3646. พระบารมีเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรฯ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)
จังหวัดชุมพรเป็นจังหวัดที่เสด็จในกรมฯได้รับการมอบพระปรมาภิไธยจากพระปิยมหาราชเจ้าให้เป็นเมืองของพระองค์ท่านระหว่างตอนนี้เป็นพศ. 2463 เสด็จในกรมฯได้รับบรรดาศักดิ์เป็นกรมหลวงชุมพรฯส่วนยศนั้นมีตำแหน่งเป็นพลเรือเอกปกครองกองทัพเรือด้วยความร่มเย็นเป็นสุข
เสด็จในกรมระหว่างตอนนี้มีภารกิจที่จะต้องติดต่อกับชาวต่างชาติต่างประเทศเพราะพระองค์ท่านเป็นอัจฉริยบุคคลพระองค์ทรงศึกษาวิชานักเรียนนายเรือจนสำเร็จทางด้านวิชาและภาคปฏิบัติ
พระองค์สามารถนำเรือรบหลวงพระร่วงอีกนัยหนึ่งเรียกว่าเรือพระที่นั่งจักรีพระองค์ทรงเลื่อมใสในวิชาไสยศาสตร์ที่มีอิทธิฤทธิ์อภินิหารพระองค์ทรงเสาะแสวงหาวิชาไสยศาสตร์ที่เป็นเพชรแท้
จังหวัดชุมพรมีสำนักวัดวัดหนึ่งชื่อว่าวัดท่าแซะ มีหลวงปู่เพียร สุขะจิตโตเป็นเจ้าอาวาสอายุ 107 ปี มีความสามารถในด้านวิชาการในทางไสยศาสตร์สามารถใช้วิชาระเบิดน้ำและใช้วิชาล่องหนกำบังกายเป็นข่าวล่ำลือมาจน เข้าพระกรรณ์เสด็จในกรมฯ
เย็นวันหนึ่งพระองค์ได้ประชุมทหารเรือทั้งกองทัพเพื่อต้องการทราบถึงฤทธิ์และอภินิหารของหลวงปู่เพียรที่มีข่าวล่ำลือว่ามีวิชาดังที่ได้กล่าวมาแล้วจริงหรือไม่
เมื่อทหารเรือทั้งกองทัพมาประชุมอยู่เฉพาะพระพักต์จึงมีพระราชดำรัสถามทหารเรือถึงเรื่องหลวงปู่เพียร
นายเรือโทประดับ เมฆอุบลซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เพียรมาตั้งแต่เด็กๆจนเติบโตได้จากวัดมาศึกษาวิชานักเรียนนายเรือดังกล่าวได้และยังไปมาหาสู่หลวงปู่อยู่เสมอได้ฟังคำพระราชดำรัสถามจึงลุกขึ้นถวายบังคมเสด็จในกรมฯกราบทูลว่า
”ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสานุศิษย์ของหลวงปู่เพียรได้ศึกษาวิชาคงกระพันชาตรีและวิชาล่องหนกำบังกายจากหลวงปู่เพียรพระพุทธเจ้าข้าฯ”
เสด็จในกรมฯจึงมีความปรารถนาอยากจะได้ศึกษาวิชาล่องหนกำบังกายจะได้นำมาป้องกันตัวและจะได้มีโอกาสใช้ประโยชน์เวลารบทัพจับศึกจะได้กำบังกายไปฆ่าศัตรูได้ โดยได้เปรียบหลายประการ
ทรงพระดำรัสถามนายเรือโทประดับว่าได้เรียนวิชาล่องหนกำบังกายมาแล้วได้นำมาทดลองให้ เห็นผลประจักษ์บ้างหรือไม่ว่าวิชานี้มีฤทธิ์อภินิหาร
นายเรือโทประดับได้กราบทูลถวายบังคมว่า
”เมื่อครั้งหนึ่งข้าพุทธเจ้ายังเป็นนักเรียนนายเรือพาน้องสาวชื่อว่าสลารีวัลย์ มาลากุล มาส่งที่โรงเรียนวังหลัง(ซึ่งเป็นโรงพยาบาลศิริราชอยู่เดี๋ยวนี้) ได้มาพบพวกพลตระเวน(พวกตำรวจ) มาเกี้ยวพาราสีน้องข้าพระพุทธเจ้า เป็นการทดลองศักดิ์ศรีของทหารเรือทั้งนี้เพราะข้าพุทธเจ้ามา 2 คนกับน้องสาวพวกพลตระเวนประมาณ 10 คน
เมื่อเห็นพวกพลตระเวนมาจับข้อมือน้องสาวข้าพระพุทธเจ้า เป็นการทดลองศักดิ์ศรีข้าพระพุทธเจ้าจึงได้พูดห้ามปรามว่า
”พวกลื้อทั้งหมดนี้ ไม่มีละอายกับใจตัวเองบ้างหรือที่มาข่มเหงสุภาพสตรีในลักษณะยื้อยุดฉุดมือ”
พวกพลตระเวนก็ตอบว่า
”ใจของทุกคนมีความอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ทำแล้วก็ไม่กลัว กลัวแล้วก็ไม่ทำ”
นายเรือโทประดับตอบว่า
”อั้วไม่เคยคิดว่าพวกพลตระเวนจะมีนิสัยเกกมะเรกเกเรแต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่อั้วพบเห็นต่อหน้า อั้วไม่อาจที่จะทนอยู่ได้ พวกลื้อไม่กลัวก็ไม่เป็นไรงั้นเรามาดวลกัน อั้วเป็นฝ่ายแพ้ลื้อจึงจะข้ามศพของอั้วไปรังแกน้องสาวอั้วก็ย่อมได้”
พลตระเวนฉาย แสงแก้ว ยศเป็นสิบเอกจึงได้ตอบและพูดว่า
”พวกของอั้วเคยถูกพวกทหารเรือข่มเหงรังแก โดยไม่นึกถึงเกียรติยศในเมื่อพวกทหารเรือไม่รู้จักรักเกียรติยศ พวกอั้วพลตระเวนก็ไม่รักเกียรติยศเช่นเดียวกัน”
ข้าพุทธเจ้าจึงถามตอบว่า
”พวกทหารเรือคนไหนข่มเหงรังแกพวกพลตระเวนก็ให้ไปแก้แค้นพวกนั้น แต่สำหรับอั้วไม่เคยคิดที่จะข่มเหงรังแกใครศักดิ์ศรีของลูกประดู่เป็นเครื่องเชิดหน้าชูตาแก่กองทัพเรือ และยิ่งกว่านี้เสด็จในกรมฯทรงปกครองหากรู้ว่าข้าราชการหรือกองทัพสามเหล่าตลอดจนพวกพลตระเวนคนใดไม่ซื่อตรงต่อประเทศชาติบุคคลผู้นั้นจะต้องถูกลงโทษถึงตาย เป็นเช่นนี้พวกลื้อยังจะทำตัวอันธพาล อยากจะแก้แค้นพวกทหารเรืออยู่หรือไม่”
ถ้าจะเอาเช่นนั้นพวกลื้อก็เตรียมตัว
พวกพลตระเวนสิบเอกฉาย แสงแก้วจึงถามว่า
”จะดวลด้วยมีดหรือด้วยปืนข้าพุทธเจ้าจึงเลือกเอามีดเป็นอาวุธต่อสู้กับสิบเอกฉาย ต่างฝ่ายต่างมีเครื่องรางของขลังคงกระพันชาตรี สิบเอกฉายนั้นสักอุตรรังอาจารย์ชื่ออาจารย์บู้เป็นหัวหน้าอั้งยี่คณะลักกั้ก”
”ข้าพุทธเจ้ามีภาพของหลวงปู่เพียรเป็นเครื่องป้องกันแต่พวกพลตระเวรไม่ใช่นักเลงจริง แต่เป็นหมาหมู่ช่วยกันรุมทำร้ายข้าพุทธเจ้า น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟข้าพุทธเจ้าจึงใช้พระเวทย์กำบังกายกอดคอสิบเอกฉายใช้อาวุธมีดแทงลูกตาทั้งสองข้าง”
เมื่อสิบเอกฉายถูกข้าพุทธเจ้าแทงแล้ว ก็กำบังกายไปแทงคนต่อไปจนตาบอดทั้ง 10 คนแล้วข้าพุทธเจ้าก็พาน้องสาวกลับบ้านพักหลวง ในวันรุ่งขึ้นหม่อมเจ้าศิริสิงขรเชื้อพระวงศ์และเป็นพระญาติกับเสด็จในกรมฯได้ทราบถึงเหตุร้ายที่พวกพลตระเวนใช้กิริยาข่มเหงรังแกนายเรือโทประดับ
หากความนี้ได้ทรงทราบถึงเสด็จในกรมฯ พวกทั้งหมดที่ตาบอดนี้จะต้องถูกลงโทษอาญาโทษถึงประหารชีวิตจึงได้ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้นำพลตระเวนทั้ง 10 ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล
เสด็จในกรมฯพระราชดำรัสถามนายเรือโทประดับว่าเหตุใดจึงไม่นำความขึ้นกราบทูลเรา
นายเรือโทประดับก็กราบทูลว่า
ข้าพุทธเจ้ามีความสงสารพวกพลตระเวนทั้ง 10 เพราะทุกคนตาบอดแล้วเป็นการทรมานชั่วชีวิต
เสด็จในกรมฯจึงพระดำรัสว่า
”ไม่ได้เป็นคำสั่งของเรา เราไม่ได้ต้องการให้ข้าราชการที่ได้ตั้งสัตย์อธิษฐานปณิญาณตนโดยดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาว่าจะไม่กระทำสิ่งใดซึ่งเป็นการผิดกฎหมายและเที่ยวใช้นิสัยข่มเหงรังแกคนเล่น แม้แต่ผู้นั้นจะมียศถึงนายเรือโทก็ยังมาก็กล้าแสดงเดชข่มเหงรังแก เราจะพิพากษาคดีในวันรุ่งขึ้น”
ในวันรุ่งขึ้นเสด็จในกรมฯทรงเบิกตัวพลตระเวนทั้ง 10 มาเข้าเฝ้าและได้พระราชดำรัสพูดว่า
”พวกเจ้าทั้งสิบล้วนแต่มียศตั้งแต่พลตระเวนไปจนกระทั่งถึงนายร้อยตรี เจ้าทุกคนผ่านการอบรมผ่านการฝึกสอนจากครูบาอาจารย์ให้เป็นพลเมืองดียิ่งกว่านี้พวกเจ้าทั้งสิบก็ได้รับการแต่งตั้งยศศักดิ์ให้ตามความรู้และความสามารถ เรารู้สึกอนาถใจที่ภายใต้ร่มธงไทยยังมีบุคคลที่เป็นเสนียดจัญไรกับประเทศชาติ”
เพราะฉะนั้นคำประกาศิตของเราคงมีอำนาจและอิทธิฤทธิ์พอที่จะทำให้พวกเจ้าทั้ง 10 หัวขาดได้ โดยเราจะเป็นผู้ตัดคอพวกเจ้าทิ้งทะเลปากน้ำชุมพรเพื่อให้เป็นอนุสรณ์แห่งความเป็นกบฏของพวกเจ้า
ในวันนั้นพวกพลตระเวนทั้งสิบคนถูกตัดคอด้วยพระแสงของเสด็จในกรมฯ ณ ปากน้ำชุมพรตะแลงแกงที่ประหารยังจารึกอักษรอยู่จนทุกวันนี้
วันที่ประหารชีวิตเป็นวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2464 ณ ตำบลนั้นเดี๋ยวนี้เขาเรียกว่าหาดทรายรี
หลังจากพวกพลตระเวน 10 คนสิ้นชีวิตแล้วต่อมาก็กลายเป็นปีศาจที่มีอิทธิฤทธิ์หลอกชาวบ้านชาวทะเลให้เป็นไข้หัวโกร๋นบางรายก็ถึงตาย
และตอนที่พวกผีร้ายนี้อาละวาดเสด็จในกรมฯได้สิ้นพระชนม์ชีพลาปากน้ำชุมพรไปแล้ว อิทธิฤทธิ์ของพวกผีร้ายไม่มีใครปราบปรามเป็นความเห็นของหลวงเวทย์สุมนตรา(ทิตผันเตมี)ซึ่งเป็นเจ้าเมืองจังหวัดชุมพร ได้ประชุมข้าราชการทั้งจังหวัดถึงความดุร้ายของพวกปีศาจทุกคนก็มีความเห็นว่าจะสร้างศาลให้กับเสด็จในกรมฯ ณ ตำบลเรียกว่าหาดทรายรี
คณะกรรมการพร้อมกันลงนามสร้าง เมื่อเสร็จสิ้นในการสร้างศาลเหล่าบรรดาพวกผีปีศาจก็อันตรธานหายสาบสูญไป ด้วยอิทธิฤทธิ์อภินิหารของเสด็จในกรมฯที่ทรงแผ่พระบารมีขับไล่ภูตผีปีศาจดังได้กล่าวมาแล้วให้สลายสิ้นไป สาธุ
ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : TNews
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji