6290.ตี๋ใหญ่ ตอนที่1

11665650_1466426173655736_5932107867302719715_n

ตี๋ใหญ่ ตอนที่1

เขาคือ อาชญากรที่ยิ่งใหญ่ของไทยที่ไม่มีใครอีกแล้วที่สร้างปรากฏการณ์สุดยิ่งใหญ่อย่างเขา ผู้ซึ่งสร้างความปวดหัวเวียนกล้าให้กับเจ้าหน้าที่มากที่สุด เขาเคยอยู่แฟ้มอาชญากรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายคนต้องทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ความพรากเพียรพยายาม จนถึงขึ้นเสียสละความสุขส่วนตัว เงินส่วนตัว ในการไล่ลาตัวเขาหลายปี แต่ก็จับตัวไม่ได้ซะที จนกระทั้งกระทรวงมหาดไทยตั้งค่าหัวเขาถึง 50,000 บาท (ถือว่ามหาศาลมากในเวลานั้น) และเมื่อเขาตายเขาก็เป็นตำนานของไทยตลอดไป

จากเด็กหน้าตี๋สู่การเป็นมหาโจร น้อยคนนักจะรู้ว่า ตี๋ใหญ่มีชื่อเดิมว่า “กรประเสริฐ ช่างเขียน” เกิดในครอบครัวชาวจีน ที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ปลายปี พ.ศ. 2495 เป็นลูกชายคนโตในจำนวนพี่น้อง 6 คน ซึ่งทั้ง 8 ชีวิตอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ 103 หมู่ 30 ตำบลดอนไผ่

พ่อแม่ตี๋ใหญ่มีรายได้เลี้ยงลูกๆ จากการทำอาชีพสวนผัก สวนผลไม้โตเร็ว เช่น กล้วย มะละกอ เลี้ยงครอบครัวไปวันๆ หากจะถามว่าเพราะอะไรตี๋ใหญ่ถึงเป็นมหาโจรจอมโหดเลือดเย็น ก็ค่อนข้างยากจะอธิบาย ตามประวัติและคำบอกเล่า พบว่าตี๋ใหญ่ครั้งยังเด็กเป็นเด็กที่ขยัน เชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่ช่วยแม่หารายได้เสริม

ยามกลับจากโรงเรียนเสร็จเขามักจะคว้าจอบไปถางหญ้าพลิกหน้าดินเป็นร่องเพื่อปลูกผักหมั่นดูแลรักษาและรดน้ำพรวนดิน ที่น่าสนใจคือประวัติพ่อเขา “เม้งจ๋าย” มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยหนุ่มพ่อของตี๋ใหญ่เคยเป็นอั้งยี่เก่า มีเรื่องฟันๆ แทงๆ นับครั้งไม่ถ้วน ก่อนจะรามือมาเร่ร่อนมาพึ่งแผ่นดินไทยซึ่งสมัยนั้นไทยเปิดรับชาวต่างชาติทำมาหากิน อยู่อย่างอิสระ

ตี๋ใหญ่เป็นคนมีไหวพริบ เฉลียวฉลาด เขามีจุดมุ่งหมายในการดำเนินชีวิต เขาไม่เคยคิดว่าจะเล่าเรียนจบแค่ ป.4 แต่เขาวาดฝันถึงรั้วมหาวิทยาลัยและเมื่อเรียนจบเขาจะมีปริญญาได้ทำงานดีๆ พ่อแม่คงจะมีความสุขขึ้นส่วนน้องๆ ก็คงจะเรียนหนังสือหมดทุกคน แต่ฝันก็คือฝัน เพราะความจนของครอบครัว ด้วยฐานะยากจนทำให้เมื่ออายุประมาณ 11 ปี ตี๋ใหญ่ต้องลาออกในขณะเรียนชั้นประถมที่ 4 เพื่อมาช่วยพ่อแม่ทำสวนและเปิดโอกาสให้พวกน้องๆ ได้เรียนหนังสือ เก็บพืชผักผลไม้โดยไม่เรียนต่อ

นอกจากนั้นตี๋ใหญ่เป็นลูกคนโตของครอบครัวพ่อแม่จึงหมายปั้นให้เขาสืบสานอาชีพการเกษตร อาชีพหลักของครอบครัว สภาพแวดล้อมแถวบ้านของตี๋ใหญ่ก็แสนสงบสุข อำเภอดำเนินสะดวกขึ้นชื่ออำเภอพออยู่พอเพียงอยู่แล้ว การดำเนินชีวิตที่แสนเรียบง่ายตามประสาชนบทไม่มีแหล่งอบายมุขใดๆ ยิ่งยากจะเชื่อว่านี้คือสภาพที่ตี๋ใหญ่เกิดและกลายเป็นมหาโจรในเวลาต่อมา

และด้วยถิ่นกำเหนิดที่บ้านอยู่ริมคลองสะดวกนี้เอง…..จึงไม่ใช้เรื่องแปลกนักหรืออาจเป็นเรื่องธรรมดาด้วยซ้ำ ตัวเขาและเพื่อนๆ แถวๆบ้าน จะสามารถว่ายน้ำเก่ง ตั้งแต่อายุ 2-3 ขวบ จนแทบเรียกได้ว่า “เดินได้ก็ว่ายน้ำเป็น” โดยวิธีเล่นที่ตี๋ใหญ่โปรดปรานมากที่สุดคือการะตัดก้านบัวเป็นหลอดอมเข้าปากเพื่อหายใจในน้ำ และนี้ก็กลายเป็นวิธีที่ตี๋ใหญ่นำมาใช้ประยุกต์ใช้ในการหลบหนีตำรวจอีกวิธีหนึ่ง

มีเรื่องเล่ากันว่า ตี๋ใหญ่สามารถเล่นซ่อนหากับเพื่อนๆ โดยหลบไปซ่อนอยู่ใต้น้ำนานนับหลายๆ ชั่วโมง แบบว่าขนาดปลายังอาย ก็ว่าได้ ด้านนิสัย ตี๋ใหญ่เป็นเด็กเรียบร้อย ขี้อาย และที่เหลือเชื่อก็คือเขาเป็นเด็กขี้อาย ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใคร นอกจากนี้ก็มีนิสัยไม่ชอบคบเพื่อนในวัยเดียวกัน ทำให้มักถูกเพื่อน ๆ วัยเดียวกันกลั้นแกล้งรังแกอยู่เสมอ ๆ

จวบย่างสู่วัยรุ่น อายุ 17 ปีบริบูรณ์ เพราะช่วยพ่อทำไร่ทำสวน จากเด็กกระเปี๊ยก ตี๋ใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นหนุ่มร่ายกายสูงใหญ่ทะมัดทะแม่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม แม้หน้าตาเขาไม่หล่อจัดจ้าน แต่เขามีวงหน้าขาวสะอาด ผมยาวปะบ่า แบบอาตี๋ อดทน นอกจากนี้ต่อหน้าสาวๆ เขามักมีคำพูดคำจา วิธีจีบหญิง จนเพศตรงข้ามหลงใหลเขาไม่ยาก

และด้วยความเป็นวัยหนุ่ม เขาคงเบื่อบ้านนอก ผสมกับเรื่องราวที่ได้ยินจากคนที่เคยไปกรุงเทพฯ ว่า…..กรุงเทพนั้นเป็นเมืองแห่งสีสัน ศิริไลซ์ ที่นั้นสนุกสนาน ไม่รู้เบื่อ หากได้เหยียบย้ำสัมผัสเป็นทันต้องลืมบ้านเก่า ตี๋ใหญ่วัยหนุ่มเริ่มสนใจกรุงเทพฯ จนอยากจะคิดออกจากบ้านนอกเข้าเมืองหลวงสักครั้งเวลานั้นเป็นฤดูแตงโม

ประกอบกับตี๋ใหญ่ได้ความคิดพัฒนากิจการการเกษตรของครอบครัวเพราะของเดิมมันไม่พอกิน เลยปรึกษากับบิดา เขาบอกว่า เขาจะไปรับจ้างขนแตงโมลงเรือไปส่งที่กรุงเทพ อันเป็นตลาดกลางซึ่งให้ราคาแตงโมดีสามารถช่วยซึ่งจะเพิ่มรายได้แก่ครอบครัวมาก

ตอนแรกความคิดนี้ถูกคัดค้านจากพ่อเพราะเป็นห่วงที่ลูกจะทำกิจการดังกล่าว เพราะแต่เล็กจนโตตี๋ใหญ่ไม่เคยพลัดพลาดออกจากบ้านมาก่อน ทำให้ตี๋ใหญ่ต้องพยายามใช้เหตุผลข้ออ้างอิงต่างๆ นาๆ จนกระทั้งพ่อแม่ทั้งสองจำใจอนุญาต ใครจะไปรู้ว่า การจากไปของตี๋ใหญ่ครั้งนั้นจะเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เขาเป็นจอมโจร!!

ตี๋ใหญ่เดินทางล่องมาจากดำเนินสะดวก มาที่ตลาดจำหน่ายผลไม้ฝั่งมหานาคและฝั่งตลาดผดุงเกษม แหล่งส่งผลไม้ใหญ่ในกรุงเทพฯสมัยนั้น โดยนอกจากขนส่งแตงโมแล้ว ตี๋ใหญ่ทำอาชีพเสริม เป็นคนเข็นรถเหล็กติดล้อขนผลไม้หลายชนิดจากในตลาดไปส่งที่รถรับซื้อผลไม้ไปมาอีกด้วย ตี๋ใหญ่มั่นใจว่างานรับจ้างนี้เขาน่าจะทำได้ แม้จะไม่ทำงานเป็นอาชีพเป็นประจำ แต่ก็ได้เงินมากพอดีละ มีเงินมากพอที่จะไปเที่ยว อาจเป็นเพราะความหลงใหล บวกกับความตื่นเต้นในความงามของกรุงเทพที่เขาไม่เคยพานพบมาก่อนในชีวิต….

เมื่อเขามาที่นี้แต่ละครั้ง……แต่ละคืน หลังจากทำงานตอนกลางวัน เขาจะไม่ลืมที่จะไปเที่ยวยามค่ำคืนด้วย ในสมัย 30 กว่าปีก่อนแหล่งบันเทิงของเมืองหลวง ที่ขึ้นชื่อที่สุดตอนนั้นคือ ย่านบางขุนพรหม และย่ามวิสุทธิกษัตริย์ ที่นั้นเต็มไปด้วย ไนท์คลับ ร้านอาหาร และซ่องโสเภณี แน่นอนตีใหญ่ก็ “ขึ้นครู” จนติดใจ และเริ่มเป็นลูกค้าประจำที่ซ่องโสเภณีเกือบทุกคืน

ตี๋ใหญ่ใช้วิธีเดินทางจากที่จอดเรือที่คลองมหานาค (ย่านสะพานขาวในปัจจุบัน) ลัดเลาะมาเที่ยวที่ย่านบางขุนพรหมแทบทุกคืน เพื่อนที่ร่วมเที่ยวในสมัยนั้นกับเขาหลายคนให้การ(ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ว่า) เวลาที่ตี๋ใหญ่ไปเที่ยวแต่ละครั้ง ก็มักมีเรื่องมีราวกระทบกระทั้งแทบทุกครั้งกับนักเลงเจ้าถิ่นแทบทุกครั้ง หลายคนสู้ หลายคนตะลุมบอน……ได้เลือดได้แผลกันทั่วหน้า ส่วนตี๋ใหญ่นั้นในระยะแรก เขาเอาแต่วิ่งหนี เพราะเขาเป็นคนไม่สู้คน

แต่ในที่สุด…ชีวิตตี๋ใหญ่ก็มาถึงจุดเปลี่ยน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาถูกกลุ่มนักเลงเจ้าถิ่นย่านเทเวศร์รุมอัดจนยับเยิน เพราะจนตรอกหนีไม่ทัน จนถึงขั้นหามไปหยอดน้ำข้าวต้มไปหลายอาทิตย์ นี้คือรอยแผลแรกในชีวิต และด้วยแรงแค้นของตี๋ใหญ่ในครั้งนี้….

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขากลายเป็นคนละคน หลังจากเลียแผลกายและใจหายแล้ว เขาเริ่มคุมลูกน้องและพ้องเพื่อน ตั้งตนเป็นเป็นนักเลงใหญ่ออกไปลบรอยแค้น จากกลุ่มนักเลงเล็กๆ ของตี๋ใหญ่ เริ่มมีการขยับขยาย จากการปราบนักเลงเจ้าถิ่น เริ่มจากย่านมหานาค มาบางขุนพรหม เทเวศร์ สามเสนฯลฯ….

ใครที่มีเรื่องกับเขาต้องอัดจนยอมศิโรราบ จนชื่อของตี๋ใหญ่เริ่มเป็นที่รู้จักและเริ่มดังในย่านต่างๆ ดังกล่าวในเวลาต่อมา ด้านพ่อแม่ตี๋ใหญ่มีหรือจะไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะแม่ถึงกับออกปากปรึกษาผู้เป็นสามี แต่ก็ได้รับคำตอบว่าจะเอาอะไรไปสอนมัน เด็กมันโตแล้ว สอนยาก น่าอย่างน้อยมันก็หาเงินมาให้เรา อย่าไปกังวลอะไรมาก เดี๋ยวมันจะจนแบบเรา

แต่กระนั้นในช่วงนี้ตี๋ใหญ่ยังล่องระหว่าง ดำเนินสะดวกกับกรุงเทพฯ อยู่ตลอดเวลา เวลาตี๋ใหญ่มีเรื่องที่กรุงเทพฯแต่ละครั้งเขาจะมากบดานที่บ้านเกิด จนกระทั้งในที่สุดในงานวัดแห่งหนึ่งที่บ้าน เขาเกิดไปมีเรื่องกับคู่อริชื่อ “แช่ม” อาชีพคุมรถสองแถวที่เหม็นขี้หน้าตี๋ใหญ่มานาน ถึงขั้นดวลมีดหน้าลานวัด จนเป็นเหตุทำให้คู่อริบาดเจ็บสาหัสที่ไหล่ซ้าย จนเรื่องถึงตำรวจ และนี้เป็นคดีอาญาคดีแรกของตี๋ใหญ่ที่เจ้าหน้าที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั้นเองที่ทำให้ตี๋ใหญ่ต้องหนี หนี และหนี ตี๋ใหญ่หนีคดีมาอยู่ต่างจังหวัดหลายแห่ง

หนึ่งในนั้นคือวัดหลักหกซึ่งเขาอยู่ใต้อาณัติของ “เสี่ยปิ่น” เจ้าพ่อท่าฉลอมเจ้าของโสเภณีและโรงน้ำชา นั้นเองทำให้ตี๋ใหญ่ได้เข้ามาเรียนรู้ธุรกิจค้ากามโดยไม่รู้ตัว หน้าที่ของตี๋ใหญ่คือเป็นลูกน้องคอยกำราบนักท่องเที่ยวและลูกค่าชั้นเลวทีมีทุกวัน เนื่องจากอาชีพนี้รุนแรง และอันตรายเพราะลูกค้าบางคนก็มีอาวุธ นั้นทำให้ตี๋ใหญ่มีความใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของปืนสักกระบอกเพื่อเอาไว้เป็นเครื่องประจำตัว

สมัยก่อนนั้นประเทศไทยหาซื้ออาวุธปืนไม่ยากถ้ามีทรัพย์ โดยเฉพาะช่วงนั้นสงครามเวียดนาม เขมร ลาว พม่า ยังระอุทำให้ตี๋ใหญ่ได้ปืนมาไม่ยากจากการช่วยเหลือของเพื่อนก็ได้เป็นเจ้าของอาวุธปืน 11 มม. ไว้เป็นเพื่อนตาย และแน่นอนพอนักเลงมีปืนมันก็อยากลองของ ตี๋ใหญ่เริ่มฝึกยิงไม่ว่าเป็นเป้านิ่ง หรือเป้าเคลื่อนไหว ศัตรูคู่อาฆาตของเขาเอง ในไม่ช้าเมื่อตี๋ใหญ่เริ่มเชี่ยวชาญยิงปืนถึงขั้น “แม่นราวจับวาง” เขาเริ่มคิดว่าการเป็นนักเลงคุมซ่องมันไม่พอกิน เลยปรึกษากับเพื่อนเพื่อขอลาเสี่ยปิ่นเพื่อพ้นจากอาณัติไปสู่โลกอิสระที่ท้าทาย แต่….ชีวิตอิสระ มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะช่วงนั้นตี๋ใหญ่ขาดเงิน ทำให้ต้องจำใจเป็นลูกวัดที่วัดกาหลงของ “หลวงพ่อสุด” เกจิอาจารย์ชื่อดัง ของจังหวัดสมุทรสาคร เป็นการชั่วคราว

ด้วยความเป็นหนุ่มกระทงพูดจาคมคาย อ่อนน้อมต่อผู้อาวุโส มีความขยัน และชอบศึกษาพุทธาคม สวดมนต์เก่ง ทำให้พระอาจารย์หลวงพ่อสุดชมชอบตี๋ใหญ่มากๆ จนมอบของขลังหลายอย่าง เช่นเหรียญ “เสือหมอบ” “เสือเผ่น” “ยนต์ตระกร้อ” และ “ตะกรุดโทน” ซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นที่ปรารถนาของพวกนิยมชมชอบศาสตร์เร้นลับแขนงนี้

แต่….สันดานก็คือสันดาน วัดไม่ได้ช่วยให้จิตใจเลวๆ ของตี๋ใหญ่พัฒนาขึ้นเลย มือตี๋ใหญ่มีปืนมีของขลัง ตี๋ใหญ่เริ่มตั้งตัวเป็นโจรเพราะมันง่ายดีปล้นทีเดียวก็ได้เงิน เขาเริ่มรวบรวมลูกน้อง โดยส่วนใหญ่เป็นหนุ่มดำเนินสะดวกที่ศรัทธาในตัวเขามาเป็นลูกน้อง ทำให้กลายเป็นแก๊งอิทธิพลย่อยๆ ในดำเนินสะดวกในเวลาต่อมา และแล้ววันประวัติศาสตร์ ของวงการตำรวจก็มาถึง และนี้คือผลงานเปิดตัวของตี๋ใหญ่แบบอหังการ์

ปล้น 12 สิงหาคม พ.ศ.2516 ตี๋ใหญ่ในขณะนั้นอายุ 21 ปี และพรรคพวกเข้าไปปล้นครั้งแรกในชีวิต เหยื่อรายแรกคือ “นายอดิศักดิ์ พิษณุวัตร” เป็นเศรษฐีย่อยๆ คนหนึ่งในอำเภอดำเนินฯ ตี๋ใหญ่กวาดเงินสด ทองรูปพรรณ และทรัพย์สินมีค่า รวมมูลค่าหลายแสนบาทอย่างง่ายดาย งานแรกถือว่าปล้นครั้งเดียวเท่านั้นไม่ได้ฆ่า หรือทำลายเจ้าทรัพย์แต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ประจำ สภอ. ดำเนินสะดวกในสมัยนั้น ใช้เวลาสืบสวนไม่นานก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของแก๊งค์ตี๋ใหญ่ แต่มันสายเกินไปสำหรับตำรวจ เพราะตี๋ใหญ่ผู้เป็นหัวหน้านั้น รู้ตัวทัน เลยกบดานอย่างเงียบเชียบโดยไร้ร่องรอยเรียบร้อย

เมื่อมีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งต่อๆ มาแบบช่วยไม่ได้ คราวนี้ตี๋ใหญ่หวังจะพัฒนาปล้นแบบก้าวกระโดด เป้าหมายคือร้านแอนนี่ จิวเวอรี่ ร้านนี้ไม่ธรรมดา เพราะมันตั้งในโรงแรมเอเชีย…..แน่นอนคนเข้าออกเพียบ และวงจรรักษาปลอดภัยเป็นร้อย….. ไม่รู้เพราะอะไรตี๋ใหญ่ถึงเลือกปล้นที่นี้

แต่ตี๋ใหญ่วางแผนอย่างดี เมื่อเวลามาถึงตอนสายปลายปี 2517 ตี๋ใหญ่นำลูกสมุน 5 คน พร้อม “นางบุญปัน แก้วจันทร์ดี” แต่งกายภูมิฐานทำทีไปชมอัญมณีภายในร้าน พอดีโอกาสทั้ง 6 สาวหนุ่มก็ปราดเข้าใช้อาวุธกวาดเงินสดกับเครื่องประดับราคาสูงลงกระเป๋าเอกสารเท่าทีตี๋ใหญ่กำหนดไว้ให้เพียง 5 นาที เมื่อถึงเวลาตี๋ใหญ่ออกคำสั่งให้ถอย ลูกสมุนทั้งหมดรีบหนีไปยังรถเก๋งเช่าตามแผน แต่ระหว่างทางเกิดถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่มาขัดขวางทำให้เกิดการดวลปืนยิงสนั่นโรงแรม หนึ่งในกลุ่มโจรได้สาดกระสุนปืนสังหารเจ้าหน้าที่ตาย 1 นาย และสามารถหลบหนีได้

15 มิถุนายน 2519 ตี๋ใหญ่ประกาศการกลับมาของเขาอีกครั้ง ด้วยการบุกเข้าปล้นบ้านพิชัย โซติวงศ์ ที่อำเภอดำเนินสะดวก กวาดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 200,000 บาท

15 กันยายน พ.ศ. 2519 บุกเข้าปล้น กทม. เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคือ นางโฉม หมัดปัญญา กวาดทรัพย์สินเงินสด และทองรูปพรรณไปกว่า 300,000 บาท
ย่างเข้าต้นปี 14 มกราคม 2520 ตี๋ใหญ่ปล้นรถทัวร์ ของพื้นที่ สภ.อ.คลองหลวง และใช้ด้ามปืนตีศีรษะเจ้าทุกข์รายหนึ่งจนเลือดอาบหน้า และจัดการปลดทรัพย์สินผู้โดยสารทั้งหมดอย่างอุกอาจกว่าครึ่งร้อยและหนีไปอย่างลอยนวล

แต่เงินที่ได้จากการปล้นแต่ละครั้งตี๋ใหญ่มักใช้หมดเพียงไม่กี่วัน นอกจากการนำเงินไปช่วยเหลือครอบครัวแล้ว ตี๋ใหญ่มักใช้เงินหมดไปกับสองสิ่งคือ “ผู้หญิง” และ “การพนัน” โดยเฉพาะ ไฮโล ตี๋ใหญ่ชอบมันเป็นพิเศษ เข้าบ่อนแต่ละครั้งหมดเงินเป็นหมื่น (ในขณะนั้นราคาทองคำมีราคาแค่พันบาทเท่านั้น) ทำให้ตี๋ใหญ่ใช้เงินหมดไปอย่างรวดเร็วปานหว่านหรือพิมพ์เองได้ ทำให้ตี๋ใหญ่ต้องออกไปปล้นแล้วปล้นอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ

5 สิงหาคม พ.ศ.2520 ตี๋ใหญ่และลูกน้อง 6 คน บุกไปปล้นร้านทองวิชชุภัณฑ์ กทม.กวาดทองรูปพรรณไปเป็นมูลค่า 1,000,000 บาท 13 ธันวาคม 2520 ตี๋ใหญ่ร่วมกับพรรคพวก บุกปล้นธนาคารกรุงเทพ สาขาสมุทรสาคร ใช้อาวุธปืนจี้ผู้จัดการกับพนักงานขึ้นไปรวมที่ชั้นสอง จากนั้นกลุ่มโจรก็กวาดเงินจากเซฟนับล้านใส่ถุง

และยิงปืนใส่นายทินกร พงษ์พานิช ยามธนาคารที่ตัดสินใจกระโดนชั้นสองแจ้งความตำรวจหนึ่งนัด กลุ่มดาวโจรรีบผงะจากเซฟหอบเงินออกจากธนาคารไปขึ้นสามล้อเครื่องบิดหนีไปทางวัดศรีเมือง แล้วสละรถไปลงเรือหนีไปทางแม่น้ำท่าจีนมุ่งสู่ อ.กระทุ่มแบน ท่ามกลางตำรวจนับร้อยที่มากับเรือหางยาวกวดตามติดๆ และดวลปืนสนั่นที่ท่าน้ำท่าจีนราวกับหนังไทยไม่มีผิด การปะทะกันครั้งนี้ส่งผลให้ จ.ส.ต.อนันต์ เกตุนุ่ม และ พล.บุญลือ ประจักษุ ถูกยิงตายคาที ส่วนสมุนตี๋ใหญ่สมุนตี๋ใหญ่ก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ทราบชื่อภายหลังคือ ดนัย หรือ เหล็ง แซ่เอี๊ยะ และอีกคน นายสำอาง สารภีสามล้อ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับและสารภาพหมดเปลือก

นอกจากนั้นยังรวมทั้งอีกหลายคดีปล้นฆ่า ที่เกิดขึ้นหลายจังหวัด บางครั้งเจ้าทุกข์ก็ถูกทำลายสาหัสปานตาย เนื่องจากต่อสู้ขัดขวาง สื่อมวลชนต่างลงข่าวการปล้นของตี๋ใหญ่อย่างต่อเนื่อง……จนตี๋ใหญ่กลายเป็นจอมโจรดังทั่วฟ้าเมืองไทย

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: