850.มหาอุดน้ำไหลโกรกออกจากปากประบอกปืน!! “หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน”

หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ วัดบางคลาน จ.พิจิตร
คำพูดของหลวงพ่อเงิน ประโยคหนึ่งที่ว่า “ชาติเสือต้องไม่ขอเนื้อใครกิน” ท่านมักจะพูดอยู่เสมอกับญาติโยมที่ไปเยี่ยมเยือนสนทนาอยู่กับท่าน มีผู้คนมากมาย ที่มุ่งมากราบนมัสการท่าน โดยเฉพาะน้ำมนต์ มีผู้คนจากทุกสารทิศมาให้ท่านรดให้เพื่อล้างมลทิน และสร้างความเป็นสิริมงคลดียิ่งนัก ทุกวันหลวงพ่อต้องทำน้ำมนต์รดให้กับผู้มาหาท่านด้วยความทุกข์ร้อน และก็ศักดิ์สิทธิ์จนโด่งดังไปทั่วเมืองพิจิตร และจังหวัดใกล้ไกลจนทุกวันมิได้ขาดหรือว่างเว้น

เมื่อวันที่หลวงพ่อย้ายจากวัดบางคลานใต้ หรือวัดคงคารามนั้น หลวงพ่อได้หักกิ่งโพธิ์มาด้วย หนึ่งกิ่ง และนำไปปักลงที่ชายน้ำ โดยได้อธิษฐานไว้ขณะนั้นว่า “ถ้าเจริญรุ่งเรืองแผ่ไพศาล ก็ขอให้ต้นโพธิ์ นี้เจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไปด้วยเถิด” และก็สมจริงดังคำอธิษฐานของท่านต้นโพธิ์ที่ท่านปลูกก็เจริญงอกงามเหลือเกิน จนชื่อเสียงของท่านขจรขจายไปไกลแสนไกล ลูกศิษย์ลูกหาก็มาก ต่างแวะเวียนกันมาหาหลวงพ่อ มิได้ขาด บ้างก็มาให้ท่านรดน้ำมนต์ บ้างก็มาขอวัตถุมงคลจากท่าน เมื่อท่านเอ่ยปากจะก่อสร้างอะไรเป็นต้องได้ดังใจคิด เพราะญาติโยมได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยเหลือหลวงพ่อเงินทุกสิ่งทุกอย่าง

บางท่านกล่าวว่า ไม่รู้เรียกหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานได้อย่างไร แต่สันนิษฐานว่า คงจะเป็นระยะเวลาที่หลวงพ่อเงินกำลังโด่งดังมากในช่วงสุดท้ายของชีวิตท่าน และคงจะมีวัตถุมงคลออกมามาก มีผู้ไปขอ ของดีๆจากท่าน แม้แต่พ่อค้าชาวจีนที่ตลาดสำเพ็งก็ยังดั้นด้นไปขอของดีๆ จากท่าน โดยเฉพาะพระเครื่องพิมพ์ดังๆของท่าน ก็ได้รับมาจากมือของหลวงพ่อเงินกันมากมายหลายคน

ถึงแม้หลวงพ่อเงินจะย้ายออกจากวัดท้ายน้ำกลับไปอยู่ที่วัดวังตะโก หรือวัดบางคลานแล้ว ท่านก็ยังเอาใจใส่กลับมาช่วยบูรณะปฏิสังขรมิได้ทอดทิ้งเสียเลย และวัดคงคารามเมื่อหลวงพ่อโห้ได้มรณภาพไปแล้ว ท่านก็ยังกลับไปช่วยสร้างศาลาและบูรณะปฏิสังขรสิ่งก่อสร้างต่างๆ ให้อีกมากมาย ทั้งๆที่การเดินทางไปมาหาสู่กันของวัดท้ายน้ำและวัดคงคารามในสมัยก่อนนั้นยากลำบากอย่างที่สุด

การอยู่ยงคงกระพัน แรกเริ่มของหลวงพ่อเงิน ท่านพระครูวิจิตรวุฒิกร เจ้าอาวาสวัดท้ายน้ำ องค์ก่อนได้รับการบอกเล่ามาจากญาติโยมอีกต่อหนึ่งว่า มีอยู่ช่วงระยะหนึ่ง หลวงพ่อเคยขัดใจกับพี่ชายของท่านคือ (ท่านขุนภุมรา) หรือตาทอง เชี่ยวชาญทางด้านรักษาโรคภัยแผนโบราณมาก ชาวบ้านย่านละแวกบ้านของแก ใครเป็นอะไรก็จะต้องมาให้แกเยียวยารักษาให้ทุกบ้าน

แต่ว่าตาทองแกชอบดื่มสุรามากทุกวันไม่ว่างเว้น วันหนึ่งควายของหลวงพ่อเกิดการขัดใจกับควายตาทองผู้พี่ จึงขวิดกันกลางลานวัดเลยทีเดียว ขวิดกันอยู่นานมาก ในที่สุด ควายของตาทองเกิดแพ้ ออกวิ่งหนีมีเลือดออกตามบาดแผลมาก ส่วนควายของหลวงพ่อเงินไม่มีบาดแผลเลย ตาทองจึงโมโหควายของหลวงพ่อเงินมาก ครั้นพอตกเย็น ตาทองก็ดื่มเหล้า เมาได้ที่ก็ข้ามฟากไปหาหลวงพ่อ ตะโกนลั่นๆว่า “ท่านเงินเขาว่าท่านเก่งนักหรือไง” หลวงพ่อเห็นพี่ชายเมามาก จึงพูดไปเพื่อให้ใจของพี่ชายเย็นๆไว้บ้างว่า “ข้าจะเก่งอย่างไรข้าเป็นสงฆ์” ฝ่ายตาทองจึงพูดต่อตามประสาคนขี้เมาอีกว่า “เขาลือว่าท่านเก่ง ยิ่งเรื่องยิง ฟันท่านแน่นักหรือ” หลวงพ่อเงินจึงตอบออกไปว่า “ข้าไม่มีดีอะไรหรอก” จากนั้นด้วยฤทธิ์สุราเต็มพิกัดของตาทองผู้พี่ จึงข้ามฟากกลับบ้านไปสักครู่ด้วยความเจ็บใจที่ควายตัวเองพ่ายแพ้ แต่ตาทองไม่ยอมแก้จึง แบกปืนแก๊ป ข้ามฟากมาหาหลวงพ่อใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะทดลองดูว่า หลวงพ่อจะแน่แค่ไหน

ส่วนทางด้านหลวงพ่อก็แน่เหมือนกันว่า “ข้าอยู่นี่ไง โยมพี่เลือกยิงเอาให้เหมาะๆก็แล้วกัน” ฝ่ายตาทองไม่รอช้ายกปืนขึ้นเล็งไปยังร่างของหลวงพ่อทันที เสียงนกปืนสับดัง “แชะ แชะ” อยู่สามถึงสี่ครั้ง ปรากฏว่าไม่มีเสียงดังเลยจึงเอาปืนลง ปรากฏมีน้ำไหลโกรกออกจากปากกระบอกปืนของตาทอง หลวงพ่อเงินจึงดุสำทับไปว่า “ถ้าไม่ใช่พี่ชายข้าจะตีเข้าให้บ้าง” จากนั้นตาทองจึงก้มหน้าเดินงุดๆกลับบ้านของแก เหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นที่โจษจันกันไปทุกตำบล ถึงความเข้มขลังในอาคมของหลวงพ่อต่างก็มาขอเครื่องรางของขลังกันไม่เว้นวันเลยทีเดียว

โดยตาทองผู้นี้ เป็นพี่ชายของหลวงพ่อเงินคนที่สาม แกเป็นนายกองส่วยรัชชูปการ มีความรู้ทางด้านหมอแผนโบราณมากในสมัยนั้น จากการที่แกได้รับหน้าที่ให้เก็บส่วยน้ำผึ้ง จึงได้บรรดาศักดิ์เป็น “ท่านขุนภุมรา” จากเหตุการณ์ที่แกใช้อาวุธปืนข้ามน้ำไปยิงหลวงพ่อได้ ทั้งๆที่หลวงพ่อท่านเป็นน้องชาย อีกทั้งยังครองผ้าเหลืองเป็นพระสงฆ์อยู่ทั้งองค์ยังกล้าทำได้ลงคอขนาดนั้น ทำให้หลวงพ่อท่านไม่อยากจะ ไปอาลัยใยดีอะไรด้วย

ต่อมา เมื่อตาทองได้สิ้นชีวิตลง หลวงพ่อเงินท่านก็ไม่ยอมไปในงานศพเลย ในฐานะเป็นพี่ชายของท่าน จึงให้ลูกศิษย์คนหนึ่งนำผ้าไตรไปช่วยในงานศพนั้นด้วย ส่วนท่านนั้นเด็ดเดียวขนาดไม่ยอมไป เผาผีกันเลย

ช่างภาพถ่ายภาพหลวงพ่อไม่ติด โดยมีผู้ประสงค์อยากจะได้ภาพถ่ายของหลวงพ่อเงินเพื่อไว้สักการะบูชา จะได้เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และครอบครัว มาจากกรุงเทพฯ แต่เป็นชาวอินเดียไปขอถ่ายภาพ จากหลวงพ่อแต่การที่ทำการถ่ายครั้งแรกนั้น ภาพไม่ติด เพราะกระจกแตก ช่างภาพนึกเอะใจในสิ่งอัศจรรย์ เมื่อแก้ไขได้ที่แล้วก็ขอหลวงพ่อถ่ายใหม่อีกครั้ง การถ่ายครั้งนี้ปรากฏว่าภาพของหลวงพ่อติดเพียงซีกเดียว เท่านั้นช่วงภาพพยายามจะถ่ายให้ได้อีก แต่ก็มืดเสียก่อน จึงต้องนอนค้างที่วัดวังตะโกนั้นเสียหนึ่งคืน จนรุ่งเช้า หลวงพ่อจึงได้ให้ช่างถ่ายภาพถ่ายใหม่อีก เป็นครั้งที่สาม รูปของหลวงพ่อจึงได้ติดชัดได้ในครั้งนี้ สร้างความอัศจรรย์ให้ช่างภาพชาวอินเดียเป็นยิ่งนัก

ที่มา พุทธคุณแดนสยาม
ขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : TNEWS – ทีนิวส์
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: