3644. บารมีเสด็จเตี่ยฯคุ้มครอง (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

เมื่อพ.ศ. 2464 ข้าพเจ้าเป็นนักเรียนอยู่โรงเรียนเทพศิรินทร์เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 1 ทางโรงเรียนมีการศึกษาวิชากระบี่กระบองเป็นวิชาพิเศษ

ข้าพเจ้ามาจากจังหวัดตากบ้านเกิดเมืองนอนเข้ามาอยู่กรุงเทพฯโดยพระองค์เจ้าธานีนิวัติไปขอพ่อแม่ข้าพเจ้าฯมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม พ่อแม่ข้าพเจ้าเห็นว่ามาอยู่กรุงเทพฯเป็นผลดีเกิดประโยชน์หลายอย่างจะได้มีวิชาติดตัวทั้งชีวิตมีความเจริญ จะได้ช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้องตามสภาพระหว่างนั้นข้าพเจ้าอายุ 9 ขวบ

ข้าพเจ้าเริ่มศึกษาวิชาเพลงดาบตั้งแต่อายุ 6 ขวบสำเร็จหลักสูตรตอนอายุ 9 ขวบพอดี จนข้าพเจ้าได้มาอยู่กรุงเทพฯอยู่กับพระองค์ท่านในฐานะเป็นลูกบุญธรรม

ในกรุงเทพฯเป็นเมืองใหม่ที่ข้าพเจ้าได้เข้ามาอยู่ข้าพเจ้าอยู่ที่วังเทเวศมีความสุขสบายเงินทองมีใช้จ่าย พอโรงเรียนเปิดเทอมข้าพเจ้าเข้าศึกษาชั้นมัธยมปีที่ 1 ข้าพเจ้ามีความสนใจในวิชาไสยศาสตร์และเครื่องรางของขลังมากจนเพื่อนๆหาว่าข้าพเจ้าบ้าบอก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น

เพราะข้าพเจ้าเรียนวิชาจับผีไล่ผีบางคืนก็มานอนในป่าช้าเพื่อค้นหาสิ่งที่ต้องการ จะเดินไปไหนมาไหนก็พูดจาคนเดียว เพื่อนๆไม่รู้ก็หาว่าข้าพเจ้าบ้าบ้าบอบอแต่ความจริงแล้วข้าพเจ้ามุ่งจิตอยากจะคุยกับผี เพื่อต้องการให้เป็นมิตรด้วย บางครั้งก็มีทีท่าให้ข้าพเจ้าต้องเพ้อคลั้งเพราะอำนาจของผีแต่อำนาจผีจะสู้อำนาจของคุณพระนั้นจะได้ฉันใด

ข้าพเจ้าจึงขับไล่ผี โดยพระเวทย์ของอาจารย์ที่ได้มอบให้ และในพ.ศ. นี้เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์มีชื่อเสียงโด่งดังในทางวิชาไสยศาสตร์ อาจารย์ทั้งหลายมีพระภิกษุสงฆ์และเหล่าฆราวาสทั้งหลายที่ตั้งสำนักเป็นอาจารย์

เสด็จในกรมฯ จะต้องเสด็จไปถึงที่นั้นทันทีเพื่อต้องการทดลองให้ประจักษ์ถ้าพระอาจารย์ผู้นั้นไม่คงกระพันชาตรีเสด็จในกรมฯจะทรงพระพิโรธมากเพราะเป็นมนุษย์อุตริมนุษยธรรมมีนิสัยชั่วชอบหลอกลวงชาวบ้านให้หลงเชื่อเพราะการให้ของปลอมจะเป็นพระหรือเครื่องรางของขลังทั้งหลายมักเกิดโทษกับผู้ที่ถูกหลอกลวง

การเป็นลูกศิษย์เมื่อรับมอบเครื่องรางของขลังจะต้องเสียเงินค่าคำนนคนละ 6 บาทจึงอาศัยเหตุดังกล่าวเพื่อหลอกหลวงต้มตุ๋นหาเงิน

เสด็จในกรมฯจึงไปทดลองเพื่อประจักษ์ ทดลองฟันหัวและตัวของอาจารย์ใหญ่ บางคนก็หัวแบะคอขาดแขนขาด เพราะตอนนั้นเป็นยุคสมัยราชาธิปไตยและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นพระชนกของเสด็จในกรมฯละตอนนี้นั้นเสด็จในกรมดำรงตำแหน่งรักษาการณ์แทนเสนาบดีกองทัพเรือ

ทหารเรือจึงขึ้นหม้อตามธรรมดาพลทหารจนถึงขั้นนายนาวาตลอดจนทหารบก ทหารอากาศมีเครื่องรางของขลังทั่วทุกคน

ตอนนี้ก็เป็นตอนที่ขรัวตาจันทร์ผู้สร้างพระวัดพลับได้สร้างพระวัดพลับแจกชาวบ้านและชาววัดได้กันทั่วมีหลวงพ่อวัดไก่เตี้ย หลวงพ่อจง หลวงพ่อจาด หลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า หลวงพ่อปานวัดนมโค หลวงวัดเขากบ หลวงพ่อเดิมวัดหนองโพ ที่กำลังโด่งดังเกริกก้องทั่วประเทศเมื่อเสด็จในกรมฯทดลองเป็นที่ประจักษ์ถ้าอาจารย์ไหนเหนียวก็จะยอมเป็นศานุศิษย์

ในกรณีของเรื่องนี้เสด็จในกรมฯมีทหารรักษาพระองค์มียศชั้นจ่าชื่อ จ่าอบ วงค์สุทธิถูกจ่าเพชร บุญนาคซึ่งเป็นจ่าทหารบก
ได้ฆ่าตาย ข่าวนี้รู้มาถึงพระกรรณของเสด็จในกรมฯจึงมีความสงสัยเพราะจ่าอบก็เป็นลูกผู้ชายชาติอาชาไนยคนหนึ่งต้องคมอาวุธมานับครั้งไม่ถ้วนแต่เหตุไฉนจึงต้องมาสิ้นชีวิตด้วยคมมีดของจ่าทหารบก

พระองค์จึงเสด็จมาที่คุกใหญ่เพื่อถามจำเลยผู้ที่ฆ่าจ่าอบว่าจ่าผู้นี้เป็นลูกศิษย์สำนักอาจารย์ไหน

ศาลอาญากรุงเทพฯมีคดีเกิดขึ้นระหว่างจ่าเพรช บุนนาคเป็นฝ่ายจำเลยทนายประจำแผ่นดินเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจ่าเพรชในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาขอให้ศาลลงโทษทางกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 250 ศาลได้พิจารณาหลักฐานพยานโจทก์จำเลยแล้วคณะตุลาการลงมติเป็นเอกฉันท์ เชื่อว่าจำเลยฆ่าจ่าอบตายโดยเจตนา

จำเลยยังท้วงอีกว่าจ่าอบ วงค์สุทธิแทงจำเลยก่อนแต่จำเลยมีเครื่องรางของขลังมีมีดหมอและรอบเท้าหลวงพ่อเดิมเป็นเครื่องป้องกันในข้อนี้คณะตุลาการไม่เชื่อว่าจำเลยถูกผู้ตายแทงก่อน

ถ้าผู้ตายแทงก่อนจำเลยย่อมจะต้องมีบาดแผลเพราะถูกผู้ตายแทงจำเลยหลายครั้ง แต่มีเพียงผู้ตายถูกแทงเพียงทีเดียวก็ตาย จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ตายแทงจำเลยก่อน จึงพร้อมกันพิพากษาลงโทษจำเลยผู้มีใจโหดร้ายทมิฬ จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 250 ให้ฆ่ามันทิ้งเสีย

จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์และฎีกา ศาลอุทธรณ์และฎีกาทางฝ่ายพระธัมรงค์จุกก็จัดเตรียมเครื่องทอให้จากเพชรแต่ง วันประหารเป็นวันพรุ่งนี้

วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2464 กำหนด เวลา 5.00 น. เป็นเวลาที่เพรชฌฆาตตัดคอ

จะกล่าวถึงขุนโพยม ล้าฟ้ามียศเป็นนายเรืออากาศโท(หยด บุนนาค)ซึ่งเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของจ่าเพชรได้ทราบข่าวว่าลูกชายจะถูกประหารชีวิต จะถูกตัดคอในวันรุ่งเช้าจึงรีบมากราบถวายบังคมเสด็จในกรมฯกราบทูลเรื่องราวว่าจ่าเพรชลูกชายไม่ได้ตั้งใจฆ่าโดยเจตนาควรได้รับความปราณีลดโทษ อย่าเพิ่งให้ถึงกับประหารชีวิต

ดังนั้นเสด็จในกรมฯพร้อมกับขุนพโยมจึงได้รีบบึ่งแน่วมายังคุกใหญ่

ซึ่งในตอนนั้นคุกคือสวนเจ้าเชษและบางส่วนเดี๋ยวนี้เป็นกรมรักษาดินแดนเมื่อมาถึงยังคุกใหญ่พระธัมรงค์ชื่อหมื่นสท้าน ทั่วทิศ มาถามเรื่องราวของนักโทษประหารที่ชื่อจ่าทเพรช บุนนาค ท่านหมื่นกราบทูลเรื่องราวและเสริมท้ายด้วยคำว่าจ่าเพรชจะถูกตัดคอในวันรุ่งขึ้นเวลา 5.00 น.

เสด็จในกรมฯมีพระดำรัสว่า

”ท่านหมื่นต้องฟังคำของเราก่อน เพราะคดีถึงแม้ว่าศาลจะพิพากษาไปแล้ว โดยคำสั่งศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสุดท้ายไม่มีใครคิดค้านได้ แต่ในเรื่องนี้เกี่ยวกับคณะตุลาการลงโทษโดยไม่รอบคอบเป็นการไม่ชอบธรรมยิ่ง ศาลพิจารณาคดีย่อมหยั่งรู้ถึงคำพยานโจทก์พยานจำเลยมาเป็นเครื่องประกอบคณะตุลาการไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตนเองอาศัยทั้งสิ้นล้วนแต่เป็นการคาดคะเน

ความจริงของเรื่องนี้จ่าเพรชถูกแทงก่อนโดยอาศัยคำให้การของนางสาวน้ำฝน มธุรสทิพย์ ซึ่งเป็นฝ่ายคนกลางเพราะเธออยู่ในที่เกิดเหตุให้ถ้อยคำชัดต่อศาลว่าจ่าอบแทงจำเลยก่อนแต่แทงไม่เข้าปัญหาแทงก่อนแทงหลังจึงเกิดขึ้น

เมื่อเหตุผลประจักษ์ชัดว่าจ่าอบแทงจ่าเพรชก่อนโทษของจ่าเพรชก็คงไม่ถึงกับประหารชีวิต

จ่าเพชรจำเลยยังไม่ควรตายเพราะโทษานุโทษไม่เข้าเขตโหดเหี้ยมทมิฬ เราจักขอเลื่อนการประหารชีวิตไปถึง 10 โมงเช้าพรุ่งนี้”

เพราะเป็นเวลาที่เสด็จในกรมฯจะไปกราบทูลเรื่องราวต่อสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์ออกนั่งบัลลังก์ เวลา 9.00 น.

พระราชดำรัสของเสด็จในกรมฯเป็นประกาศิตที่มีอำนาจเท่าเทียมกับพระบรมราชโองการของพระปิยมหาราชเจ้า พระธัมรงค์ไม่รู้ว่าจะเชื่อใครจึงจำเป็นต้องปล่อยให้เรื่องล่วงเลยไปถึง 10 โมงเช้า นั่งสวดมนต์ภาวนาขอให้รอดจากการถูกตัดคอในข้อไม่ปฏิบัติตามคำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

รุ่งเช้าเสด็จในกรมฯมากราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทูลเกล้าถวายฎีกาพิเศษ ขอลดโทษจ่าเพรช บุนนาค จากโทษประหารชีวิตเหลือตลอดชีวิต

ใต้เบื้องพระยุคลบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวินิจฉัยด้วยพระทัยสุขุมลึกซึ้ง แล้วก็ทรงตรัสกับพระลูกยาเธอว่า ถ้าเรื่องเป็นเช่นดังกล่าว จำเลยมีวิชาคงกระพันชาตรีจริงว่าแทงไม่เข้า

ก็ทดลองให้ประจักษ์ด้วยการตัดคอด้วยพระแสง ถ้าอยู่ยงคงกระพันชาตรีสมจริงดังที่มันอ้าง ให้ยกโทษจำคุกให้มันเพราะมันไม่มีเจตนา มันฆ่าโดยป้องกันชีวิต ป้องกันเกียรติยศ และให้สอบถามเรื่องราวเบื้องต้นให้เป็นที่แน่นอน

เสด็จในกรมฯรีบมาที่คุกใหญ่ เพราะเป็นเวลาที่จ่าเพรชจำเลยถูกเตรียมตัวจะไปสู่ตะแลงแกงแล้วเพราะเป็นเวลา 9.45น. เสด็จในกรมฯมาถึงแล้วก็ตรงมาที่พระธัมรงค์และจ่าเพรช

‘’เราได้กราบถวายบังคมทูลพระเชษฐาแล้วตรัสสั่งให้ทดลองวิชาเครื่องรางของขลังให้ประจักษ์และสอบถามเรื่องราวถึงเรื่องที่มาเบื้องแรก’’

เมื่อจ่าเพรชได้รับคำบอกเล่าจากเสด็จในกรมฯจ่าเพรชก้มลงกราบแทบพระบาทเต็มใจที่จะให้เสด็จในกรมฯทดลองฟันคอให้เป็นประจักษ์แลดวงหน้ายิ้มแย้มด้วยความภาคภูมิใจที่จะได้อิสระ ระลึกถึงหลวงพ่อเดิมมือแตะที่กระเป๋าเพื่อความแน่นอนใจว่ารอยเท้าหลวงพ่อจะอยู่หรือไม่ เหลือบตาดูเห็นชัดจึงยิ้มกริ่มอยู่ในหน้า จ่าเพรชจึงก้มคุกเข่า

เสด็จในกรมฯพระราชดำรัสว่า

‘’ เฮ้ย… กูจะทดลองให้ประจักษ์เพื่อนำเรื่องราวไปกราบทูลต่อพระชนก’’

พระธัมรงค์รีบกุลีกุจอจัดหาเขียงไม้มะขามที่โรงครัวทหารสำหรับสับเนื้อสับไก่ มารองรับคอของจ่าเพรช

จ่าเพรช ที่มือมีดอกไม้ธูปเทียนอันเชิญโองการพระเจ้าทั้งห้าและระลึกถึงพระคุณพ่อพระคุณแม่พระคุณครูบาอาจารย์เรียบร้อยแล้วก็เอาคอไปวางไว้ที่เขียงพระธัมรงค์ช่วยกันจับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เสด็จในกรมฯตรัสดำรัสว่า
‘’จ่าเพรชอย่าผูกเวรผูกกรรมต่อกันเลย’’

เสียงจ่าเพชรกราบทูลว่า
‘’ข้าพเจ้าอโหสิกรรมให้พระเจ้าข้าฯ’’

เสด็จในกรมฯก็เงื้อพระแสงขึ้นสูงฟันด้วยกำลังแรงของพระหัตถ์เสียงดัง ‘’ปึก ปึก ปึก’’ เหมือนประหนึ่งมีดไปต้องหินผาไม่อาจระคายผิวหนังของจ่าเพรชผู้ขมังเวทย์ได้’’

เป็นที่พอพระทัยของเสด็จในกรมฯ เสด็จในกรมฯพระราชดำรัสว่า
‘’เออ..มึงลูกผู้ชายจริง’’

สักวันนึงกูจะไปนมัสการหลวงพ่อของมึงและได้สั่งจ่าเพรชว่าเดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำ ให้มึงมาหากู เพื่อนำขบวนทหารเรือที่สมัครใจไปกับกูอยากจะดูฤทธิ์ของหลวงพ่อที่มีข่าวลือว่าเอากะลาครอบช้างไว้ถึง 13 ตัว

เพราะพ่อค้าช้างซึ่งเป็นชาวพม่ามาอวดลองฤทธิ์ของหลวงพ่อเล่นกลองยาวและเล่นกลเอาข้าว ซาวน้ำตั้งไว้บนยอดไม้ แล้วพม่าถากหน้าแข้ง จุดไฟหุงข้าวโดยกอไผ่อยู่ข้างล่าง พม่าไม่รู้จักหลวงพ่อเดิม หลวงพ่อเดิมแก้โดยเอากะลาครอบช้างไว้พม่ามาถามเรื่องช้างหลวงพ่อให้พม่าเอาเสาศาลาที่พม่าถากหน้าแข้งกลับมา ถากเอาเสาศาลาเป็นการลงโทษไม่คืนช้างให้ และได้เลี้ยงมาตลอดจนทุกวันนี้

เป็นอันว่าจ่าเพรชรอดตายเพราะพระบารมีของเสด็จเตี่ยฯโดยแท้
หลายคนที่ยังสงสัยว่าวิชาไสยศาสตร์นั้นมีจริงหรือไม่ให้ดูจากเรื่องราวของเสด็จในกรมฯแม้พระองค์เป็นถึงเชื้อกษัตริย์ยังรู้ว่าวิชาไสยศาสตร์มีจริงและได้ทดลองจนเป็นที่ประจักษ์ เมื่อไสยศาสตร์มีจริง บาปบุญ นรกสวรรค์ย่อมมีจริง เมื่อเรารู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงก็ควรกระทำแต่กรรมดีไว้เป็นทุนนะครับ ซีวิตคนเราอยู่ไม่ถึง100ปี อาจจะเป็นวันนี้หรือพรุ้งนี้ที่เราจะตาย จงทำแต่สิ่งดีให้คนทีรักและคนอื่นให้ถึงที่สุดครับ สาธุ

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : TNews
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: