664. อภินิหาร พุทธาคม และความศักดิ์สิทธิ์ หลวงปู่สุข วัดโพธิ์ทรายทอง

อภินิหาร พุทธาคม และความศักดิ์สิทธิ์
พระครูภาวนาภิมณฑ์ (หลวงปู่สุข ธมฺมโชโต)
วัดโพธิ์ทรายทอง ตำบลละหานทราย
อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์

หลวงปู่สุข วัดโพธิ์ทรายทอง

เจ้าพ่ออีสานใต้รอดชีวิต
คุณไพโรจน์ ติยวนิช หรือที่รู้จักในนาม เสี่ยไซ เจ้าของสัมปทานป่าไม้ในเขตอำเภอละหานทราย มีกิจการโรงเลื่อยขนาดใหญ่เป็นที่รู้จักกันดีในเขตอีสาน เสี่ยไซเป็นศิษย์ผู้ใกล้ชิดหลวงปู่สุขและเป็นอุปถัมภ์วัดโพธิ์ทรายทองมาโดย ตลอด ครั้งหนึ่งเสี่ยไซต้องการที่จะนำรถจักรยานยนต์ที่เสียไปซ่อมที่จังหวัด นครราชสีมา ได้สั่งการให้ลูกน้องนำรถจักรยานยนต์ที่เสียทั้งหมดใส่รถชักลากซุง แล้วเดินทางร่วมไปด้วย ถนนในสมัยก่อนเป็นเส้นทางชักลากไม้ระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตร บังเอิญคนขับดื่มสุรามาก่อน ขณะขับรถถึงลำน้ำจังหัน ซึ่งเป็นถนนในสมัยก่อนเป็นเส้นทางชักลากไม้ระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตร ซึ่งเป็นถนนโค้ง คนขับรถได้หักพวงมาลัยหลบรถที่วิ่งสวนทางเสียหลัก

รถพุ่งลงไปในลำน้ำจังหัน และจมดิ่งลงอย่างรวดเร็ว เสี่ยไซได้ดิ้นรนช่วยเหลือตนเอง เพื่อให้ออกจากตัวรถก่อนหมดสติ และได้ระลึกถึงหลวงปู่สุข ในความรู้สึกของเสี่ยไซได้กล่าวว่าเหมือนมีใครมาฉุดกระชากแขน ดึงให้ออกจากตัวรถ แล้วจึงถีบตัวเองพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ ผู้เห็นเหตุการณ์ได้เข้าช่วยเหลือและปฐมพยาบาลทำให้รอดชีวิต ส่วนคนขับรถนั้นเสียชีวิต จากการรอดชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนี้ เนื่องจากเสี่ยไซมีวัตถุมงคลของหลวงปู่สุขติดตัว และด้วยผลบุญที่ชอบทำบุญและอุปถัมภ์หลวงปู่สุข จึงส่งผลให้รอดชีวิตและปลอดภัย

พิสูจน์พระอริยสงฆ์
คุณสุรินทร์ นันทเกียรติวงษา ซึ่งปัจจุบันประกอบอาชีพส่วนตัว อยู่ที่อำเภอเมืองบุรีรัมย์ ได้กรุณาเล่าให้ฟังว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๘ เห็นจะได้ คุณสุรินทร์ ได้ยินกิตติศัพท์เล่าลือถึงความเป็นพระแท้ซึ่งมีวัตรปฏิบัติอันงดงามและความ ศักดิ์สิทธิ์บางประการของหลวงปู่สุข ก็เกิดความสนใจและอยากพิสูจน์ว่าเป็นความจริงดังที่เขาเล่าลือกันหรือไม่ จึงได้เดินทางไปที่วัดโพธิ์ทรายทอง เพื่อการพิสูจน์ดังกล่าว

ได้พบหลวงปู่สุขในขณะนั้น ท่านก็เป็นพระที่มีอายุมากแล้ว และท่านมิได้จำวัดอยู่ภายในกุฏิเหมือนดังเช่นพระภิกษุรูปอื่น ๆ หากแต่ท่านยึดเอามุมหนึ่งของชานศาลาหรือกุฏิราม ซึ่งปัจจุบันได้รื้อไปแล้วเป็นที่จำวัดตลอดจนเป็นที่รับแขกเบ็ดเสร็จในที่ เดียวกันนั้น ที่จำวัดและรับแขกของท่านก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากผ้านวมเก่า ๆ ผืนหนึ่งซึ่งปูแทนเสื่อมีหมอนใบหนึ่ง และมีผ้าขนหนูขนาดใหญ่ผืนหนึ่งซึ่งเก่าคร่ำคร่าจนแลดูไม่อออกว่ามีสีอะไร ใช้แทนผ้าห่มเท่านั้น ส่วนมุ้งนั้นไม่มี หลวงปู่ท่านจำวัดโดยไม่ต้องการมุ้ง ก็เป็นความแปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่คุณสุรินทร์พบเห็นจากการที่ไปนั่งเฝ้า

นอนเฝ้าเพื่อพิสูจน์ความเป็นพระแท้ของหลวงปู่สุขอยู่ถึงสามวัน ที่หลวงปู่ท่านจำวัดโดยไม่ต้องการมุ้งแต่ก็กลับไม่ได้รับการรบกวนจากยุงเลย ตรงกันข้ามกับคุณสุรินทร์ซึ่งนอนอยู่ใกล้ ๆ ไม่ห่างจากที่จำวัดของหลวงปู่เท่าไรนักกลับถูกยุงกัดเสียย่ำแย่ จากการเฝ้าสังเกตการณ์หลวงปู่สุขอยู่ถึงสามวัน คุณสุรินทร์เล่าว่าได้พบเห็นวัตรปฏิบัติของหลวงปู่สุข ดังนี้

– การฉันอาหารหลวงปู่สุขท่านจะฉันเอกาเพียงวันละมื้อ และฉันแบบสำรวมในบาตร

– ไม่ว่าใครจะเอาอะไรมาถวายให้ ท่านจะรับไว้ และกองไว้บนหัวนอน อย่างไม่สนใจไยดี และแทบไม่เคยดูเสียด้วยว่าเป็นอะไรบ้าง มีค่าหรือไม่มีค่า ได้ทราบต่อมาภายหลังว่า บรรดาข้าวของที่มีผู้ถวายเมื่อมีจำนวนมากพอสมควร ก็จะมีเณรภายในวัด ตลอดจนฆราวาสที่อาศัยอยู่ในวัดมานำเอาไปใช้ประโยชน์ทีหนึ่ง โดยที่หลวงปู่สุขก็ไม่เคยหวงห้าม ใครอยากได้ท่านก็บริจาคต่อให้หมดไม่มีการหวงแหนเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว

– เวลามีผู้ขออนุเคราะห์ให้ช่วยทำน้ำมนต์ให้ ท่านก็จะให้ผู้ซึ่งต้องการอย่างได้นิมนต์ ไปตักน้ำใส่ขันมา แล้วท่านก็จะเอาแท่งดินสอหรือแท่งวัตถุอะไรก็ได้ที่ท่านสามารถหยิบฉวยได้ใน ขณะนั้นขึ้นมาเคาะ ๆ ที่ปากขันน้ำมนต์ เพียงครูเดียวก็เสร็จพิธี โดยที่ท่านมิได้มีการหลับตาทำสมาธิหรือเสกเป่ามนตราใด ๆ ทั้งสิ้น ตลอดจนการจุดเทียนเพื่อหยดน้ำตาเทียนลงไปในน้ำมนต์ก็ไม่มี

ซึ่งก็ได้ทราบในกาลต่อมาเหมือนกันว่าน้ำมนต์ของท่านที่เกิดจากการเพียงเอา แท่งดินสอ หรือแท่งวัตถุเคาะที่ปากขันน้ำเท่านั้น มีผู้คนไปใช้ในเรื่อสะเดาะเคราะห์ ตลอดจนอธิษฐานใช้ในสิ่งที่ไม่เกินไปกว่ามนุษย์จะพึงมีได้ ส่วนใหญ่แล้วประสบผลสมตามมุ่งหมายได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรื่องการปลุกเสกของดีหรือมงคลวัตถุก็เช่นกัน เท่าที่ทราบจากการบอกเล่าของหลาย ๆ

ท่าน ต่างกล่าวตรงกันว่าหลวงปู่สุขท่านไม่เหมือนใคร คือเวลามีใครเอามงคลวัตถุให้ท่านช่วยปลุกเสกให้ท่านก็จะพียงจับ ๆ แตะ ๆ หรือ หยิบมงคลวัตถุเหมือนดังเช่นพระเกจิอาจารย์ส่วนใหญ่โดยทั่วไป จะมีก็แต่เพียงในระหว่างที่หยิบหรือแตะวัตถุมงคลนั้น หลวงปู่สุขจะภาวนาคาถาซึ่งก็ฟังไม่ถนัดนัก เพราะท่านว่าของท่านแต่เพียงเบา ๆ แบบในใจเสียมากว่า ท่านทำของท่านดังที่ว่านี้อยู่เพียงแต่ท่านหยิบ ๆ แตะ ๆ และภาวนาคาถาโดยที่ตาของท่านยังลืมมองของที่อยู่ตรงหน้า ว่าจะมีความศักดิ์สิทธิ์ มีอนุภาพคุ้มครองป้องกันอันตรายได้ แต่ก็ปรากฏว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อย ได้พบประสบความศักดิ์สิทธิ์ในมงคลวัตถุของท่านและหลายคน ในขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่สามารถยืนยันเรื่องดังกล่าวได้

วันทั้งวันหลวงปู่ท่านแทบไม่เคยลุกจากที่จำวัดไปไหนเลย ตลอดระยะเวลาสามวันที่ นั่งเฝ้าดูท่านท่านไม่เคยเข้าห้องสุขาและไม่สรงน้ำให้เห็นเลย ย่างเข้าวันที่สามก็เลยเกิดอยากจะพิสูจน์ขึ้นมาว่า หลวงปู่ท่านไม่อาบน้ำท่านจะมีกลิ่นตัวหรือไม จึงถือวิสาสะคว้าแขนท่านมาดมเอาดื้อ ๆ คุณสุรินทร์ก็ต้องแปลกใจที่หลวงปู่สุขท่านไม่มีกลิ่นตัวเลย และเมื่อได้เห็นผิวเนื้อของท่านอย่างใกล้ชิดก็พบว่า ผิดแปลกจากคนชราโดยทั่วไปตรงที่ว่าผิวของท่านผ่องใสเป็นยองใย

ตลอดเวลาที่นั่งสังเกตการณ์คล้ายดั่งหนึ่ง หลวงปู่จะหยั่งรู้ว่าคุณสุรินทร์จะมาพิสูจน์และลองดีท่าน แต่ก็ไม่เคยแสดงกิริยาโกรธขึ้งหรือขับไล่คุณสุรินทร์แต่อย่างใด ท่านยิ้มแย้มของท่านอยู่ตลอดเวลา ที่คุณสุรินทร์ไปนั่งเฝ้าดูท่าน เท่าที่สังเกตดูท่านเป็นพระที่อารมณ์ดีอยู่เสมอ ไม่เคยดุหรือตำหนิว่าใคร หลังจากที่เฝ้าสังเกตการณ์ ก็ยอมรับว่าหลวงปู่สุขท่านเป็นพระแท้รูปหนึ่ง และมีดีจริงดังคำเล่าลือ จึงได้มอบตัวเป็นศิษย์ขอเรียนวิปัสสนากรรมฐานด้วย ทำให้ได้ทราบในกาลต่อมาว่า หลวงปู่สุข ท่านเป็นพระที่ ทรงอภิญญารูปหนึ่ง
คุณสุรินทร์

เล่าว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๐ วันหนึ่งคุณสุรินทร์ไปหาหลวงปู่สุขที่วัด ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งภายในวัดถามว่า มาหาหลวงปู่สุขท่านบ่อย ๆ เคยได้เลขดีไปบ้างมัยล่ะ คุณสุรินทร์ก็ตอบไปว่าไม่เคยได้เพราะไม่เคยขอ และก็ไม่ทราบด้วยหลวงปู่ท่านให้หวยแม่น พระภิกษุรูปนั้นก็บอกว่าหลวงปู่ท่านไม่ค่อยยอมให้หวยใครหรอกนอกจากจะ ถูกรบกวนขอ ท่านจึงจะบอกใบให้ด้วยเมตตา สุดแล้วแต่โชควาสนาของคนที่ขอ

ปกติแล้วคุณสุรินทร์เป็นคนไม่นิยมเสี่ยงโชคในด้านนี้ แต่ในวันนั้นด้วยความอยากลองดี ว่าหลวงปู่สุขท่านจะมีดีตามที่ภิกษุรูปดังกล่าวบอกหรือไม่ จึงตั้งใจว่าวันนี้จะลองขอหวยหลวงปู่สุขท่านดูสักครั้ง แต่ขอแล้วจะไม่เอาไปเล่นหรือบอกใคร จะจดไว้ดูเท่านั้นว่าจะออกตามที่หลวงปู่สุขท่านให้หรือไม่ แต่เมื่อเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่สุข แล้วถอยออกมา ยังไม่ทันที่คุณสุรินทร์จะพูดอะไร เพื่อดำเนินกุศโลบายขอหวยจากท่านตามที่คิด ท่านกวักมือเรียกคุณสุรินทร์ให้เข้าไปหาพร้อมกับนำก้านธูปที่หักเป็นสี่ ท่อนใส่มือคุณสุรินทรี่แบมือ แล้วก็จับมือคุณสุรินทร์ให้ก้านธูปนั้น พร้อมกับมองหน้าคุณสุรินทร์แล้วยิ้ม ๆ

เท่านั้นแหละคุณสุรินทร์ก็ทราบโดยอัตโนมัติว่าหลวงปู่ท่านใบ้หวยแล้ว ตาที่ตั้งใจว่าจะขอท่านก็ให้นึกชมท่านอยู่ในใจเหมือนกันว่า ทำไมจึงล่วงรู้ใจเสียเหลือเกิน คิดอะไรไว้ในใจท่านรู้ได้หมด หลังจากกลับมาแล้วคุณสุรินทร์ก็คอยสังเกตการณ์ว่าล็อตเตอรี่ในงวดนั้นจะออก เลขอะไร ปรากฏว่างวดนั้นเลขท้ายสองตัวออก ๔๐ ตรงตามที่หลวงปู่สุขท่านใบ้ให้ทุกประการ

ยิ่งไปกว่านั้นในงวดต่อมาเลขท้ายสองตัวก็ยังออก ๔๕ อีกด้วย เรียกว่าหลวงปู่ท่านใบ้หวยให้ทีเดียวสองงวดเลย ท่านเก่งถึงขนาดนั้นเชียวหรือ สามารถรู้ว่าหวยจะออกเลขอะไรได้ล่วงหน้าถึงสองงวด อย่ากระนั้นเลยเห็นทีจะต้องไปลองขอท่านดูอีกสักครั้ง ว่าจะแม่นเหมือนครั้งที่แล้วหรือเปล่า ในตอนนั้นคุณสุรินทร์คิดเช่นนี้ ดังนั้นในอีกประมาณหนึ่งเดือนต่อมา เมื่อมีเวลาว่างพอ คุณสุรินทร์จึงได้ควบจักรยานยนต์คู่ชีพเดินทางไปหาหลวงปู่สุขอีก ไปถึงคราวนี้อัศจรรย์ใจมาก เพราะเพียงแต่กราบท่านเสร็จ เงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นท่านก็ยื่นเท้าขวาของท่านมาให้คุณสุรินทร์บอกให้เอา มือจับนิ้วหัวแม่เท้าของท่าน และก็ยื่นเท้าซ้ายบอกให้คุณสุรินทร์เอามืออีกข้างหนึ่ง

จับนิ้วเท้าทั้งสี่ของท่านยกเว้น นิ้วหัวแม่เท้า แล้วบอกให้ปล่อยมือ แล้วก็บอกให้จับนิ้วเท้าของท่านอีก คราวนี้บอกให้จับทั้งหมดทั้งห้านิ้วเลย ในขณะที่อีกมือหนึ่งของคุณสุรินทร์ยังคงจับนิ้วหัวแม่เท้าขวาของท่านอยู่ดัง เดิมท่านมองหน้าคุณสุรินทร์แล้วก็ยิ้ม ไม่พูดอะไรทั้งสิ้นในขณะเมื่อชักเท้ากลับเท่านั้น คุณสุรินทร์ก็ทราบโดยปริยายว่า หลวงปู่สุขท่านได้ใบ้หวยให้แล้ว ตามความต้องการของคุณสุรินทร์ที่คิดจะมาทดสอบในเรื่องดังกล่าวกับท่านอีก เป็นคำรบสองตามวิสัยของคนช่างพิสูจน์ ในงวดนั้นปรากฏว่าเลขท้ายสองตัวออก ๑๔ ตรงเผงตามที่ท่านใบให้ และงวดต่อมาเลขท้ายสองตัวก็ออก ๑๕ ตรงเผงตามที่ท่านใบ้ให้อีก

ตั้งแต่นั้นมาคุณสุรินทร์จึงเชื่อและนับถือหลวงปู่อย่างสนิทใจว่าท่านเป็น ผู้มีญาณวิเศษ สามารถหยั่งรู้จิตใจคน และกาลอนาคตได้จริง ในกาลต่อมาเมื่อได้ศึกษาในเรื่องศาสนามากขึ้นจึงได้ทราบว่า
ความสามารถหยั่งรู้ดังกล่าวของหลวงปู่สุขนั้น เป็นคุณวิเศษอย่างหนึ่งของพระผู้ทรงอภิญญาในทางศาสนาพุทธของเรานั่นเอง..

ท้าให้ลองยิง
คุณวิเชียร สินชัยศรี มีบ้านพักอยู่หน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองบุรีรัมย์ ก็ได้กรุณาเล่าให้ฟังเหมือนกันว่า สมัยเมื่อคุณวิเชียรยังเป็น ตชด. ประจำอยู่ที่อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ – ๒๕๐๘ เห็นจะได้ เคยมีลูกน้องคนหนึ่งของคุณวิเชียรมีความเชื่อมั่นในมงคลวัตถุของหลวงปู่สุข ถึงกับเคยแอ่นอกท้าทายให้เพื่อนยิงด้วยปืนลูกซอง เพื่อนทนคำท้าทายไม่ได้ เลยยิ่งเอาด้วยปืนลูกซองดังกล่าว

ปรากฏว่า เสื้อที่สวมใส่พรุนไปด้วยรอยกระสุน แต่ไม่ปรากฏว่าบาดแผลบนร่างของผู้ถูกยิงเลยผู้ถูกยิ่งยังคุยให้ฟังอีกด้วย ว่า ในขณะที่ถูกยิ่งมีความรู้สึกเหมือนใครเอาทรายมาซัดใส่เท่านั้น ไม่รู้เจ็บแต่อย่างใด คุณวิเชียรจึงเป็นผู้หนึ่งซึ่งมีความเชื่อมั่นและนับถือมงคลวัตถุของหลวงปู่ สุขมาก เพราะจากการที่เคยเป็น ตชด. ประจำอยู่ในพื้นที่ซึ่งต้องมีการปะทะกันกับ ผกค. อยู่เสมอ คุณวิเชียรพบว่าผู้ซึ่งมีมงคลวัตุของหลวงปู่อยู่ในครอบครอง ไม่เคยเสียชีวิต หรือรับบาดเจ็บจากการปะทะกับ ผกค. เลย

สมัยเมื่อหลวงปู่สุขท่านยังมีชีวิตอยู่ คุณวิเชียรเคยนำแผ่นทองแดงไปให้หลวงปู่ท่านลงตะกรุดให้ซึ่งหลวงปู่ท่านก็ลง ให้ในทันที โดยท่านจารอักขระลงบนแผ่นทองแดงกันเดี๋ยวนั้น เสร็จแล้วก็ม้วนส่งให้ดูแล้วก็ไม่มีพิธีรีตองอะไร ที่จะชวนให้เลื่องถือว่าจะมีความศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อมีเพื่อนคนหนึ่งมาขอของดีจากคุณวิเชียร คุณวิเชียรได้มอบตะกรุดดังกล่าวให้ไป

บุคคลดังกล่าวมีอาชีพขับรถยนต์โดยสารวิงระหว่างจังหวัด วันหนึ่งขับรถยนต์โดยสารซึ่งไม่มีผู้โดยสาร จะกลับบ้านพักก็เกิดอุบัติเหตุ รถยนต์โดยสารที่ขับไปขนกับรถบรรทุกทรายที่แถวบ้านยาง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์อย่างจังจน หน้ารถแหลกไม่มีชิ้นดี แต่บุคคลดังกล่าวกลับไม่ได้อันตรายหรือบาดเจ็บใด ๆ เลย เชื่อว่าตะกรุดของ หลวงปู่สุขที่เขาพกติดตัวอยู่เพียงดอกเดียวช่วยคุ้มครองไว้

กำนันคนดังโดนระเบิด ผกค. ไม่ตาย
กำนันประสิทธิ์ พัลวัล กำนันคนดังของตำบลละหานทราย อำเภอละหานทราย จังหวัดบุรีรัมย์ซึ่งเคยเป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์รายวันมาแล้ว เมื่อประมาณปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เรื่องถูกกับระเบิดของ ผกค. แต่ไม่ตายเพราะคงกระพัน กรุณาเล่าให้ฟังถึงอนุภาพแห่งมงคลวัตถุในหลวงปู่สุข ที่ช่วยคุ้มครองชีวิตในครั้งนั้นว่า ในสมัยนั้นตนนอกจากจะเป็นกำนันแล้ว ก็ยังเป็น อส. อีกด้วย โดยประจำอยู่ฐานบ้านป่าไม้สหกรณ์โนนดินแดงซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อฐาน เป็น ฐานอุดม เพื่อเป็นเกียรติแก่ จ.ส.ต.อุดม ป้อมจัตุรัส ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ ณ ฐานบ้านดังกล่าว และได้เสียชีวิตในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ ดังเหตุการณ์ซึ่งจะได้เล่าสู่กันฟังดังต่อไปนี้

วันนั้นถ้าจำไม่ผิด เป็นวันหนึ่งในปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๑ กำนันพร้อมด้วยเพื่อน อส. อีก ๔ คน และ จ.ส.ต.อุดม ป้อมจัตุรัส ได้ออกลาดตระเวนตามปกติ ขณะเมื่อออกลาดตระเวนตามปกติระยะทางห่างจากฐานที่ตั้งประมาร ๒ กิโลเมตร ก็พบว่าในเส้นทางที่จะเดินผ่านมีขอนไม้ขนาดใหญ่ขวางทางเดินอยู่ กำนันซึ่งเดินนำหน้าจึงก้าวข้ามขอนไม้ดังกล่าวไปก่อน แล้วตามติดด้วย อส.แจ่ม สุโขพันธุ์ ปรากฏว่า ทั้งกำนัน และ อส.แจ่ม ก้าวข้ามขอนไม้มาโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่พอถึงคนที่สามซึ่งได้แก่ จ.ส.ต.อุดม ก้าวข้ามในตำแหน่งเดียวกันกับที่กำนัน และ อส.แจ่ม ก้าวข้าม เท่านั้นเองก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น อส.อีกสองคนซึ่งอยู่ด้านหลังเห็นเหตุการณ์ ตอน

จ.ส.ต.อุดม เหยียบถูกกับระเบิดที่ผกค.ลอบวางไว้ ได้เล่าให้ฟังในภายหลังว่า เห็นร่างของ จ.ส.ต.อุดม ลอยขึ้นไปจากพื้นสูงหลายเมตรทีเดียวเมื่อสิ้นเสียงระเบิดกำนันหันกลับไปดูก็ พบในตำแหน่งที่กำนันและ อส.แจ่มเหยียบย่ำผ่านมานั้นเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ เมตรเศษ ได้ยินเสียงร้องของ จ.ส.ต.อุดม ร้องขึ้นมาจากหลุมดังกล่าวขอให้ช่วยพวกตนซึ่งไม่ถูกระเบิดจึงได้เข้าไปช่วย ดึงร่างของ จ.ส.ต.อุดม ขึ้นมาจากหลุมดังกล่าว

แล้วกำนัน และ อส.คู ปานใจสำ หนึ่งใน อส. ที่อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย จึงได้ช่วยกันหามร่างของ จ.ส.ต.อุดมเพื่อนำกลับฐานที่ตั้งส่งโรงพยาบาลต่อไป โดยกำนันหามทางด้านศีรษะ ส่วน อส.คู อยู่ยังผลให้ทั้งคนเจ็บและคนหามกระดอนกระเด็นไปคนละทิศละทาง จ.ส.ต.อุดม นั้นบาดเจ็บสาหัส หลังจากเกิดเหตุแล้ว ต้องเข้าพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลถึงหนึ่งปีเศษ และต้องเปลี่ยนโรงพยาบาล ที่ทำการรักษาถึงสามแห่งมีเพียงกำนันประสิทธิ์คนเดียวเท่านั้น ที่ถูกระเบิดเข้าอย่างจังเหมือนกัน

จนร่างกระเด็นไปไกลถึงสี่ห้าเมตรและมีเศษสะเก็ดระเบิดติดตามตัวเต็มไปหมด แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย ไปถึงโรงพยาบาลแพทย์ เพียงแต่เขี่ยสะเก็ดระเบิดตามร่างกายออกและเอายาแดงทาให้เท่านั้น แล้วก็ให้กลับมาพักรักษาแผลซึ่งมีสภาพเป็นรอยยางบอนเท่านั้นที่บ้าน ปรากฏว่าทายาแดงอยู่เพียงไม่กี่วันแผลที่ถูกสะเก็ดระเบิดก็แห้งตกสะเก็ดหาย สนิทนับเป็นเรื่องที่อัศจรรย์แก่ผู้ซึ่งพบเห็นหรือทราบเหตุการณ์มาก ที่กำนันประสิทธิ์ ถูกกับระเบิดแต่กลับไม่ได้รับอันตรายจากระเบิดเลยเพราะสะเก็ดของมันเพียงแต่ ติดอยู่ตามผิวหนังกำนันเท่านั้น

กำนันเล่าว่าในขณะเมื่อถูกระเบิดนั้น มีความ รู้สึกว่า เหมือนกับถูกไก่จำนวนมากมารุมจิกตามตัวเท่านั้น และในวันที่เกิดเหตุกำนันมีแต่เพียง เหรียญรุ่นแรกและผ้ายันต์ของ หลวงปู่สุข พกติดตัวอยู่เท่านั้น และในกลุ่มของผู้ซึ่งออกลาดตระเวนในวันที่เกิดเหตุ ก็มีกำนันและ อส. แจ่ม สุโขพันธุ์ เท่านั้น ที่มีมงคลวัตถุของหลวงปู่สุข พกติดตัวอยู่เท่านั้น

และในกลุ่มของผู้ซึ่งออกลาดตระเวนในวันที่เกิดเหตุ ก็มีกำนันและ อส.แจ่ม สุโขพันธุ์ เท่านั้น ที่มีมงคลวัตถุของหลวงปู่สุขพกติดตัว จึงปรากฏว่าในครั้งแรกที่กำนันและ อส.แจ่ม ก้าวข้ามขอน ไม่เหยียบลงในตำแหน่งเดียวกับ จ.ส.ต.อุดม ย่างเท้าเหยียบลงในภายหลัง ระเบิดที่ ผกค. ลอบวางไว้ไม่ระเบิด เชื่อว่าคงเป็นอานุภาพของมงคลวัตถุในหลวงปู่ท่านช่วยคุ้มครองไว้ เพราะทั้งสองต่างก็มีมงคลวัตถุของหลวงปู่สุข ติดตัว อยู่ดังกล่าว

รอดตายดั่งปาฏิหาริย์
ประสบการณ์จริงของครอบครัว จรเอ้กา กำนันบุญเสริม – นางสมบูรณ์ จรเอ้กา อดีตนายกเทศมนตรี ตำบลละหานทราย และ นางจิณณทัต แสงงาม บุตรสาว เล่าถึงประสบการณ์และเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น และรอดชีวิตดังปาฎิหาริย์ มีความเชื่อมั่นและศรัทธา หลวงปู่สุข ธมฺมโชโต อย่างสูงยิ่ง

กำนันบุญเสริม เล่าถึงในอดีตช่วงชีวิตดำรงตำแหน่งกำนัน ตำบลละหานทราย อำเภอละหานทราย ขณะนั้นยังมีภัยของลัทธิคอมมิวนิสต์ กำลังตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร และ ต.ช.ด. ร่วมกันกดดันและปราบปราม พวก ผ.ก.ค. อย่างหนัก บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก กำนันเคยถูก ผ.ก.ค.ดักซุ่มยิ่งหลายครั้ง แต่ก็รอดชีวิตมาได้ เพราะบารมีของหลวงปู่สุขคุ้มครอง กำนันบุญเสริมเป็นลูกศิษย์ และเป็นกรรมการวัดโพธิ์ทรายทอง อุปถัมภ์วัดมาโดยตลอด เพราะบ้านตั้งอยู่ตรงข้ามวัดในปี พ.ศ.๒๕๓๖ นางสมบูรณ์ จรเอ้กา อดีตนายกเทศมนตรีตำบลละหานทราย พร้อมด้วยบุตรสาว นางจิณณทัต แสงงามและหลานสาวอายุ ๖ – ๗ ขวบ เดินทางโดยรถยนต์ปิคอัพ ไปอำเภอแก่งคอยจังหวัดสระบุรี เพื่อรับหลานชาย ออกเดินทางเวลา

๑๔.๐๐ น. ในวันเดินทาง นางจิณณทัต แสงงาม มีลางสังหรณ์ไม่ดีว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่าง แต่ก็จะทำใจระลึกถึงหลวงปู่สุขให้ช่วยคุ้มครอง คุณแม่ได้ห้อยหลวงปู่สุข รูปหล่อลอยองค์ ส่วนตัวนางจิณณทัต ห้อยเหรียญหลวงปู่สุข เมื่อเดินทางถึงอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา รถติดไฟแดงทำให้รถปิคอัพเบรคจอด นางจิณณทัต และบุตรสาวนั่งกระบะหลังศีรษะได้กระแทกกระจก ทำให้มองไปข้างหน้าเห็น รูปปู่สุขติกอยู่ที่รถ ก็อธิษฐานให้เดินทางครั้งนี้ปลอดภัย หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ขอให้ให้เหตุหนักเป็นเบา

และเมื่อรถเคลื่อนผ่าน ไฟแดงไปถึงหน้า.โรงพยาบาลปากช่องนานา เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น กล่าวคือ รถยนต์คันหน้าชะลอความเร็วและจอดเพื่อเลี้ยวเข้าโรงพยาบาล รถยนตืปิคอัพของนางจิณรทัตก็ต้องจอด แต่รถพ่วง ๑๘ ซึ่งวิ่งตามมากลับไม่ชะลอความเร็ว แต่พุ่งตรงเข้าหารถของของนางจิณณทัต ในขณะนั้นนางจิณณทัตและบุตรสาว ที่นั่งข้างหลังตกใจ และกำสร้อยเหรียญหลวงปู่สุขแน่นพร้อมร้องไห้ “หลวงปู่ช่วยด้วย “

ได้ยินเสียงโครมนางจิณณทัต และบุตรสาวกระเด็นออกจากรถยนต์ไปตกกลางถนน รถบรรทุกพ่วง ๑๘ หักพวงมาลัยพุ่งลงข้างทาง ชนต้นไม้ พลิกคว่ำเสียหาย รถยนต์ปิคอัพของนางจิณรทัต ถูกแรงชนอัดกับรถคันข้างหน้าเสียหายยับเยิน ประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ได้มาเข้าช่วยแจ้งตำรวจให้มาช่วยงัดรถ

เพื่อช่วยคุณแม่ นางสมบูรณ์ จรเอ้กา และคนขับรถออกจากตัวรถ แต่เป็นที่น่าแปลก เมื่องัดรถจนสามารถเอาคนทั้งสองออกมาได้ ปรากฏว่าบุคคลทั้งสองไม่เป็นอะไรเลย นางจิณณทัตและบุตรสาวก็ไม่เป็นอะไรเลย มีแต่อาการตกใจกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจได้นำตัวคนขับรถบรรทุกพ่วง ๑๘ ล้อ ไปดำเนินคดี คนขับรถบรรทุกยังไม่สร่างจากยาบ้าได้ทราบจากตำรวจเล่าให้ฟังว่า คนขับรถ บรรทุกพูดว่า “ ไม่รู้ว่าใครมาจับมือหักพวงมาลัยให้เลี้ยวรถลงข้างทาง “ การดำเนินคดีและบริษัทประกันภัยก็ช่วยเหลือเป็นอย่างดี

จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ ครอบครัวจรเอ้กา ต่างศรัทธาและยึดมั่นใน หลวงปู่สุข ธมมโชโต ยิ่งขึ้นอย่างไม่รู้เลือน ด้วยบารมีของหลวงปู่สุข จึงทำให้รอดชีวิตมาอย่างปาฏิหาริย์

ขอบพระคุณท่านเจ้าของเรื่องและภาพ
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: