1293. อดีตชาติเป็นกษัตริย์ เกิดชาตินี้เป็นภิกษุ!! อัศจรรย์อำนาจจิตพระอริยะ นิมิต..แจงอดีตชาติ “หลวงปู่ถิร ฐิตธมฺโม”

หลวงปู่ถิร ฐิตธมฺโม หรือพระครูสถิตธรรมวิสุทธิ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดทิพย์รัฐนิมิตร (วัดบ้านจิก) ถ.นเรศวร ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี หนึ่งในพระป่ากัมมัฏฐาน สายพระอาจารย์มั่น ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธา ครั้งนึงท่านพระอาจารย์อุ่นได้เกิดนิมิตและทราบว่า เมื่อในอดีตชาติ หลวงปู่ถิรคือกษัตริย์และพระอาจารย์อุ่นเป็นพระพี่เลี้ยง โดยมีรายละอียดว่า

เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๖ ขณะเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลวงปู่เดินทางไปธุดงค์และจำพรรษาที่วัดบ้านงิ้วพึง ข้างสนามบินอุดรธานี (ปัจจุบันคือกองบินที่ ๒๓) หลังจากนั้นได้กลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านจิกอีกใน พ.ศ. ๒๔๘๗ ซึ่งครบกำหนด ๓ ปีตามที่ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้พอดี เมื่อทอดกายลงนอนในครั้งแรก รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวทรมานมากเหมือนว่าธาตุขันธ์ร่างกายที่ทอดลงกับพื้นจะต้องแตกดับไปจากโลกนี้เลยทีเดียว ความรู้สึกเช่นนี้ก็เนื่องมาจากการที่หลวงปู่ไม่เคยได้เอนกายหรือทอดกายลงกับพื้น (เนสัชชิกธุดงค์) เลยตลอด ๓ ปี แต่แล้วหลังจากนอนหลับตื่นขึ้นมากลับพบว่าร่างกายสดชื่น สบายตัวและเดินเหินคล่องแคล่วขึ้น

ขณะที่หลวงปู่ถิรพักอยู่กับพระอาจารย์อุ่นนั้น หลวงปู่มักจะได้รับความไว้วางใจจากพระอาจารย์อุ่นเสมอ บ่อยครั้งที่ท่านไม่อยู่ ได้มอบหมายให้หลวงปู่ปกครองดูแลพระในวัดแทน ซึ่งหลวงปู่ถิรเองก็ประหลาดใจว่าทำไมจึงเลือกหลวงปู่เป็นผู้ปกครองดูแล ทั้งๆ ที่ในวัดยังมีพระอาวุโสอีกหลายรูป ต่อมาภายหลังหลวงปู่จึงได้ทราบจากการบอกเล่าของพระอาจารย์อุ่นว่า ในอดีตชาตินั้น หลวงปู่ถิรเคยเกิดเป็นกษัตริย์และพระอาจารย์อุ่นเป็นพระพี่เลี้ยง พร้อมทั้งมีหน้าที่เป็นควาญช้างของช้างพระที่นั่งของหลวงปู่ด้วย ในชาตินั้นพระอาจารย์อุ่นเคยตกจากหลังช้างได้รับบาดเจ็บจนเป็นแผลเป็นที่ขา และต่อมาป่วยเป็นอหิวาตกโรคจนเสียชีวิต มาในชาติปัจจุบันนี้ พระอาจารย์อุ่นก็มีรอยแผลเป็นที่ขามาแต่กำเนิดเช่นเดียวกับแผลเป็นที่ขาในอดีตชาติด้วย

สำหรับเรื่องนี้ พระอาจารย์อุ่นท่านได้อธิษฐานจิตขอทราบความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างตัวท่านกับหลวงปู่ และด้วยอำนาจแห่งปุพเพกตปุญญตา (บุญที่ได้ทำร่วมกันมาแต่ปางก่อน) จึงทำให้ท่านระลึกรู้เห็นได้จากนิมิตในสมาธิ ซึ่งผู้ที่จะขอระลึกรู้ได้เช่นนี้จะต้องเป็นผู้มีบุญบารมีสร้างสมมามากเพียงพอ มิใช่บุคคลหนึ่งบุคคลใดก็จะขอระลึกรู้ได้ง่ายๆ

ประมาณพรรษาที่ ๙ พ.ศ. ๒๔๘๘ เกิดความวุ่นวายมากภายในวัดบ้านจิก มีการฟ้องร้องเจ้าอาวาสวัดบ้านจิก จนพระอาจารย์อุ่นเองก็ต้องหนีความวุ่นวายไปจำพรรษาที่อื่น หลวงปู่จึงต้องเป็นเจ้าอาวาสแทนโดยปริยาย ซึ่งหลวงปู่ไม่เคยคิดว่าจะได้ดำเนินงานหรือบริหารงานในวัดแทนท่านพระอาจารย์อุ่นเลย และหลวงปู่เองยังพลอยถูกฟ้องร้องด้วย อีกทั้งยังมีพระเถระผู้ใหญ่บางรูปไม่พอใจในตัวหลวงปู่ ทำให้หลวงปู่เกิดความท้อแท้ เพราะต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งหลายก็ไม่ได้เกิดจากตัวหลวงปู่ หากแต่เกิดจากญาติโยมอุปัฏฐากเอง

หลวงปู่ถิรจึงตั้งจิตอธิษฐานขอทราบว่า ข้าพเจ้าเคยบำเพ็ญบุญบารมีอะไรมาบ้าง ทำไมจึงมีอุปสรรคมากมาย ในอดีตชาติข้าพเจ้าเคยบำเพ็ญเพียรปฏิบัติสิ่งใดมาบ้าง และข้าพเจ้าควรทำสิ่งใดเสริมเพิ่มบุญบารมีนั้นหลังจากอธิษฐานแล้วจึงจำวัด ปรากฏว่าเกิดสุบินนิมิตเห็นพระพุทธรูปเป็นรูปปั้นดินวางอยู่บนพื้นทางด้านปลายเท้า หลวงปู่จึงถามว่า ทำไมจึงมาอยู่ที่พื้น มีเสียงตอบว่า พระพุทธรูปนี้จะมารักษาคุ้มครองท่าน หลวงปู่จึงถามว่า ศักดิ์สิทธิ์ไหม ถ้าศักดิ์สิทธิ์ก็ขอให้แสดงฤทธิ์ แต่มีเสียงบอกว่า จะแสดงฤทธิ์ได้ ท่านต้องเป็นผู้บ่งบอก

(หมายความว่า ต้องบอกออกมาจากจิตหลวงปู่ รูปปั้นพระพุทธรูปนั้นเป็นเครื่องหมายแสดงว่าหลวงปู่ปรารถนาพุทธภูมิ และรูปปั้นวางอยู่ทางด้านปลายเท้า แสดงว่าหลวงปู่ยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสารเพื่อบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีอีกนาน ถ้าวางอยู่ที่ศีรษะย่อมหมายความว่าการบำเพ็ญเพียรบารมีใกล้สำเร็จสมความปรารถนา ดังนั้น ในชาตินี้หลวงปู่จึงต้องบำเพ็ญประพฤติปฏิบัติเสริมบารมีให้ต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุพุทธภูมิในอนาคตกาล)

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.dhammajak.net

เพจ เกร็ดธรรมะ ประวัติ พระกรรมฐาน

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: