3562. สิงโตหินประสิทธิ์พระคาถา (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

สิงโตหินประสิทธิ์พระคาถา (เขียนโดยไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ไพฑูรย์พูดว่านักอาชญวิทยาให้คำจำกัดความของฆาตกรว่า”คือผู้สังหารผู้อื่นอย่างผิดกฎหมาย” แบ่งออกเป็นสองชนิด ชนิดแรกคือฆาตกรโดยความจำเป็นบังคับ มิได้มีเจตนา ชนิดที่ 2 คืออาชญากรโดยสันดาน เป็นผู้ลงมือฆ่าคนโดยเจตนา ไร้ความปรานี ทั้งนี้ไม่รวมฆาตกรรับจ้างที่รับจ้างฆ่าคนแลกกับเงิน เพราะฆาตกรรับจ้างฆ่าคนไพฑูรย์ย้ำกับผู้เขียนว่า

“สำหรับสิงโตหินถือว่าพวกนี้เป็นพวกขี้ขลาดตาขาวเพราะซุ่มจู่โจมโดยไม่มีโอกาสให้เหยื่อได้ต่อสู้ป้องกันชีวิตแบบลูกผู้ชาย สิงโตหินไม่รับทำฎีกา ไม่เสวนา ไม่คบเหมือนกับนักโทษคดีอุกฉกรรจ์อื่นๆ ที่ไม่ให้ไมตรีกับพวกมือปืนรับจ้างไม่ว่าจะฆ่าเหยื่อมากี่ศพก็ตาม”

สำหรับตำรวจ นักอาชญวิทยาให้คำจำกัดความว่า “เป็นผู้ฆ่าคนโดยไม่ผิดกฎหมาย” ฝรั่งเรียกเสียโก้หรูว่า “ฆ่าโดยได้รับอนุญาตจากกฎหมาย” เรียกว่า “วิสามัญ” เมื่อยังเป็นนายทหารกรมพระธรรมนูญ เคยว่าความแก้ต่างให้พลทหารเจียนที่ถูกตำรวจวิสามัญคาซ่องที่ท่าเรือเขียวไข่กา บางกระบือ

ไพฑูรย์ลงทุนไปหาพยานบุคคลด้วยตัวเองเพื่อชี้ให้ศาลสถิตยุติธรรมได้เห็นว่าสำนวนวิสามัญฆาตกรรมที่ตำรวจส่งให้อัยการนั้นมีข้อชวนพิรุธหลายอย่าง พยานหลายปากกลับคำให้การในชั้นศาลว่าถูกคุกคามให้เป็นพยานเท็จ จากการต่อสู้คดีของไพฑูรย์ ตำรวจวิสามัญถูกศาลฎีกาพิพากษาลงโทษสถานหนักส่งเข้าไปในบางขวางยืนตามศาลอุทธรณ์ว่าการฆ่าพลทหารเกณฑ์จากปากคำพยานระบุตรงกันว่ามิใช่เป็นการวิสามัญแต่เป็นการเจตนาฆ่าแล้วอำพรางคดี คงไม่ต้องบอกว่ามีการรับน้องใหม่กันอร่อยเหาะแค่ไหน

อาชญากรกับตำรวจเปรียบเหมือนสีขาวกับสีดำ กลางวันกับกลางคืน ประชาชนตาสีตาสาต้องเข้าคุกเพราะตำรวจทำสำนวนให้เป็นแพะเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งโชคดีต่อสู้จนพ้นคดีได้ แต่หลายคนต้องโทษจากคำพิพากษาของศาลทั้งที่ไม่มีความผิด จะไปโทษศาลมิได้ เพราะศาลเป็นปลายน้ำ ต้นน้ำคือตำรวจผู้ทำสำนวน ศาลท่านออกนั่งบัลลังก์พิจารณาจากหลักฐานยานที่ปรากฏในสำนวน ฟังคำให้การของพยานโจทก์และพยานจำเลยที่ทนายความและอัยการแผ่นดินที่ปรากฎต่อศาลว่าฝ่ายใดสอดคล้องต้องกันจนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจึงมีคำพิพากษาคดี

ศาลยังเปิดให้ยื่นอุทธรณ์หากมีหลักฐานใหม่เพื่อต่อสู้กันในศาล แม้จำเลยจะได้รับคำพิพากษาให้ยกฟ้อง หากโจทก์คืออัยการและตำรวจสามารถหาหลักฐานใหม่มาเพิ่มเติมเสริมหลักฐานเก่า ศาลอุทธรณ์จะเปิดการไต่สวนใหม่อีกรอบ เช่นเดียวกัน หากจำเลยต้องคำพิพากษาให้จำคุกไม่มีการรอลงอาญา ทางฝ่ายจำเลยสามารถหาหลักฐานใหม่มาเสริมหลักฐานเก่า ศาลอุทธรณ์จะเปิดการพิจารณาคดีใหม่อีกรอบ

หากพิสูจน์ได้ว่าจำเลยถูกกลั่นแกล้ง มีการสร้างพยานเท็จหรือหลักฐานเท็จทำให้จำเลยไม่ได้รับความยุติธรรม ศาลอาจจะกลับคำพิพากษาให้จำเลยพ้นผิดก็ได้ แน่นอน พนักงานอัยการกับตำรวจมีสิทธิ์หาหลักฐานใหม่มาแสดงให้ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยเป็นคนผิดก็จะยื่นฎีกาขึ้นไป คำพิพากษาศาลฎีกาถือเป็นเด็ดขาด โจทก์ที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจต้องคำพิพากษาให้ติดคุกติดตารางมีถมเถไป ชนะคดีอาญาแล้วผู้เสียหายมีสิทธิ์ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งได้อีกโสดหนึ่งด้วย

นี่คือกระบวนการยุติธรรมที่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเป็นมาตรฐานมาตั้งแต่กรมหลวงราชบุรีฯ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ทรงก่อตั้งไว้เมื่อ 100 กว่าปีมาแล้วหลังจากที่ได้มีการทำสนธิสัญญายกเลิกสิทธินอกอาณาเขตที่ชาวต่างชาติไม่ยอมรับศาลไทย เกิดคดีความต้องขึ้นศาลกงศุล

สมัยเมื่อไพฑูรย์ต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิตในข้อหาเจตนาฆ่าขุนตระเวนฯนั้น ทางตำรวจทำสำนวนมัดแน่นหนาหลักฐานที่ตำรวจนำมาเบิกความนั้นไพฑูรย์จะต่อสู้อย่างเต็มที่จนถึงฎีกาแต่ไม่สามารถหาหลักฐานใหม่ได้ เพราะอัยการร้องคัดค้านการประกันตัวทุกครั้งจนไม่มีโอกาสจะได้แสวงหาหลักฐานใหม่ ไพฑูรย์บอกว่า

“สิงโตหินไม่มีโชคเหมือนพลทหารเจียน ที่ได้รับการแก้ต่างโดยสิงโตหินเมื่อเป็นทหารรัฐธรรมนูญ บิดามารดาพลทหารเจียนก้มลงจะกราบเท้าสิงโตหินแต่สิงโตหินรีบก้มตัวลงดึงตัวมิให้ทำเช่นนั้นโดยบอกว่าการจะก้มกราบแทบเท้านั้นทำได้เฉพาะกับพระอรหันต์ในชีวิตคือบิดามารดา พระสุปฎิปันโนผู้มีศิลบริสุทธิ์ และพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวผู้ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรมเท่านั้น”

ไพฑูรย์เมื่อเอ่ยนามพระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัวจะยกมือขึ้นไหว้จรดหน้าผากทุกครั้ง เพราะทรงเป็นพระผู้พระราชทานอภัยโทษให้ชีวิตใหม่ผู้เขียนยืนยันได้ ไพฑูรย์บอกกับผู้เขียนว่า “ตลอด 10 ปี พ.ศ. 2490-2500 ที่สิงโตหินมอบตัวกลับตัวเป็นนักโทษชั้นดี เป็นผู้ช่วยผู้คุมดูแลนักโทษใหม่ๆ ในแดนประหารสิ่งเดียวที่รอคอยคือการพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งเมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษ เดินออกจากบางขวางอย่างสง่างาม ทิ้งคำว่านักโทษชาย มาทำบัตรประชาชนในฐานะของนายไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นเกล้าให้ได้พ้นจากขุมนรกบนดิน

ตั้งจิตอย่างแน่วแน่ว่าจักไม่ทรยศต่อพระมหากรุณาธิคุณจนต้องกลับเข้าไปในบางขวางอีกจนแผ่นดินกลบหน้า สิงโตหินถือว่าคนไทยเกิดในแผ่นดินไทยหรือมิได้เกิดในแผ่นดินไทยแต่ได้รับสัญชาติไทย ทุกคนล้วนต้องมีความจงรักภักดีและเทิดทูนองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้เหนือเกล้ามันผู้ใดไม่มีความจงรักภักดีต่อพระองค์ มันผู้นั้นเป็นคนไทยเพียงแต่ชื่อ ไม่มีสายเลือดและสันดานความเป็นไทยที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ ที่ล้วนสละเลือดเนื้อเป็นชาติพลีเพื่อรักษาแผ่นดิน (ชาติ) ศาสนา กับพระมหากษัตริย์ ให้ดำรงอยู่คู่ฟ้าแม้แต่หยดเดียว”

หลายครั้งที่ไพฑูรย์คุยแบบว่าไม่ได้เล่าเรื่องการผจญภัย แต่จะพูดว่า “คุยกันวันนี้อย่าเสียเวลาเปล่า เอากระดาษดินสอมาจดพระคาถาและวิธีใช้ดีกว่าจะได้นำไปใช้หรือถ่ายทอดให้คนอื่นต่อไปได้ประโยชน์กับชีวิต ซึ่งผู้เขียนก็จะรีบดึงปากกาออกมาหยิบสมุดจดบันทึกมาเตรียมจด ซึ่งพระคาถาต่อไปนี้อยู่ในสมุดบันทึกที่รวบรวมเอาไว้

พระคาถาเบิกไพร (เวลาหลงป่า ของหลวงพ่อโชติ วัดตะโน)
ตั้งนะโม 3 จบ สำรวมจิตให้แน่วแน่ ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ แล้วจึงอันเชิญมาเป็นที่พึ่ง รำลึกถึงเจ้าป่าเจ้าเขาเทวดาอารักษ์ผู้รักษาป่าให้เปิดทางให้อกอกจากป่าได้จึงท่องคาถาว่า

“นะ แล แล ปะแอยันติ”

หลวงพ่อโชติท่านใช้ในการเบิกไพรได้ทุกครั้งที่หลงทางโดยหลับตาภาวนาให้แน่วแน่จึงลืมตาขึ้นเพื่อเห็นทางออก จะมองเห็นได้ในทันที แม้ไม่เห็นทางออกก็จะมีเสียงนกหรือเสียงสัตว์ร้อง ให้ตามเสียงไปเถิดจะพบทางออก เหมาะสำหรับพรานหรือผู้ชอบเดินป่าไว้ใช้เวลาคับขันให้ใส่บาตรพระหนึ่งองค์ กรวดน้ำ ให้หลวงพ่อโชติ วัดตะโน เริ่มเรียนวันพฤหัสบดี

พระคาถาตวัดฟ้าป่าหิมพานต์

“ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ ภะ”

เมื่อเข้าตาจนจะตีฝ่าศัตรูออกไป ให้ภาวนาในใจจนเกิดพลังอุ่นๆ พุ่งจากลิ้นปี่ไปทั่วร่างกาย รู้สึกว่าตัวเองพองขึ้น ขนลุกไปทั่วตัว จึงถืออาวุธวิ่งเข้าหาแล้วตวาดด้วยเสียงอันดังสุดเสียง มีกี่หลอดก็ใส่เข้าไป จะเป็น ว้าก , เพ้ย,มึงตาย..ย หรืออย่างอื่นแล้วแต่จะถนัด ฟันแทงตีลุยเข้าไปภาวนาไว้อย่าหยุด ศัตรูจะอัปราชัย ส่วนตัวเราหักด่านออกมาได้ในที่สุด

พระคาถาคงกระพันชาตรี (เสกข้าวกิน 3 คำแรกทุกมื้อ)

“นะ มะ พะ ทะ คงเนื้อคงหนังคงกระดูกผูกด้วย พะ ทะ นะ มะ”

ทำได้ทุกวันทุกมื้อรับรองได้ว่าเนื้อหนังจะคงกระพันไปจนถึงกระดูก เสกไปกินไป อย่าลืมเสียก็แล้วกันว่าเสกแค่ 3 คำแรกเท่านั้น เอาไปใช้ 3 พระคาถาง่ายๆสั้นๆ ใช้หลากหลายผิดแผกกัน ไพฑูรย์มักเน้นว่า “พึงจำใส่กะโหลกไว้เลยว่า คาถาที่ใช้ให้มีความยึดมั่นถือมั่นว่าศักดิ์สิทธิ์ เป็นของวิเศษที่ใช้ได้ผล ท่านเรียกว่าปลุกตัวทำจิตให้ได้ทำจิตไม่ได้ก็ตายลูกเดียว จะโทษใครไม่ได้ต้องโทษตัวกูที่ทำตัวกูเอง จะอยู่จะตายไม่มีใครทำ กูทำตัวเอง เตรง เตรง เตร่ง…(แล้วหัวเราะงอหงาย)” ไม่ล่ำไม่ลา คว้ากระเป๋าหยิบหมวกมาสวมแล้วผลุนผลันออกไป เคยถามว่าทำไมจึงต้องทำอย่างนั้น ไพฑูรย์ตอบหน้าตาเฉยว่า “ของขึ้น อยากลองของ ไปดีกว่า”

*สำหรับตอนนี้เป็นพระคาถาที่อาจารย์ไพฑูรย์ ท่านต้องการมอบไว้ให้ผู้ที่ติดตามในผลงานของท่านได้ ใช้ป้องกันตัว หากท่านใดศรัทธาจะขอประสิทธิ์กับท่านก็ได้นะครับ การขอประสิทธิ์ก็ไม่ยากสามารถกระทำได้ตามนี้เลยครับ (พระคาถาที่ขอประสิทธิ์โดยมีที่มาจะขลังกว่าพระคาถาที่หามาจากตำราต่างๆโดยไม่ได้ขอประสิทธิ์หลายเท่าตัวนัก)

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
ขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : อันธพาน ครองเมือง 2012
แอพเกจิ – AppGeji
——————————————————————————-

ติดตามเรื่องราวครูบาอาจารย์ได้เพิ่มเติมที่
แอพเกจิ Facebook: www.facebook.com/appgeji
Web Sit: www.appgeji.com

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: