3691. ปาฏิหาริย์พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ปาฏิหาริย์พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ในเรือนจำมหันตโทษที่เรียกกันว่า”บางขวาง”ในสมัยนั้นกล่าวได้ว่าเป็นที่ตั้งของนรกบนแผ่นดินโดยแท้หน้าร้อนเหมือนถูกไฟนรกผลาญ หน้าฝนก็อับชื้นจนเกิดโรคร้ายโดยเฉพาะวัณโรคและโรคหลอดลมเรื้อรัง หน้าหนาวก็หนาวสุดแสน ผ้าห่มไม่เพียงพอ ยิ่งในตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยแล้วแม้แต่เสื้อผ้าที่ใส่ก็ขาดวิ่นปุปะ อาศัยเพียงเพื่อปิดขอสงวนเท่านั้น

ทุกคนอยู่ด้วยกันด้วยความอดทนเพราะไม่รู้ว่าจะไปเรียกร้องกับใครในเมื่อเป็นนักโทษคดีอาญาที่ศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกตั้งแต่ 20 ปีบางคนก็ตลอดชีวิต บางรายก็ต้องโทษถึงประหารหลายคนทูลเกล้าถวายฎีกาเพื่อให้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสัตว์ผู้ยาก ลดโทษจากประหารมาเหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิตทุกคนที่ทูลเกล้าฯถวายฎีกาต่างนั่งรอความหวัง

สิ่งที่มนุษย์รักมากที่สุดในชีวิตคือชีวิตของตัวเองการได้มีลมหายใจต่อไป แม้จะเป็นจำคุกตลอดชีวิตก็ยังมีความหวังว่าหากทำดีไปเรื่อยๆ อาจได้รับพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นให้ลดโทษเหลือ 20 ปีหรือลดโทษตามขั้นตอนและอาจพ้นโทษเร็วขึ้น

ไพฑูรย์บอกว่าปืนกลแบลคมันน์ไม่เคยว่างเว้นจากการประหารยิ่งตอนที่การเมืองยุ่งวุ่นวายมีการก่อรัฐประหารเหมือนกับที่ลิเกคณะหอมหวนเล่นโดยตัวโกงที่ถูกฝ่ายพระเอกคุมตัวไว้ได้ก็จะชี้หน้าพระเอกแล้วบอกว่า

”ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร”

ขบถ ณ เณร เป็นขบถที่มีผู้ต้องหาถูกพิพากษาประหารชีวิตมากที่สุดฎีกาที่ทูลเกล้าขึ้นไปตกหมดเป็นการกวาดล้างศัตรูทางการเมืองของคุณหลวง ป.พิบูลสงครามนายกรัฐมนตรีที่ครองอำนาจนานที่สุดมีคนรักและเกลียดปานกัน

ห้วงเวลานั้นหลักประหารมีผู้มาสังเวยชีวิตถี่ที่สุดผู้ที่รอประหารไม่มีวันได้รู้เลยว่าชีวิตจะสิ้นเมื่อใดจะรู้ก็ต่อเมื่อมีผู้คุมแดนมาเบิกตัวพาไปยังตึกบัญชาการโดยหลอกว่าให้ไปฟังฎีกา

พอไปถึงผู้บัญชาการเรือนจำก็จะอ่านคำพิพากษาประหารชีวิตให้ฟังเมื่ออ่านจบแล้วก็ให้นักโทษประหารลงนามรับทราบ

จากนั้นให้คุมตัวไปยังห้องพิเศษที่นั่นจะมีสำหรับอาหารคาวหวานที่เป็นเมนูพิเศษต่างจากข้าวแดงแกงฟักให้นักโทษกินเป็นมื้อสุดท้ายแต่ร้อยละ 90 จะกินไม่ลงหรือกินได้ไม่กี่คำเท่านั้นเมื่อเสร็จจากการกินอาหารแล้วจะเปิดโอกาสให้นักโทษประหารเขียนจดหมายสั่งเสียฉบับสุดท้ายรวมทั้งการมอบทรัพย์สินให้กับญาติ

เมื่อเสร็จขั้นตอนแล้วจะนิมนต์พระมาเทศนาโปรดเป็นครั้งสุดท้ายเนื้อความในเทศนาเป็นการให้กำลังใจแก่นักโทษประหารให้ทำจิตให้เบิกบานสงบเพราะการเกิดแก่เจ็บตายเป็นกฎธรรมดาของโลกเกิดมาแล้วไม่มีใครไม่ตายแม้แต่สมเด็จพระบรมศาสดาก็ทรงเสด็จดับขันปรินิพพานขอให้นักโทษนึกถึงความดีที่ได้เคยทำไว้ให้แน่วแน่ติดอยู่กับกรรมดีจนวาระสุดท้ายก็จะมีสุคติภพเป็นที่ตั้ง

ฟังเทศนาจบแล้วก็ถวายดอกไม้ธูปเทียนให้กับพระผู้แสดงธรรมจากนั้นก็ถูกควบคุมตัวจากตึกบัญชาการไปยังแดนประหาร
ไพฑูรย์ในฐานะพี่เลี้ยงและช่วยราชการในเรือนจำเล่าว่าน้อยคนนักที่จะเดินไปสู่หลักประหารด้วยตัวเอง

เสือร้ายปล้นฆ่าข่มขืนใจทมิฬหินชาติเดินไม่เป็นทุกรายเจ้าหน้าที่ต้องพยุงให้นั่งบนรถเข็นเข้าไปยังแดนประหารหลายคนฉี่ราดด้วยความกลัวตายแต่ไม่นึกถึงเวลาที่ตัวเองปล้นฆ่าข่มขืนผู้อื่นว่าเป็นกรรมหนักพวกที่ตัวเองฆ่าล้วนรักชีวิตของตนหลายคนยกมือไหว้ขอชีวิตแต่ไม่ได้รับความเมตตา

นักโทษรายหนึ่งถึงกับเป็นลมหมดสติต้องเข้ามาช่วยกันแก้ไขต้องยืดเวลาประหารออกไปจนรู้สึกตัวดีแล้วจึงนำเข้าหลักประหารเพราะตามกฎการประหารนักโทษประหารจะต้องมีสติครบถ้วน
ในขณะประหารร่างกายของนักโทษประหารจะถูกปิดตาด้วยผ้า โดยมีสำลีเป็นก้อนๆยัดเข้าไว้ที่กระบอกตาก่อนเอาผ้ามาพันทับมัดด้านหลังจนแน่น

ร่างของนักโทษจะถูกอุ้มให้หันหน้าเข้าหลักประหารด้านหลังหันให้กับปากกระบอกปืนแบล็กมันน์ ด้านล่างที่ก้นจะเป็นแป้นไม้ปรับระดับสูงต่ำได้เพื่อให้พอเหมาะกับขานักโทษประหารที่นั่งแล้วขาจะเหยียบพื้นได้ถนัดมือสองข้างยื่นไปข้างหน้ามีที่รองข้อศอกเพื่อให้มือที่ถูกมัด พนมมือได้ชูขึ้นในลักษณะชูดอกไม้กำขึ้นบูชาพระธาตุจุฬามณีเหมือนกับการมัดตราสังศพ

แพทย์จะเข้ามาตรวจร่างกายนักโทษประหารอีกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจดูความเรียบร้อยของหลักประหารแล้วจึงเดินกลับออกมา ม่านจะถูกปิด เจ้าพนักงานจัดเป้าจะเข้าทำหน้าที่ในการเปิดม่านเข้าไปดูความสูงของแผ่นหลังนักโทษประหารกับเป้าตาวัวที่ติดไว้บนม่านด้านนอก ปรับให้ตรงกันโดยเลื่อนเป้าขึ้นลงจากนั้นก็เดินออกมา

เพชฌฆาตจะเดินออกมาประจำปืนเจ้าพนักงานตรวจสอบแหนบใส่กระสุนว่าเป็นกระสุนจริงจำนวนนัดตรงกับที่ใช้ในการยิง เพรชฆาตจะปรับศูนย์ปืนให้ตรงกับเป้าตาวัวเมื่อเรียบร้อยแล้วจะขึ้นลำให้กระสุนนัดแรกเข้าไปอยู่ในรังเพลิง จากนั้นก็ส่งสัญญาณไปยังพนักงานให้สัญญาณธง

ก่อนการยิงนัดแรกพนักงานจะถือธงแดงไว้เพื่อแสดงว่ายังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ เพรชฆาตส่งสัญญาณพร้อมพนักงานจะเปลี่ยนมาถือธงสีเขียวให้เห็นเมื่อทุกอย่างพร้อมธงสีเขียวจะโบกสะบัดจากบนลงล่างเพชฌฆาตจะเข้าประจำที่ก้มลงมองศูนย์แล้วเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนชุดแรกออกไปจนหมดแหนบกระสุน

สิ้นเสียงปืนพนักงานจะเปิดม่าน แพทย์จะเข้าไปตรวจชีพจรนักโทษประหารว่าสิ้นใจหรือยังถ้ายังไม่สิ้นใจจะกลับเข้ามาส่งสัญญาณให้ยิงซ้ำแหนบกระสุนจะถูกใส่เข้าไปใหม่เพื่อยิงซ้ำทำการยิงแบบเซมิออโตคือยิงทีละนัด

เมื่อหมดกระสุนพนักงานเปิดม่านแพทย์เข้าไปตรวจอีกครั้งคราวนี้ไม่รอดศพจะถูกแก้มัดเอาไปใส่ในโลงที่เตรียมไว้ นำออกไปเก็บไว้ที่วัดบางแพรกใต้ทางประตูเล็กที่เรียกว่า”ประตูผีออก”รอญาติมารับต่อไป

ที่ไพฑูรย์ยกย่องว่าเป็นผู้มีน้ำใจอันกล้าหาญสมกับเป็นนายทหารคือ ร้อยโท ณ เณร ที่ไม่ให้ผูกตา ขออย่าให้เหนี่ยวไกจนกว่าเจ้าตัวจะนับ 1 ถึง 3 ไพฑูรย์บอกว่ารู้สึกขนลุกเพราะเมื่อเป็นพี่เลี้ยงนักโทษประหารนั้นคุ้นเคยกันมากมีอาหารดีๆบุหรี่สูบก็ได้ส่วนแบ่งไม่ถือตัวเป็นกันเองตลอดเวลาร้อยโทนัก ณ เณรนับ 1 2 3 ด้วยเสียงอันดังไม่แหบพร่าหรือประหม่าดุจนายทหารที่นับจำนวนพลทหาร สิ้นเสียงคำว่า 3 ปืนกลก็รัวสนั่น ร้อยโท ณ เณร สิ้นลมในกระสุนชุดแรกนั้นเอง

มีนักโทษประหารอยู่รายหนึ่งถูกยิงชุดแรกแต่กระสุนไม่เข้าทางผู้ดำเนินการประหารจึงบอกให้ไพฑูรย์ไปเจรจาไพฑูรย์พูดกับว่านักโทษคนนั้นว่า

”เราต้องคำพิพากษาให้ประหารชีวิตหมายความว่าดวงชะตาขาดแล้วฝืนไม่ได้ประหารด้วยปืนไม่ตายทางกรมราชทัณฑ์ก็มีวิธีอื่นใช้ประหารแทนอย่างไรก็ต้องตายมีอะไรก็ทิ้งเสียเราหวังดีจึงมาเตือน”

นักโทษคนนั้นพยักหน้าขยับปากไปมาแล้วใช้ลิ้นดุนพระเครื่ององค์จิ๋วน่าจะเป็นพระพิจิตรเม็ดข้าวเม่าออกมาจากปากมองเห็นว่าหล่นลงไปที่พื้น(หลังประหารแล้วเจ้าพนักงานไปหากันจนแทบตาถลนแต่ก็ไม่เจอไม่รู้ว่าหายไปไหน)หลังจากคายพระออกแล้วก็ตายในกระสุนชุดที่ 2 ที่ยิงใส่

พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่าเป็นพระที่พบในกรุพระจังหวัดพิจิตรด้านหน้าเป็นพระพุทธประทับนั่งสมาธิพระเกศยาวคดไปด้านข้างด้านหลังเป็นลายผ้าขนาดเล็กเท่ากับเม็ดข้าวเม่าที่ผ่านการตำแล้วบางมากส่วนมากจะใช้อมในปากเพื่อความคงกระพันชาตรีมีบางคนถึงกับผ่าต้นแขนแล้วฝังพระเข้าไปด้านใน เวลาตายลูกหลานต้องผ่าแขนเอาพระออกมาเพื่อครอบครองต่อไป

ปาฏิหาริย์พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่าไพฑูรย์ได้ยินอาเล่ามากับหูเมื่อแหกคุกออกไปตามที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเสือไพฑูรย์แหกคุกจะไปฆ่าเมีย ฝากบอกตำรวจไม่ต้องตามงานสำเร็จแล้วจะมามอบตัวเอง

ไพฑูรย์หลบไปยังพิจิตรที่นั่นมีญาติข้างบิดาไปทำไร่อยู่ที่สามง่ามจึงลงไปซ่อนตัวกับอาโดยจัดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างตนเองเสียใหม่ป้องกันคนจำได้

ที่สามง่ามมีมือปราบลูกทุ่งเจ้าพ่อชื่อ กำนันคง แกไม่เบียดเบียนใครแต่หากใครมาลบหลู่ศักดิ์ศรีของเป็นต้องเจอกันเคยล้มเสือดัดเสือร้ายแห่งสากเหล็กที่ส่งจดหมายท้าให้ไปจับ หลักจากมาอาละวาดปล้นควายจากสามง่ามไปขายจนลูกบ้านของกำนันคงเดือดร้อน

กำนันคงมีของดีจากสางพ่อคือพระพิจิตรเม็ดข้าวเม่าที่ผ่าออกมาจากต้นแขน สางพ่อทำความสะอาดแล้วก็เอามาฝังที่ต้นแขนตัวเองปราบโจรผู้ร้ายมามากจนเป็นที่ย่นระย่อของเสือร้ายทั่วไป

กำนันคงก็ใจถึงสั่งความไปยังเสือดัดให้นัดวันเวลามายิงกันได้เลยเมื่อกำหนดวันแล้วกำนันคงก็เดินทางไปยังจุดนัดพบที่เอวยังมีตะกรุดหลวงพ่อโพ วัดวังหมาเน่า คาดเอวอยู่ดอกหนึ่ง ปืนที่ใช้ได้ไปขอบารมีหลวงพ่อเดิมลงปากกระบอกให้

(มือปราบยุคโน้นนิยมเอาปืนไปให้หลวงพ่อเดิมลงปากกระบอกให้)เชื่อกันว่าจะเปิดเครื่องรางของขลังของฝ่ายโจรได้

อาของไพฑูรย์เล่าว่ากำนันคงกับอานั้นเป็นเพื่อนสนิทกันมากเคยต่อสู้แบบหันหลังชนกันมาแล้ว ได้มาชวนอาไปด้วยกันสองคนส่วนเสือดัดมากับลูกน้องคนสนิทเมื่อเผชิญหน้ากันแล้วก็ไม่มีอะไรมากยืนหันหน้าเข้าหากันแล้วเดินเข้าส่องปืนใส่กันทันทีไม่ต้องมานับให้เสียเวลา เหนี่ยวไกยิงกันเลย

หนังดีทั้งคู่แต่ครั้งนี้เสือดัดล้มลงตายคาที่เพราะความชั่วที่ทำไว้
ทำให้ลูกปืนของกำนันคงแล่นทะลวงเข้าที่ปากเหมือนผีจับยัดทะลวงฟันหน้าหักกระจุยจากนั้นจึงแฉลบทะลวงลงไปในคอคอยเข้าไปฝังในล้มตึงทั้งยืนกำนันคงโดนไปสามนัดแต่ไม่เข้าด้วยอานุภาพของพระพิจิตรเม็ดข้าวเม่าที่ฝังไว้ที่ต้นแขนนั่นเอง

กำนันคงให้ลูกสมุนเสือดัดจัดการศพลูกพี่แล้วเดินทางกลับนี่คือมือปราบเสือร้ายสมัยก่อนที่ปราบกันแบบลูกทุ่งไม่ซุ่มโป่งยิงเหมือนกับมือปราบเดี๋ยวนี้

สำหรับตอนนี้ขอมอบคาถามหาอุดแคล้วคลาด

”พุทโธ”

เดินทางไปไหนมาไหนหรืออยู่ในเคหสถานใดให้ภาวนาไว้ในใจทุกลมหายใจอันตรายจะไม่แผ้วพานภาวนาจนหลับไปอันตรายมีมาจะรู้สึกตัวได้ก่อน

เป็นคาถาของหลวงปู่ภูวัดอินทร์หลวงปู่ภู่ท่านบอกว่า พุทโธหงษ์ทองคู่ตัวหนึ่งคงอยู่ตัวหนึ่งบินไปภาวนามั่นไว้ไม่ตายโหงแล

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : พระล้านนา
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: