3682. กำจัดภัยศาสนา ตอนที่1/2 (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

กำจัดภัยศาสนา ตอนที่ 1/2 (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

สมาคมลับของแม่ดอกเหมย มีการแสดงสัญลักษณ์ด้วยการใช้มือสองข้างท้าวสะเอว ก้าวเท้าซ้ายออกไปข้างหน้า วาดเท้าขวาตามมายืนหยัดคู่กันด้านหน้าย่อเข่าลง ยื่นมือขวาออกไปข้างหน้าในลักษณะหงายฝ่ามือออก ยื่นมือซ้ายออกไปข้างหน้า ในลักษณะหงายฝ่ามือออก จากนั้นจึงพลิกฝ่ามือซ้ายขวาประกบกันดันกลับมาพนมไว้ที่อก เรียกว่า” ดอกบัวบูชาพระยูไล”

ไพฑูรย์มักเล่าเรื่องอั้งยี่ ในเยาวราชให้ฟังอยู่เสมอ ทั้งนี้ เพราะในเยาวราชตอนนั้นรังเกียจคนไทย ด้วยคนจีนในสมัยนั้นเป็นคน อดทนและประหยัดหยัด มักยึดอาชีพค้าขายเป็นหลัก ส่วนคนไทยหยิบโหย่ง ค้าขายไม่เป็น ชอบเล่าเรียนเพื่อไปเป็นขุนนางข้าราชการเพื่อเป็นเจ้าคนนายคนและมักเรียกคนจีนว่า”เจ๊ก” หรือ”ไอ้เจ๊ก” ซึ่งคนจีนถือว่าเป็นการดูถูกคนจีนจึงมีการตั้งสมาคมลับ ที่เรียกกันว่า”อั้งยี่” เพื่อต่อต้านญี่ปุ่น และคนไทยที่ดูถูกคนจีน

อั้งยี่ ก่อความเดือดร้อนในประเทศไทยครั้งร้ายแรงที่สุด คือการที่อั้งยี่ จากบางปลาสร้อย(ชลบุรี) ยกกำลังมายึดจวนข้าหลวงเมืองแปดริ้วสังหารข้าหลวงตาย ประกาศตัวเป็นอิสระ จากการปกครองของประเทศสยาม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการ ให้ส่งทหารหลวงจากบางกอกไปปราบ อั้งยี่ ประกาศสู้ตายจนคนสุดท้าย แต่ในที่สุดสู้อาวุธ ของ ของทหารหลวงไม่ได้ ถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก หัวหน้าอั้งยี่ หนีไปบางปลาสร้อย ทางการ ตามไปจับกุมมาประหาร หลายคนนั่งสำเภาหนีรอดไปได้

ครั้นถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอั้งยี่ ก่อเหตุทำร้ายคนไทยและพลตระเวนจึงทรงมีพระบรมราชโองการให้ทหารร่วมกับพลตระเวน นั่งรถรางไปปราบอั้งยี่ จับกุมหัวหน้ามาได้หลายคน ให้ร้อยหางเปียรวมกันนำมาพิจารณาคดี

นับแต่นั้นมาอั้งยี่ จึงกลายเป็นสมาคมลับหลบลงใต้ดิน มีชื่อสำนัก แต่มิได้แผ่อิทธิพลอย่างเปิดเผย ไพฑูรย์บอกว่า เมื่อจะแสดงตัวจะมีท่าทางการแสดงออกด้วยการวาดเท้าและมือ ออกมาเป็นท่าทางที่รู้กันว่าเป็นรหัสของอั้งยี่สำนักใดในการประชุมหรือต่อสู้กันแบ่งเขตการครอบครองโดยเก็บค่าคุ้มครองจากเจ้าของร้านค้าที่อยู่ในเขตอิทธิพลและบ่อนการพนัน มีตั้วเฮียมีเถ้าแก่ คอยดูแลและเจรจา

สมาคมลับของแม่ดอกเหมย มีการแสดงสัญลักษณ์ ด้วยการใช้มือสองข้างท้าวสะเอว เอาเท้าซ้ายออกไปข้างหน้า วาดเท้าขวาตามมา ยืนหยัดคู่กันด้านหน้า ย่อเข่าลง ยื่นมือขวาออกไปข้างหน้า ในลักษณะหงายฝ่ามือออก ยื่นมือซ้ายออกไปข้างหน้า ในลักษณะหงายฝ่ามือออก จากนั้น จึงพลิกฝ่ามือซ้ายขวาประกบกันดันกลับมาพนมไว้ที่อก เรียกว่า”ดอกบัวบูชาพระยูไล” เป็นเพลงมวย ที่เรียกว่า” ฝ่ามือ พระยูไล” ที่เตี่ย ของแม่ดอกเหมยได้เล่าเรียน มาจากเมืองจีน แต่ต้องมาสิ้นชื่อ เพราะ ถูกอาวุธลับ ที่มีผู้ซัดมาจากด้านนอกในขณะต่อสู้กับมือสังหาร ของอังยี่ ที่เป็นฝ่ายศัตรู

สำหรับแม่ดอกเหมยนั้น เธอเป็นดอกเหมย ที่มีหนามแหลมคม เธอเป็นหัวหน้าอังยี่ คนเดียวที่เป็นสตรี ที่กล้าแข็ง และมีวิทยายุทธ์ไม่เป็นรองชาย แต่ก้อนั่นแหละ สตรี ย่อมมิอาจเทียบบุรุษ ไพฑูรย์ จึงเข้าไปช่วยดูแล และเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยแม่ดอกเหมยเอาไว้หลายครา จนอั้งยี่ ที่มีความสนิทสนม กับแก๊งมังกรดำ ของญี่ปุ่นให้ค่าหัวไพฑูรย์ สูงจนแม่ดอกเหมยเป็นห่วง แต่ไพฑูรย์ให้คำมั่นว่า

“หัวของอั๊ว มีค่าเท่ากับชีวิตคนที่จะมาเอา ไปขาย”

วัดเล่งเนยยี่ เป็นพระอารามหลวงฝ่ายจีนนิกาย ที่ได้รับ พระราชทานนามวัดจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ว่า “วัดมังกรกมลาวาส” มีหลวงจีน ปกครองวัดสืบต่อมา หลวงจีนที่นี่ มีวิชาทางการเขียนฮู้ หรือยันต์จีนลงบนผ้าแถบแพร อั้งยี่ระดับหัวหน้า ชอบมาก เพราะเวลามีบาดแผล ใช้ปิดห้ามเลือดได้ชะงัด และ เป็นแคล้วคลาดดีนัก

มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น จู่ๆเจ้าอาวาสก็ไม่ลงมาทำวัตร ทางคณะศิษย์ก็ตกใจ แต่แล้วก็มีหลวงจีนรูปใหม่มาที่วัด มีหนังสือบอกว่าให้มารักษาการเจ้าอาวาส เพราะเจ้าอาวาสองค์เก่า เดินทางไปปฏิบัติธรรมที่บ้านเกิดระยะหนึ่ง ทางคณะกรรมการวัดปรึกษาแล้วก็ไม่ว่าอะไร เจ้าอาวาสองค์ใหม่ก็เข้าทำหน้าที่ มีหลวงจีนหน้าใหม่ๆอีก 4 รูป ที่มาพร้อมกับรักษาการเจ้าอาวาส หน้าตาแปลกๆ หน้าตาไม่บอกว่าเป็นผู้ทรงศีลด้วยซ้ำ

หลวงจีนในวัด ล้วนเกรงกลัวเจ้าอาวาสองค์ใหม่และหลวงจีนหน้าใหม่ เรื่องราวสงบเงียบมาหลายเดือน ก็เริ่มมีเหตุผิดปกติ มีสตรีที่มาไหว้พระในวัดแล้วไม่กลับบ้าน ทางบ้านออกตามหาตามบ้านญาติก็ไม่พบ จึงมาสอบถามที่วัด เพราะก่อนออกจากบ้านก็ถือเครื่องไหว้ติด ไปด้วย แต่ทางวัดก็บอกว่าไม่เห็น หลายรายที่หายไปแบบนี้ แต่ไม่มีใครสงสัยคิดว่าคงไม่พอใจทางบ้าน

สมัยนั้น ชาวจีน นิยมหมั้นกันระหว่างสกุลแซ่ หรือไม่ก็เป็นการคลุมถุงชน แต่หลายคนที่หายไป ไม่มีเหตุจูงใจ ในที่สุด สมาคมลับก็เปิดประชุม เกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะ ในวัดเป็นเขตสังฆาวาส ไม่มีใคร กล้าไปยุ่ง เกี่ยวได้แต่ส่งคนไปคอยสังเกตการณ์ แต่ไม่ได้เค้า

วันหนึ่งแม่ดอกเหมย ไปไหว้พระ ขณะที่ไหว้ อยู่ เหลือบไปเห็นตุ้มหูหยกข้างหนึ่ง ตกอยู่ในซอกที่บูชาจึงเก็บมา แม่ดอกเหมยเรียก ไพฑูรย์มาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกันดีไพฑูรย์แนะนำว่าให้ดำเนินการเงียบๆอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ให้นำตุ้มหูไปตามหาเจ้าของอย่างเงียบๆ ในที่สุดก็พบว่า เป็นของ ที่ทำจากร้านทอง โต๊ะกัง จึงตามหาต่อไป พบว่าเป็นของ เซี่ย เหมย สาวน้อย 16 ที่ไปไหว้พระในวัดเล่งเน่ยยี่ แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ไพฑูรย์จึงแนะ ให้แม่ดอกเหมยให้วางเฉย ไพฑูรย์ จะเข้าไปดูลาดเลาภายในวัด โดยใช้การปลอมตัวเป็นอาแป๊ะ ทำทีเป็นไปไหว้พระ วันหนึ่ง วิธีเป็นเดินเข้าไปในชั้นในของอาวาส อันเป็นที่อยู่ของสงฆ์ ถูกพระหน้าตาดุ สองคนออกมาสกัด พูดจาท่าทาง พอจะเข้าใจได้ว่าไม่พอใจที่ไพฑูรย์จะเข้าไปด้านใน ไพฑูรย์แสร้งทำเป็นหูหนวก จะเดินเข้าไปถูกต่อยด้วยหมัดแต่หลบทัน ถูกเตะที่ขาไม่ปัดแกล้งทำล้มร้องไอ้หยา ไอ้หยา รีบลนลานหนีออกมาด้านนอกวัด

กลับมาเล่าเรื่องที่พบมาในวัด แม่ดอกเหมยบอกว่า ผิดธรรมเนียม พระจีนนิกาย ห้ามเข้าไปในเขตอารามชั้นใน เฉพาะในเวลาวิกาลเท่านั้น เวลากลางวัน เข้าไปนิมนต์ไปทำกิจผ่านพระเลขาผู้ทำหน้าที่บันทึกเอาไว้ เถ้าแก่ ได้รับการไหว้วานให้ไปนมัสการ รักษาการเจ้าอาวาสที่อ้างว่ามีนามฉายาว่า”ซือคง” อ้างว่ามาจากแผ่นดินใหญ่ เพราะเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันกลับไปบำเพ็ญธรรมที่บ้านเกิดที่แผ่นดินใหญ่จึงให้เดินทางมารักษาการเจ้าอาวาส พร้อมพระอีก 4 รูป

โดยมีใบแต่งตั้ง จากคณะสงฆ์แผ่นดินใหญ่ ประทับตราถูกต้องทุกอย่าง เป็นอันตัดปัญหาคาใจออกไป แม่ดอกเหมยไม่แพร่งพรายเรื่องพบต้มหูหยกของเซี่ยเหมย คงจับตาดูความเป็นไปเงียบๆ ไพฑูรย์ ได้ขอ แม่ดอกเหมยขอความร่วมมือจากสมาคมลับจ้องดูความเคลื่อนไหวของเรื่องที่จะนำเรือที่จะนำผู้ที่จะเดินทางกับสำเภาไปประเทศจีน ด้วยเกรงว่า อาจจะมีผู้ก่อการร้าย ในวัดเล่งเนยยี่เคลื่อนไหว แม่ดอกเหมย ออกไปขอความร่วมมือ จากคณะอั้งยี่

ไพฑูรย์ปลอมตัวเป็นขอทาน ที่ยืนขอทานอยู่หน้าวัด เพื่อดูคนเข้าออก แต่ไม่ผิดสังเกต มีอยู่ทางเดียว คือลักลอบเข้าไปในเขตสังฆาวาสด้านใน ในตอนกลางคืน แม่ดอกเหมยเตือนว่าอันตราย อย่าไปเสี่ยงแต่ไพฑูรย์บอกว่า ต้องบุกถ้ำเสือถ้ำมังกรเพื่อค้นหาความจริง ปลอมไม่ยาก กางเกงสีดำเสื้อสีดำโพกหัวด้วยผ้าดำ เอาผ้าดำมาคาดหน้าให้เห็นแบบงิ้ว

คืนแรกไม่มีอะไร เหตุการณ์ปกติ คืนที่สามได้เรื่อง หลวงจีนองครักษ์ รักษาการเจ้าอาวาสกลับเข้าวัด ตอนค่อนแจ้ง ด้วยเครื่องแต่งตัวแบบฆราวาส เมาแอ๋ ส่งเสียงเอ็ดตะโร หมดความสำรวมในความเป็นสงฆ์ เมาจนหมดท่า คนที่พอมีสติได้ พยุงผู้ขาดสติ เข้าไปนอน ไพฑูรย์ จำได้แม่นว่าหนึ่งในจำนวนนั้นคือพระที่เคยใช้หมัด ต่อยและเตะไพฑูรย์ ตอนที่ปลอมเป็นตาแป๊ะ จะเข้าไปในเขตสังฆาวาส นี่คือความผิดสังเกตประการแรกว่ารักษาการเจ้าอาวาสและพระที่ติดตาม อาจเป็นพวกปลอมมาเป็นพระ หลอกลวงชาวบ้านและอาจเกี่ยวกับการหายไปของบรรดาสตรีที่เข้ามาไหว้พระในวัดเล่งเน่ยยี่

นำความ มาปรึกษาแม่ดอกเหมย แม่ดอกเหมย บอกว่าจะทำอย่างไรกันดี แม่ดอกเหมยว่าต้องมีหลักฐานชัดเจนจึงจะเล่นงานรักษาการเจ้าอาวาสและสมุน 4 คน ได้อยู่หมัด ไพฑูรย์เองก็ยังคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะเปิดโปงเรื่องนี้ได้เพราะช้าไปอาจไม่ทันการ ที่หนักใจอีกอย่างคือแจ้งตำรวจไม่ได้เป็นเรื่องภายในที่ชาวเยาวราชที่เป็นฝ่ายธรรมะจะต้องดำเนินการเองจนถึงที่สุดแล้วจึงมอบให้ตำรวจดำเนินคดี

ไพฑูรย์ ให้ลิ่วล้อไปสืบดูว่ามีเรือที่มาจากเกาะสีชังเทียบท่าน้ำราชวงศ์หรือไม่และมีใครเดินทางมาบ้าง ปรากฏว่ามีชาวจีนมาจากน่ำปัก ขึ้นมา 5 คนว่าจะมาหาญาติ จากนั้นไม่ได้ถามอะไรอีก เมื่อบอกรูปพรรณสัณฐาน ก็ใกล้เคียงกันเพียงแต่ไม่ได้โกนหัวเท่านั้น แม่ดอกเหมยบอกว่าเป็นไปได้ที่ชายจีน 5 คนนั่นจะเข้าไปจับตัวเจ้าอาวาสขังแล้วปรากฏตัวมาแทนที่ จดหมายจากคณะสงฆ์จีนแผ่นดินใหญ่น่าจะเป็นของปลอม

คนพวกนี้อาจเป็นพวกโจร หรืออดีต พระทุศิล ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับสงฆ์ดี จึงปลอมตัวได้แนบเนียน ก็นั่นแหละคนเราอดแสดงสันดานเดิมไม่ได้ จึงต้องออกลวดลายเป็นพระกระโดดกำแพงสมัยนั้นร้านขายเหล้ากับบ้านโคมเขียวอยู่ใกล้กันเมาแล้วก็ไปหาความสำราญในบ้านโคมเขียว

ทำไมต้องมีโคมเขียว ก็เพราะว่าบ้านหญิงโสเภณีที่เรียกว่า”หยำฉ่า” ก็เป็นบ้านเช่า แบบคนจีนทั่วไป ใครจะไปเที่ยวก็ไปเคาะบ้านผิดบ้านถูก มีเรื่องต่อยตีกันบ่อยๆ จึงต้องให้บ้านที่มีหญิงโสเภณี แขวนโคมที่มีสีเขียวเอาไว้เป็นสำคัญ ไม่ต้องไปเคาะผิดเคาะถูก เที่ยวหนักเข้าก็ติดกามโรค คนไทยเรียก ” โรคผู้หญิง”คนจีนเรียกว่า”จาโบ้ฮวง” หากจะจับผิดต้องไปเริ่มที่บ้านโคมเขียว

(อ่านตอนจบฉบับหน้า)

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : longdoosee
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: