651. ไสยศาสตร์ ศาสตร์แห่งความศรัทธา

เมื่อครั้งสมัยสุโขทัย ไสยศาสตร์เข้ามามีบทบาทมากที่สุด เพราะยุคนั้นพระมหากษัตริย์และขุนนางต้องออกรบพร้อมกับทหาร รวมถึงการปกครองการบ้านการเรือนทั้งหมดต้องใช้ไสยศาสตร์ทั้งสิ้น เพราะไสยศาสตร์แยกเป็นหลายแขนง เช่น วิชาคงกระพันชาตรี, วิชาแคล้วคลาด,

ไสยศาสตร์

วิชาเมตตามหาเสน่ห์มหานิยม, วิชาเสน่ห์เล่ห์ , กลวิชาแต่งคน , วิชากำบัง และอื่นๆอีกมากมาย

วิชาคงกระพันชาตรี
เขาใช้เมื่อเวลาจะออกรบ ผู้เป็นเจ้านายหรือผู้มีวิชาอาคมก็จะแจกเครื่องรางของขลังต่างๆ ทั้งตะกรุดผ้ายันต์และวัตถุมงคลต่างๆ บ้างก็ลงอักขระสักยันต์ลงตามร่างกายเป็นหมึกบ้างน้ำมันบ้าง บางรายก็เขียนยันต์ลงตามร่างกาย บางรายก็เป่ายันต์ลงตามร่างกาย แล้วแต่ว่าใครจะเรียนมาแบบไหน
ก็จะใช้วิชาตามที่ตนเรียนมา แต่ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือ เพื่อให้เกิดความเป็นมงคลแก่ตัวของผู้เข้าทำพิธีและเพื่อให้มีพลังงานมาประจุลงสู่ตัวของคนนั้นๆ เมื่อมีพลังงานมาประจุแล้วก็จะส่งผลให้เนื้อหนังมีความคงทนต่อคมอาวุธทุกประเภท จนมีดฟันแทงไม่เข้า แต่ถ้าจะทำให้ตายต้องใช้ของแหลมแทงสวนทวารอย่างเดียว

วิชาคงกระพันชาตรีนั้นยังมีแยกออกไปอีก ๙ วิชา
วิชาอาพัด, เหล้า, หมาก, ใบพลู, ยาสูบ, พริกไทย, ว่านและรากไม้ต่างๆ วิชานี้ใช้เสกของกินเพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาปูนคาดคอ
วิชานี้ใช้เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเรียกน้ำมันเข้าตัว
วิชานี้ใช้เสกเรียกน้ำมันให้เข้าไปอยู่ในตัว เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาอาบน้ำว่าน
วิชานี้ใช้อาบ เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาอาบน้ำมันเดือด
วิชานี้ใช้เสกอาบ เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี แต่เวลาอาบจะไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด

วิชาเสกฝุ่นทาตัว
วิชานี้ใช้เสกฝุ่นทาตัว เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี ในบางทีเรียกว่า “ หนุมารคลุกฝุ่น ”

วิชาสักยันต์
วิชานี้จะใช้ของแหลมจุ่มหมึกหรือน้ำมันมาแทงลงบนผิวหนัง เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเขียนยันต์
วิชานี้จะใช้ของไม่แหลมจุ่มน้ำมันมาเขียนลงบนผิวหนัง เพื่อให้เกิดเป็นยันต์ต่างๆ, เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาเป่ายันต์วิชานี้จะใช้เป่ายันต์ต่างๆ
เพื่อให้เกิดความคงกระพันชาตรี

วิชาชาตรี
คนส่วนใหญ่มักเรียกรวม วิชาคงกระพัน กับ วิชาชาตรีเข้าด้วยกัน เป็นวิชาคงกระพันชาตรีแต่ที่จริงแล้ววิชาชาตรีนั้นต่างจากวิชาคงกระพันตรงที่……….
วิชาคงกระพันพันแทงไม่เข้าแต่ก็ยังมีความเจ็บปวดเกิดขี้นอยู่ แต่วิชาชาตรีนั้น ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บเลย เพราะวิชาชาตรีนั้นทำให้ของหนักต่างๆที่จะมากระทบตัวจะเบาไปหมด คนที่สำเร็จวิชานี้สามารถกระโดดได้สูงเกินสามวา วิชานี้เป็นวิชาแต่งตัวแล้วบริกรรมคาถา และเอามือทั้งสองลากไปตามตัว
เรียกว่า “ ชักยันต์ ” แต่ส่วนมากมักจะเป็นวิชาของอิสลาม

วิชาแคล้วคลาด
วิชาแคล้วคลาดเป็นวิชาที่เหนือกว่าวิชาคงกระพันและวิชาชาตรี เพราะแม้มีคนมุ่งร้ายหมาย จะทำอันตรายก็มิอาจจะทำอันตรายได้ เป็นแคล้วคลาดทุกครั้งไป คือไม่เจอ ไม่โดน และไม่เจ็บ ถึงแม้จะสู้กันซึ่งหน้า ไม่ว่าจะเป็นยิงหรือฟันก็จะหลบเลี่ยงหลุดรอดได้ทุกครั้งไป โดยฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถทำอันตรายได้ แต่วิชานี้ส่วนมากจะถูกประจุอยู่ในเครื่องรางของขลังและลายสักยันต์ต่างๆรวมถึงการเขียนยันต์และการเป่ายันต์ด้วย วิชาแคล้วคลาดถือเป็นวิชาที่เกจิอาจารย์ส่วนมากนิยมใช้กันอีกด้วย

วิชามหาอุตม์
วิชามหาอุตม์เป็นวิชาที่นำมาใช้เฉพาะ “กันปืน ” ถ้าผู้ใดสำเร็จวิชามหาอุตม์ “ เมื่อครั้งมีเหตุให้โดยยิงปืนที่จะยิงจะยิงไม่ออก ” หรือในบางครั้งอาจจะทำให้ปืนแตกคามือของผู้ยิงได้เลย วิชามหาอุตม์มักถูกเขียนลงตระกรุด ใช้กันปืนและมักจะเสกรวมกับวิชาคงกระพันและแคล้วคลาด
เพื่อให้ขลังยิ่งขึ้น และเป็นการกันพลาดอีกด้วย คือ หากยิงออกก็ไม่โดน หากโดนก็ไม่เข้า เป็นต้น

วิชาแต่งคน
วิชาแต่งคนเป็นวิชาที่ใช้คุ้มครองตนเองและคนอื่น ในอดีตผู้เป็นแม่ทัพนายกองมักจะใช้วิชานี้ คุ้มครองตนเองและลูกน้องให้รอดพ้นจากคมมีดคมกระสุน วิชานี้มักใช้เสกน้ำมันงาหรือปูนกินหมาก ทาใต้คางหรือบางรายใช้ทาตัว ทำให้คงกระพันเป็นอย่างดี

“ วิชาต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมด ในอดีตจนถึงปัจจุบันพระสงฆ์และผู้มีวิชาอาคมทั้งหลาย มักนำมาใช้ในการสร้างพระเครื่องและเครื่องรางของขลังเพื่อใช้คุ้มครอง และให้เป็นสิริมงคลต่อผู้ที่นำไปบูชา ในบางอาจารย์อาจจะนำมาใช้ในการลงอักขระสักยันต์ลงบนร่างกายอีกด้วย ”…

ที่มา เรื่องเล่าชาวสยาม

นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: