ได้หรือยัง พรานคล้อยรีบตอบรับท่านโดยไม่ต้องไตร่ตรองว่า ครับ ผมจะเลิกฆ่าสัตว์โดยเด็ดขาด จากนั้นท่านก็ให้พรานคล้อยรับศีลและให้ถือเป็นสัจจะต่อท่านว่า ต่อไปจะไม่ฆ่าสัตว์อีกเป็นอันขาด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพรานคล้อยก็เลิกฆ่าสัตว์ตลอดชีวิต
ขอบคุณที่มา

ขอขอบคุณขอมูลดีๆจาก : luangporthob

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: