3692. บารมีหลวงพ่อลาวัดแก่งคอย (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

บารมีหลวงพ่อลาวัดแก่งคอย (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

การแหกคุกว่ายากแต่การหนีให้พ้นมือกฎหมายที่ตามล่านั้นยากกว่า แม้จะสามารถสูดกลิ่นแห่งอิสรภาพได้อย่างเต็มที่แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนปืนจะต้องพกติดตัวตลอดเวลา

ไพฑูรย์เล่าว่ามีปืน 2 กระบอก กระบอกหนึ่งแนบไว้ที่เอวด้านหน้าซ้ายสำหรับใช้มือขวาชักออกมาใช้งานภาษานักเลงปืนเค้าเรียกว่าพกแบบฝักกระบี่กระบี่จะต้องอยู่ด้านซ้ายเพื่อสะดวกกับการชักออกจากฝักมาใช้งาน เป็นปืนลูกโม่ของโคลท์ ขนาด .38 ที่เรียกว่ารุ่น เอ็มพี (ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่ามิทารี โปลิศ) แปลเป็นไทยว่าสารวัตรทหาร ปืนออโตเมติกมีแต่ขนาด 9 มมใหญ่ที่สุด 11 มม.พึ่งมีตอนปลายสงครามโลกนี่เอง

ด้านหลังไพฑูรย์พกปืนออโตเมติกขนาด 9 มม.ไว้ที่เอวด้านหลังทางด้านขวาเวลาใช้ก้มตัวไปข้างหน้าปืนจะลอยใช้มือขวากระชากออกไปใช้งานปืนออโต.มีการห้ามไก 2 ระบบคือเชฟที่ติดมากับปืนขึ้นลูกเลื่อนแล้วนกง้างขึ้นเต็มกำลังเรียกว่า’’ฟูลค็อก’’ แล้วผลักเชฟขึ้นด้านบนมันจะทำหน้าที่ล็อคไกปืนเหนี่ยวอย่างไรนกก็ไม่สับลงมา เอามือง้างนกก็ติดต้องผลักเชฟลงด้านล่างระบบลั่นไกจึงจะทำงานเป็นปกติ

อีกแบบหนึ่งคือการลดนกลงมาไว้เพียงครึ่งเดียวเรียกว่า’’ฮาล์ฟ ค็อก’’ไม่ต้องดันเชฟขึ้นด้านบนระบบลั่นไกก็จะไม่ทำงานทั้งระบบ เวลาใช้ให้ง้างนกกลับด้านหลังจะให้ให้เต็มที่เป็นฟูลค็อกแล้วลั่นไกตูม

เวลานอนก็นอนไม่เต็มอิ่มอะไรแกรกอะไรกรากก็ลุกขึ้นเตรียมพร้อมรับมือเหมือนวัวสันหลังหวะที่ระแวงว่าอีกาจะบินมาเจาะแผลที่นับว่าอันตรายที่สุดคือรางวัลค่าหัว 20000 บาทไม่ว่าจับเป็นหรือตายทำให้หวาดระแวงเพิ่มมากขึ้นเพราะแม้แต่เพื่อนที่ดีก็กลับกลายเป็นศัตรูได้เพราะเงินค่าหัวของไพฑูรย์เป็นต้นเหตุ

เงินจำนวน 20000 บาท เมื่อก่อนสงครามโลกนั้นใครมีถือว่าเป็นเศรษฐีย่อมๆกันเลยทีเดียว เงิน 1 บาทตอนนั้นหากใช้แบบที่คนจีนเรียกว่า’’เขียม’’แปลเป็นไทยว่าประหยัดละก็กินไปได้ถึง 2-3 วัน เพราะเงินแพงในประเทศไทยก่อนพุทธศักราช 2484 ถึง 85 เศรษฐกิจดีมากอาหารการกินสมบูรณ์ข้าวไม่ยากหมากไม่แพง

แต่พอญี่ปุ่นขึ้นเท่านั้นแหละทหารญี่ปุ่นมาแย่งข้าวปลาอาหารคนไทยกินม้าเข้ามาแย่งหญ้าม้าไทยกินข้าวปลาอาหารเริ่มขาดแคลนญี่ปุ่นพิมพ์ธนบัตรใช้เองแบบไม่มีกำหนดเงินบาทเริ่มตกต่ำแต่กระนั้นก็ยังดีกว่าเงินหยวนกระดาษของนายพลเจียงไคเช็คในเมืองจีนที่ตอนนั้นทำสงครามกับญี่ปุ่นกับพรรคคอมมิวนิสต์ของเหมา เจ๋อตง

นอกจากจะผลาญเงินในการซื้ออาวุธแล้วภรรยา พ่อตา แม่ยาย วงศาคณาญาติช่วยกันคอรัปชั่นค่าเงินหยวนตกต่ำจะซื้อหมูแค่กิโลกรัมเดียวใช้เงินหยวนกระดาษเป็นฟ่อน

เดินไปตลาดทำเงินหยวนตกไม่มีใครอยากเก็บในที่สุดก็ตกต่ำจนเหลือแค่เศษกระดาษทางธนาคารจีนต้องประกาศให้นำธนบัตรเงินด่วนที่ทำด้วยกระดาษมาแลกเป็นเงินหยวนทองคำให้เวลา 7 วัน ปรากฏว่าอาม่า อากง อาเตี่ย อาอี๋ อาตี๋หอบเงิน มาเข้าคิวในตอนแรก แต่ต่อมาก็มีการแก่งแย่งกันคิวเลยล่ม

บันทึกเกี่ยวกับเงินหยวนตอนนั้นเขาว่ามีคนแก่เป็นลมบ้างหัวใจวายไปบ้างถูกเหยียบตายบ้าง เป็นหมื่นที่แลกกับเขาไม่ทันกลับถึงบ้านทำใจไม่ได้ผูกคอตายกระโดดน้ำตายอีกเป็นจำนวนมากเพราะเงินหยวนกระดาษถูกยกเลิกกลายเป็นแค่เศษกระดาษ

ที่ว่าเงินบาทดีว่าเพราะว่าญี่ปุ่นมันค้ำค่าเงินเรียกว่าธนาคารทุกแห่งสามารถแลกเปลี่ยนเงินได้เงินใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายแต่มันมีค่าน้อยลงอาหารการกินก็แพงหูฉี่ตลาดมืดผุดเป็นดอกเห็ดเพราะโก่งราคาแพงกว่าตลาดทั่วไปถึง 3 เท่าตัวส่วนหนึ่งมาจากการปล้นจากการโจรกรรมมาจากคลังของญี่ปุ่นซึ่งเสี่ยงชีวิตเป็นอย่างยิ่ง

ตาดอนที่เคยไปเอาปืนผีสิงมาขายให้ไพฑูรย์ก็ไม่รอดวันดีคืนดีก็มีคนพบศพของแกห่อด้วยฟากที่ทำด้วยไม้ไผ่แบบญี่ปุ่นมาทิ้งไว้ข้างถนนเนื้อตัวมีร่องรอยการถูกทรมานถูกตื้บอย่างทารุณหนังสือพิมพ์ประโคมข่าวญี่ปุ่นอย่างสาดเสียเทเสีย

แต่แม่ทัพออกมาบอกว่าเกิดจากคนไทยหักหลังกันเองหาใช่ฝีมือญี่ปุ่นไม่ แค่เอาฟากไม้ไผ่แบบญี่ปุ่นมาห่อศพอำพรางคดี

แต่ที่จริงใครก็รู้ว่าญี่ปุ่นเป็นคนลงมือเองเพราะตาดอนแกเป็นคนร่วมปล้นร่วมวางแผนแกเป็นเสรีไทยปลอมที่ใช้ชื่อเสรีไทยหากินเท่านั้น

ที่ไพฑูรย์ลอยนวลอยู่ได้ก็เพราะสงครามมาติดประเทศไทยการคมนาคมไม่สะดวกข้อมูลข่าวสารกว่าจะส่งถึงกันได้ก็ลำบากหมายจับ รูปถ่ายโจร ประกาศจับกว่าจะส่งไปถึงสถานีตำรวจภูธร อำเภอเมือง กว่าจะกระจายไปถึงตำบลเสียเวลาเป็นเดือนๆ ทำให้โจรผู้ร้ายสามารถหลบหนีได้สบาย

จะไม่สบายก็ของผู้ที่มีค่าหัวสูงแบบไพฑูรย์เท่านั้นที่มักจะถูกแกะรอยแบบหายใจรดต้นคอทีเดียว

พุแค จังหวัดสระบุรี ในปีพุทธศักราช 2484 ต้นปีความจริงถ้านับกันแบบสากลที่ตอนหลังเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง จอมพลป. พิบูลสงครามได้ประกาศให้เปลี่ยนปีใหม่ให้เป็นสากลนิยมให้เป็นวันที่ 1 มกราคมตามอารยะประเทศทั่วโลกเพราะก่อนหน้านั้นประเทศไทยเปลี่ยนศักราชใหม่ในวันที่ 15 เมษายนของทุกปีอันเป็นฤกษ์ที่พระอาทิตย์ทอแสงสว่างเหนือราศีเมษดังนั้นแม้จะถึงวันที่ 1 มกราคมก็ไม่ถือว่าเป็นปีใหม่ การนับเดือนนับปีก็คือเริ่มจากวันที่ 15 เมษายนพ.ศ. 2483 ไปเปลี่ยนเอา 15 เมษายน 2484 ไพฑูรย์บอกว่าที่ต้องเล่าไว้ก็เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้เอาไว้

ไพฑูรย์ในคราบของตำรวจสันติบาลนอกเครื่องแบบไปซุ่มอยู่ที่พุแคเป็นตำบลเล็กๆไกลปืนเที่ยงตำรวจไม่ต้องพูดถึงนานๆจะมีสายตรวจมาตรวจสักที ทุกครั้งมาถึงก็ไม่ตรวจอะไร นั้งดวดเหล้ากับกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านแล้วก็กลับ

มีฆ่ากันตายกว่าจะพิสูจน์เหม็นกันไปทั่วศพอืดอย่างเร็ว 3 วัน อย่างช้า 5วัน ศพจะเคลื่อนย้ายไม่ได้ สงครามทำให้น้ำมันขาดแคลนรถเลยไม่ค่อยได้วิ่งอะไรมันก็ห่วยไปหมดนี่แหละที่ไพฑูรย์ชอบนัก

หมายจับประกาศจับมีอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสระบุรีแล้วก็แค่นั้นไม่มีใครใส่ใจเพราะคิดว่าเสือไพฑูรย์เตลิดขึ้นเหนือไปแล้วเคยนั่งกินเหล้ากับสายตรวจมาแล้วเป็นปกติ ไม่มีใครสังเกตุหรือจดจำได้ก็รูปในประกาศจับเป็นรูปที่ถ่ายสมัยพระเจ้าเหา ตอนนี้เวลาเปลี่ยนไปไพฑูรย์ก็พรางใบหน้าทรงผมก็เลยรอดมาได้

‘’ด้วยการที่ต้องพรางตัวเป็นสันติบาลนอกเครื่องแบบนี่เองที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นกำนันเชินมาหาที่บ้านพักด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนไพฑูรย์จึงถามว่ามีอะไรหรือกำนันมีอะไรจะให้ช่วย’’

‘’หมวดครับคือว่าอ้ายผ่อนมันมาแจ้งกับผมว่ามันไปหาของป่าไปพบชายฉกรรจ์ 5 คนนั่งวางแผนจะเข้าปล้นบ้านพุแค ตัวหัวหน้าโจรมันเรียกกันว่าเสือปุ่น พวกมันมีทั้งปืนกลและระเบิดมือครบหมด หากเป็นตามที่อ้ายผ่อนมันพูดจะไปขอกำลังจากสภอ.เมืองคงไม่ทัน หมวดมีทางอื่นไหมครับ’’

เสือปุ่นไพฑูรย์พึมพำกับตัวเองแล้วก็นึกขึ้นได้เสือปุ่นหรือน.ช.ปุ่นเมื่ออยู่บางขวางเป็นขาใหญ่ภาคกลาง เสือปุ่นคนนี้แหละที่มีเรื่องกับไพฑูรย์เพราะไพฑูรย์ไปช่วยนักโทษชายอุ่มจากน้ำมือของเสือปุ่น เกิดการต่อสู้กันจนเสือปุ่นถูกไพฑูรย์แทงจนต้องนอนโรงพยาบาลและอาฆาตไว้ว่าหากพบกันนอกคุกเมื่อใดก็จะต้องตายกันไปข้างหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรเป็นคนกำหนดเป็นแน่ให้สองเสือต้องมาพบกันที่พุแค

ไพฑูรย์วางแผนง่ายๆให้ชาวบ้านท่าทางเซ่อๆซ่าๆเอาวัวไปเลี้ยงตามช่องทางที่จะเข้าหมู่บ้านตอนกลางวันส่วนตรงกลางคืนให้ชาวบ้านที่เป็นพรานขึ้นห้างเล็กบนต้นไม้คอยดูความเคลื่อนไหวส่วนชาวบ้านให้เตรียมปืนเท่าที่มีนอกจากนั้นให้เตรียมอาวุธที่จะหาได้ให้พร้อมหากเกิดปะทะให้พร้อมเพียงกันเข้าต่อสู้

กำนันเชินได้ไปนิมนต์พระมารูปหนึ่งท่าทางน่านับถือและชาวบ้านเรียกท่านว่า’’หลวงพ่อลาวัดแก่งคอย’’ มาฉันเพลแล้วแจกของดีให้เช่าบ้านเป็นตะกรุดดอกเล็กๆยาวประมาณ 3 นิ้วเห็นจะได้ท่านบอกว่าคาดเอวก็ได้อมใส่ปากก็ได้ป้องกันอาวุธดีนัก ก่อนกลับท่านได้พรมน้ำมนต์ให้ด้วย ไพฑูรย์ไปกราบหลวงพ่อท่านบอกว่า

‘’โยมเป็นศิษย์มีอาจารย์ดีอยู่แล้วหลวงพ่อไม่ให้อะไรโยมแม้แต่อย่างเดียวให้ไปก็สู้อาจารย์ของโยมไม่ได้หรอก’’

‘’ไม่จริงหรอกกระมังครับหลวงพ่อของดีนั้นเสนอกันนะครับ ไม่มีใครเก่งกว่ากันหรอกครับ’’

โยมเข้าใจคำว่า ภันเต กับ อาวุโส ไหมล่ะเป็นการแสดงความเคารพกันว่าพระรูปใดพรรษาน้อยกว่าจะต้องกล่าวกับพระที่พรรษามากกว่าว่าอาวุโสและพระที่พรรษามากกว่าจะพูดกับพระที่พรรษาน้อยกว่า ภันเต หลวงพ่อเดิมอาจารย์ของโยมอาวุโสกว่าจะมาให้อาตมาทำตัวเทียบเท่าหรือไม่เหมาะหรอก(เมื่อมีโอกาสนมัสการหลวงพ่อเดิม ได้ถามถึงเรื่องหลวงพ่อลาวัดแก่งคอยหลวงพ่อเดิมบอกว่าเป็นสหธรรมิกสหายทางธรรมเคยรู้จักกันท่านเก่งกว่าฉันเสียอีก)

เสือปุ่นกับสมุนมาแอบซุ่มอยู่ในบ้านของชู โดยลอบเข้าไปจี้จับตัวนายชูกับลูกเมียมัดไว้ในยุ้งข้าวนายชูหลุดจากพันธนาการมาแต่กลางดึกรีบเข้ามาแจ้งข่าว

กำนันเที่ยวเดินเข้าเคาะประตูบ้านลูกบ้านทุกหลังเรียกเจ้าบ้านมาประชุมไม่กล้าตีเกราะกลัวว่าเสือปุ่นจะสังเกตเห็น มีมติว่าจะเคลื่อนกำลังออกไปล้อมเสือปุ่นกับสมุนแต่ค่อนรุ่ง

บ้านของนายชูขุดเป็นบ่อปลาเอาไว้โดยมีบ้านปลูกอยู่ด้านในสุดของบ่อ ยุ้งข้าวอยู่ด้านหลังการเข้าไปช่วยตัวประกันจะต้องอ้อมทุ่งเข้าด้านหลังด้านหน้าเป็นที่โล่งการบุกเข้าไปเสี่ยงกับการถูกยิงสวนชาวบ้านที่จะบุกเข้าตีทุกคนมีตะกรุดหลวงพ่อลาวัดแก่งคอยอมอยู่ในปากทุกคน พอรุ่งอรุณเห็นกันได้ถนัด

กำนันเชินวิ่งนำหน้าควงปืนในมือหยอยๆปากร้องตะโกนว่า

‘’บุกโว้ย บุกโว้ย บุกเข้าไปลากคอมันมาเข้าตาราง เฮ้ยกูกำนันเชินโว้ย อ้ายปุ่น อย่าหดหัวอยู่มายิงกันให้มันรู้ดีรู้ชั่ว’’

ได้ผลเสียงปืนนัดแรกดังมาจากบ้านพักท้ายบ่อปลาของนายชู ถูกยอดอกกำนันเชินเต็มรักล้มลงดิ้นต่อหน้า ไพฑูรย์บอกว่าได้เข้าไปดูเป็นรอยเขียวเป็นจ้ำๆ แต่ไม่เข้านอนจุกอึแตก จึงให้ชาวบ้านหามออกไป

ไพฑูรย์บอกว่าให้หมอบคลานเข้าไปยิงสะกดอย่าให้พวกมันโงหัว จึงคลานเข้าไปอย่าให้เสียเปรียบก่อนบุกประชิดให้ฟังสัญญาณเสียงปืนจากด้านหลังบ้านที่ไพฑูรย์จะอ้อมเข้าไปที่ด้านหลังพอได้ยินเสียงปืนนัดแรกดังด้านหลังบ้านให้บุกเข้าไปพร้อมกัน

ไพฑูรย์คลานอ้อมไปด้านหลัง และค่อยๆ คืบคลานเข้าไปสลับกับการวิ่งเป็นช่วงๆ จนเข้าประชิดด้านหลังบ้านใกล้กับยุ้งข้าวลูกน้องเสือปุ่นเฝ้าตัวประกันไว้ เพราะเสือปุ่นสั่งว่าถ้าเหลือบ่ากว่าแรงให้เอาลูกเมียนายชูเป็นตัวประกันเพื่อแหกวงล้อมออกไปไพฑูรย์ยืดตัวขึ้นปืนที่เอวด้านหน้าถูกดึงออกมากระชับมือพอลูกน้องเสือปูนหันมาเห็นเข้าไพฑูรย์ยิงเข้าที่กระเดือกเพื่อมิให้แหกปากร้อง

ไพฑูรย์เปิดประตูยุ้งข้าวแก้มัดให้เมียและลูกของนายชู ให้วิ่งออกไปด้านหลังให้เร็วที่สุดเสียงปืนดังใกล้เข้ามา ชาวบ้านได้ยินเสียงปืนเป็นสัญญาณให้บุกเข้ามาจบชีวิตของเสือปุ่นกับสมุนไพฑูรย์ซุ่มเงียบอยู่ที่ยุ้งข้าวด้านหลังเสียงชาวบ้านบุกขึ้นถึงตัวบ้าน

ไพฑูรย์กระชับปืนลูกโม่ที่เหลือลูกปืนอีก 5 นัด ร่างของสมุนเสือปุ่นกระโดดลงมาจากหลังบ้านสองคน ไพฑูรย์ร้องตวาดเสียงดัง

สนั่น ‘’นี่ตำรวจ มอบตัว อย่าต่อสู้’’

เสียงปืนดังระงมไพฑูรย์ถูกเข้าสองนัดแต่ไม่เข้าลูกน้องเสือปุ่นตายคาที่ 1 คนอีกคนจุกเพราะยิงไม่เข้า ไพฑูรย์ลั่นกระสุนนัดสุดท้ายเข้าที่ปาก ฟันหน้าแหลกกระจุย กระสุนทะลวงผ่านปากเข้าไปในคอหอยทะลวงเข้าไปฝังในตายคาที่

เสือปุ่นกระโดดลงมาเพียงลำพังลูกน้องคนสุดท้ายถูกชาวบ้านรุมฆ่าตายอยู่บนบ้าน

สิงโตหินกับอดีตขาใหญ่เผชิญหน้ากันไพฑูรย์โยนปืนลูกโม่ที่หมดกระสุนลงกับพื้นเสือปุ่นหัวเราะหน้าหงายสำรากด้วยความสะใจ

‘’อ้าย เอี้ย สิงโตหินหรือนี่หมดท่าแล้วถึงกับโยนปืนทิ้งอย่าหวังว่ากูจะไว้ชีวิตมึง กูเคยสาบานไว้แล้วว่ากูจะต้องฆ่ามึงด้วยมือของกูเองซักวันวันนั้นมาถึงในวันนี้เอง’’

ไพฑูรย์บอกว่าหากเสือปุ่นยิงเขาทันทีเขาก็คงเสียเปรียบ แต่นี่เสือปุ่นประมาทคิดว่าไพฑูรย์มีปืนกระบอกเดียวจึงมัวแต่พล่ามไพฑูรย์ก้มตัวลงเพื่อให้ด้ามปืนออโตเมติกด้านหลังโผล่ออกมาใช้มือขวากระชากปืนออกมาเปิดเซฟแล้วเบนปากกระบอกปืนใส่เสือปุ่นเสียงปืนดังขึ้นไล่เลี่ยกันไพฑูรย์แคล้วคลาดเสือปุ่นเจอเข้าไป 4 นัด ร้องไม่ออก นัดที่ 4 เหมือนผีจับยัดเข้านัยน์ตาขวาพอดีล้มลงชักพราดๆ ก่อนสงบ

ไพฑูรย์ล่ำลาชาวบ้านเพราะรู้ดีว่าเหตุการณ์ใหญ่แบบนี้ตำรวจแห่กันมาเป็นโขยง นั่นหมายถึงฐานะจะถูกเปิดเผย กว่าตำรวจจะรู้ว่าสันติบาลที่ว่าเป็นเสือไพฑูรย์ก็สายไปแล้ว..จบตอนจ้า

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: