3690. จอมอาชญากร อาแซน ลูแปง (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

จอมอาชญากร อาแซน ลูแปง (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

หากถามไพฑูรย์ว่าภูมิใจหรือไม่ที่มีฉายาว่า”จอมอาชญากรหมายเลข 1” คำตอบทุกครั้งไม่มีเปลี่ยนแปลง ”รู้สึกว่าเป็นฉายาที่ทำให้สามารถนำเรื่องราวความจริงที่ผ่านมาในชีวิตมาร้อยเรียงเป็นตัวอักษรทำมาหาเลี้ยงตัวเองยามเมื่อพ้นจากการเป็นนักโทษชายมาเป็นอิสระ

ผู้เขียนเคยถามว่าใครตั้งฉายาให้ไพฑูรย์บอกว่าคุณเคยอ่านเรื่องแปลสมัยก่อนโน้นไหม ผู้เขียนถามว่าเรื่องอะไร

ไพฑูรย์ยิ้มๆเพราะเกรงว่าบอกไปแล้วผู้เขียนจะไม่รู้จักแต่ในที่สุดก็เอ่ยออกมาว่า”อาแซน ลูแปง” จอมอาชญากรผู้แปลงโฉมหน้าจนได้รับฉายาว่าจอมโจรพันหน้าการเข้าโจรกรรมทุกครั้งไม่เคยทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้ตาม

หลายครั้งในงานบอลสวมหน้ากาก อาแซน ลูแปงจะสวมรอยปลดสร้อยเพชรเครื่องประดับในคอของคุณผู้หญิงคุณนายไฮโซแล้วลอยนวลไป พวกภัยสังคมตัวร้ายตายเพราะยาพิษจากน้ำมือของ อาแซน ลูแปงตำรวจประกาศจับ อาแซน ลูแปงด้วยค่าหัวสูงลิ่วแต่ให้ตายเถอะไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของอาแซน ลูแปง

ตำรวจฝรั่งเศสและอังกฤษจึงยกให้เป็นจอมอาชญากร
หลายหนที่ตำรวจอ้างว่าจับอาแซน ลูแปงได้ แต่แล้วก็ต้องหน้าแตกเพราะอาแซน ลูแปงออกอาละวาดและทิ้งนามบัตรไว้ให้ดูตามปกติอีกด้วย

”นี่แหละเป็นแรงบันดาลใจให้ผมตั้งฉายาให้ตัวเองว่าจอมอาชญากรหมายเลข 1 เพราะผมปลอมหน้าได้เข้าออกคุกเป็นแดน และเสี่ยงชีวิตไม่แพ้ อาแซน ลูแปง”

ผู้เขียนเคยไปหาอ่านในหอสมุดแห่งชาติก็พบว่าเป็นไปตามที่ไพฑูรย์กล่าวไว้ทุกประการจึงยอมรับว่าชีวิตของไพฑูรย์กับอาแซน ลูแปงมีส่วนคล้ายกันอยู่หลายอย่าง ผิดกันแต่ว่าอาแซน ลูแปงเป็นอาชญากรสำอางที่ชำนาญด้านการโจรกรรมแต่ไพฑูรย์เป็นอาชญากรที่ชีวิตมีแต่การต่อสู้และการเข่นฆ่าไม่สิ้นสุดมีชีวิตที่ถูกสาป

หลายครั้งที่ไพฑูรย์ต้องเผชิญกับผู้เป็นแม่เป็นพ่อเป็นเมียเป็นลูกของคนที่ไพฑูรย์ฆ่าตายคนเหล่านั้นล้วนมองดูไพฑูรย์ด้วยสายตาอันเต็มไปด้วยความอาฆาตคมพยาบาทแช่งชักหักกระดูกให้ตายโหงตายห่าไปโดยเร็ว

ไพฑูรย์บอกว่ารู้สึกเห็นใจในความรู้สึกของผู้สูญเสียเหล่านั้นได้ดี ทุกครั้งที่ถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีในศาลมักจะต้องถูกญาติของผู้ตายชี้หน้าด่าอย่างสาดเสียเทเสียแต่ไม่เคยมองเห็นความจริงว่าคนที่ถูกไพฑูรย์ฆ่าเป็นคนเลวระยำอย่างไร

เพราะต่อหน้าพวกนี้เป็นมะพลับแต่พอลับหลังกลายเป็นตะโกไม่ว่ากันเพราะคนเรามีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกแต่ถ้าใครมารุกรานถึงกับลงไม้ลงมือมักถูกไพฑูรย์ป้องกันตัวด้วยการถีบทั้งตรวนหรือใช้ไหล่กระแทก

ไพฑูรย์บอกว่าด่าไม่เป็นไรแค่สะเทือนหูแต่ถ้ามาลุกลามร่างกายต้องเจอดี

มีอยู่คดีหนึ่งไพฑูรย์ถูกฟ้องเพิ่มข้อหาโดยการปั้นพยานเอาผิดในการปล้นเพชรที่ร้านเพชรจิ้นหลีที่บ้านหม้อเพราะตำรวจไม่อาจปิดคดีได้ประกอบกับไพฑูรย์เคยนำเพชรที่ปล้นมาจากบรรดาคุณหญิงคุณนายเอาไปขายและพยานที่เห็นเหตุการณ์ให้การรูปร่างลักษณะคนร้ายว่าคล้ายกับไพฑูรย์โรงพักพระราชวังจึงออกหมายจับไพฑูรย์เพิ่มในระหว่างหลบหนี

ไพฑูรย์รู้สึกเคียดแค้นมากจึงเรียกประชุมพรรคพวกที่ซ่องลับ มีเจ้าอำไพ เจ้าประจวบ เจ้าหม่อมหลวงกำมะลอ สี่เกลอหัวแข็งปรึกษากันว่าจะออกล่าคนที่โยนความผิดให้กับไพฑูรย์ให้ได้

เจ้าหม่อมหลวงกำมะลอ อาศัยเส้นสายในกองปราบ สามารถเปิดแฟ้มประวัติอาชญากรพบคนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับไพฑูรย์อยู่เพียงคนเดียวชื่อ สมเดช ฉายา เดช ”ดิลลิงเยอร์” โดยมีปืนพกลำกล้องแฝดขนาดเล็กคาดติดไว้กับท่อนแขนขวา มีกนไกลที่เมื่อขยับแขนปืนดิลลิงเยอร์จะดีดตัวเองลงมาอยู่ในฝ่ามือขวาพร้อมยิงลำกล้องบนเป็นขนาด .38 ลํากล้องล่างเป็นขนาด .22 มีหมายจับคดียิงจ่าเยิ้มนอกเครื่องแบบตายและสิบตำรวจตรีสมัครนอกเครื่องแบบบาดเจ็บสาหัสด้วยปืนดิลลิงเยอร์

จ่าเยิ้มนอกเครื่องแบบตายเพราะเข้าไปจับเสือเดช ยึดปืนพกไว้ได้ โดยมีสิบตำรวจตรีสมัครคอยคุมเชิง ขณะที่จ่าเยิ้ม กำลังใส่กุญแจมือ เสือเดชขยับแขนให้ปืนดิลลิงเยอร์ลงมาที่ฝ่ามือขวา จ่อเข้าที่กกหูกระดิกไกยัด.38เข้าไปในกะโหลกล้มตึง หมุนกลับมายิงสิบตำรวจตรีสมัครด้วย .22 เขาที่กระเดือกแล้วหนีลอยนวลไปได้จนน่าจะมาก่อเหตุปล้นเพชรร้านจิ้นหลีทำให้ไพฑูรย์ถูกออกหมายจับมั่ว

จะไปหาเสือเดชได้อย่างไรไม่ยากเพราะโรงยาฝิ่นในแถบเยาวราชเป็นแหล่งข้อมูลที่ไพฑูรย์คุ้นเคยอยู่แล้วจึงเข้าไปที่โรงยาฝิ่นด้วยตัวเองทางหนึ่งให้สมุนของแม่ดอกเหมยออกหาอีกแรง ในที่สุดก็พบว่าเสือเดชมาที่โรงยาวันเว้นวัน แต่ที่ตรอกสลักหินไปเป็นประจำเพราะมีอีตัวประจำชื่อ นัยนา คอยให้บริการ

วันที่รอคอยก็มาถึง เสือเดชมาสูบฝิ่น ไม่ได้มาคนเดียวแต่มีลูกสมุนมาด้วย 2 คนไพฑูรย์มาคนเดียวจึงได้แต่จดจำหน้าตาที่หากมองผ่านๆ แล้วละก็คล้ายกับเป็นแฝดของไพฑูรย์วันนั้นเสือเดชกลับไปได้แบบสะดวกโยธิน

ไพฑูรย์กลับไปปรึกษากับสามสหายตกลงกันว่าลูกน้อง 2 คนของเสือเดชหม่อมหลวงลออกับเจ้าอำไพจะเป็นคนจัดการ ส่วนเสือเดชเป็นหน้าที่ของไพฑูรย์ เจ้าประจวบจะรอที่รถตรงจุดนัดพบ

สมุนของเสือเดชถูกหม่อมหลวงลออกับเจ้าอำไพจัดการเรียบร้อยสลบเหมือดเอาไปทิ้งไว้ที่สนามหลวง ส่วนเสือเดชไพฑูรย์เข้าไปประชิดตัวขณะกำลังสูบฝิ่น ปืนดิลลิงเยอร์ไม่มีโอกาสสำแดงเดชเพราะเวลาสูบฝิ่นจะต้องใช้สองมือประคองบ้องจึงต้องถอดสลิงและปืนดิลลิงเยอร์แขวนไว้กับเสื้อ

ไพฑูรย์ใช้ปืนออโตเมติกขนาด 9 มม. จี้หัวพวกขี้ยาที่อยู่ห้องเดียวกันกับเสือเดชเผ่นกันแนบกลัวลูกหลง

”ใส่เสื้อแล้วเดินตามกูไปอย่าตุกติก ปืนเล็กดิลลิงเยอร์มึงส่งมาให้กู กูเสือไพฑูรย์ที่มึงทำให้กูต้องถูกออกหมายจับคดีปล้นเพชรร้านจิ้นหลีที่บ้านหม้อ”

ไพฑูรย์ซุกปืนไว้ภายใต้เสื้อสากล ดุนหลังเสือเดชให้เดินลงจากโรงยาฝิ่น เจ้าหม่อมหลวงละออกับเจ้าอำไพเข้ามาประกบคล้ายกับเดินคุยกันไปจนถึงรถที่เจ้าประจวบจอดรออยู่ เอาผ้าดำปิดตาพาไปยังซ่องลับไพฑูรย์เป็นผู้สอบปากคำเสือเดชด้วยตัวเองแต่เสือเดชไม่ยอมปริปากในที่สุดไพฑูรย์จึงบอกกับหม่อมหลวงละออว่าจะใช้ยากล่อมตำหรับอาแซน ลูแปง

ไพฑูรย์บอกว่ายากล่อมตำรับอาแซน ลูแปงประกอบด้วยน้ำยาฝิ่นสกัดน้ำยาโคเคนสกัด ไพฑูรย์บอกว่าโคเคนสมัยก่อนมิใช่ยาเสพติดแต่เป็นยาทำให้กระปรี้กระเปร่ากับสารประกอบอื่นๆเล็กน้อยเอาผสมกับน้ำมะเน็ด ให้เสือเดชกินเข้าไปขณะที่แก้มัดออกมานั่งคุยกันตามปกติ เมื่อยาออกฤทธิ์ เสือเดชจะมีอาการหัวเราะร่วนแบบอารมณ์ดีและคุยเสียงดังไพฑูรย์ชวนคุยเรื่องทั่วไปก่อนแล้ววกเข้ามาหาการปล้นร้านจิ้นหลีเสือเดชพล่ามว่า

”ไอ้เห่ามันเห้ นอกจากจะกดราคาแล้วยังซิกแซกกับกูหลายอย่าง กูสุดจะทนล่าสุดมันเบี้ยวเงินค่าของมันอ้างว่าถูกบุกค้นร้านยึดเพชรรูปพรรณไปเป็นของกลาง กูจึงปล้นมันเอาคืนแต่ตำรวจกลับออกหมายจับคนอื่นแทนกู ฮ่า ฮ่า”

ไพฑูรย์สอบถามจนรู้ว่าเพรชที่ถูกปล้นไปเก็บไว้ในตู้เซฟของเถ้าแก่ซังที่เป็นเจ้าของร้านแปลรูปเพชรรูปพรรณเป็นเพชรรูปพรรณที่เป็นของใหม่ไพฑูรย์ให้นำเสือเดชไปทิ้งไว้ที่ปากคลองตลาดตรงข้ามกับโรงพักพระราชวังขณะที่กำลังเมายาพูดพล่ามตำรวจลากไปโรงพักสอบปากคำจนในที่สุดเสือเดชก็เข้าปิ้ง

ไพฑูรย์วางแผนปล้นเถ้าแก่ซังร้านฮั่วเฮ็ง ขณะนำเพชรรูปพรรณไปส่งลูกค้าตัดหน้าตำรวจที่ไปค้นร้านตามหมายค้นงานนี้เถ้าแก่ซังสู้คดีจนหมดตัวกว่าจะหลุดคดี ส่วนเสือเดชเข้าคุก ไพฑูรย์นำเพชรรูปพรรณไปขายในตลาดมืดด้วยเหตุนี้เองไพฑูรย์จึงขนานนามตัวเองว่าจอมอาชญากรแบบเดียวกับอาแซน ลูแปง

ไพฑูรย์เล่าว่าการเสกหุ่น เสกหญ้า เสกผ้าเช็ดหน้าทิ้งไว้ให้เป็นคนเห็นตัวคนเสกซุ่มอยู่แล้วหนีไปเป็นวิชาที่เรียกกันว่า ”เสกพยนต์” แทนตัวจะใช้คาถานี้ได้ต้องมีกำลังใจกล้าแกร่งเป็นพิเศษ เพราะหากวอกแวกละก็เป็นไม่สำเร็จคาถามีดังนี้

”นะโม 3 จบ เสกหญ้าที่ถอนมาจากดิน เสกผ้าเช็ดหน้า เสกท่อนไม้กิ่งไม้ว่า

”พุทธังนิมิตตัง ธัมมังนิมิตตัง สังฆังนิมิตตัง ปฏิรูปปังสะโหมติด”

วางไว้กับดินหรือกับพงหญ้าที่ซ่อนตัวแล้วเคลื่อนที่หนีไปทันที คนจะเห็นว่ายังอยู่กับที่”

ไพฑูรย์บอกว่าทุกอย่างอยู่ที่จิต จิตเป็นนายกายเป็นบ่าวมีปืนอยู่ในมือด้วยกันคนหนึ่งไม่เคยคิดว่าเหนี่ยวไกออกไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น อีกคนหนึ่งมองเห็นบาปบุญคุณโทษเลยถูกยิงตายเพราะลังเลตำรวจกับเสือร้ายเจอหน้ากัน เสือร้ายตัวจริงจะไม่เคยหวั่นตำรวจ ถือว่ามึงยิงมาว่ากูก็ยิงไป มึงก็ตายได้เหมือนกันไพฑูรย์ไม่เคยมีความลังเลไม่ว่าจะเจอกับตำรวจหน้าไหนทุกครั้งจะยิงเพียงบาดเจ็บเท่านั้นไม่เคยยิงถึงตายเพราะถือว่าตำรวจทำหน้าที่ในการปราบปรามคนร้ายมีลูกเมียต้องรับผิดชอบมีคนต้องอุปการะส่วนโจรหรือคนร้ายก็ถือว่าจะต้องสู้เอาตัวรอดไปให้ได้

เสือคนที่แท้จะดำรงชีวิตแบบเสือในป่าคืออยู่ด้วยความทรนง ส่วนเสือที่จวนตัวแล้วใช้กระสุนนัดสุดท้ายยิงตัวตายไพฑูรย์บอกว่าไม่ใช่เสือโคร่งแต่เป็นเพียงเสือปลาเท่านั้น

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
รูปภาพสวยๆจาก : หนังเรื่องอันธพาน
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: