3643. ทรงเรียนวิชาล่องหนบังกาย (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์รู้สึกแปลกพระทัยที่หลวงพ่อเดิมรู้ล่วงหน้า ได้จัดพลับพลาต้อนรับเสด็จในกรมฯ นึกรู้ได้ว่าหลวงพ่อเดิมท่านสำเร็จทางในมีญาณสามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ดังกล่าว

เมื่อถึงเวลาที่หลวงพ่อเดิมเสร็จธุระกิจ เสด็จในกรมฯก็มานมัสการเรื่องนำผ้าป่ามาทอดและพระราชดำรัสถามถึงเรื่องเครื่องรางของขลังที่หลวงพ่อนำมาแจกจ่ายให้เป็นเครื่องคุ้มกันพวกกองทัพสี่เหล่าและชาวบ้านชาววัดจนลือลั่นไปทั่วทิศจนมีกิตติศัพท์เลื่องลือถึงอิทธิฤทธิ์ของมีดหมอหลวงพ่อเดิมทั้งนี้เพราะลูกศิษย์ของหลวงพ่อเป็นนายทหารบกเคยใช้มีดหมอแทงทหารเรือที่มีพระวัดพลับตาย

หลวงพ่อเดิมกราบถวายบังคมทูลว่า

’’มหาบพิตรคนที่มีพระวัดพลับตายด้วยเหตุประการใดนั้นอาตมาว่าเป็นเพราะคนผู้นั้นถึงคราวตายแตกดับดาวประจำตัวตกจากฟ้า

ในอีกประการหนึ่งบุคคลที่มีของดีแล้วประพฤติตนเป็นคนเกเรไร้ศีลธรรมคุณพระนั้นไม่อาจจะไม่รักษาก็เป็นได้

และอีกประการหนึ่งมีดหมอของอาตมานั้นจะเป็นเครื่องรางของขลังใดๆที่มีฤทธิ์คงกระพันชาตรีถ้าถูกแทงด้วยมีดหมอของอาตมาบุคคลผู้นั้นจะถึงการแตกดับ เพราะอาตมาสร้างหลอมปลุกเสกเอาไว้สำหรับปราบพวกผีปีศาจร้ายและปราบพวกมนุษย์ใจบาปหยาบช้าเป็นมนุษย์อสเปโต(มนุษย์เปรต)เพื่อต้องการให้คนที่มีความดี บุคคลที่ควรยกย่องสรรเสริญรอดจากการถูกข่มเหงรังแกจากพวกอันธพาลดังกล่าวมหาบพิตร’’

เสด็จในกรมฯพระดำรัสว่า

‘’คำเล่าขานร่ำลือที่ผมได้รู้กิตติศัพท์มายังไม่แน่นอนเพราะยังไม่เห็นประจักษ์ดังเช่นเรื่องช้างของพม่าที่ถูกพระคุณเจ้าเอากะลาครอบไว้นั้นเป็นความจริงประการใดผมอยากจะขอทราบเรื่องปฐมเหตุ’’

หลวงพ่อเดิมท่านเล่าถวายเสด็จในกรมฯว่า

‘’พ่อค้าช้าง 3 คนเข้ามาติดต่อซื้อขายช้างในเขตประเทศไทยซื้อไปได้ในราคาดีก็ขายไป ตอนนี้มีช้างอยู่ 13 เชือกพวกนี้มีวิชาสมถะถือว่ามีฤทธิ์สูงได้เข้ามาติดต่อค้าขายช้างในเมืองไทย
พวกนี้จะไปพักวัดไหนมักชอบทำลายล้างเสาศาลาเพื่อเอามาหุงข้าวต้มแกง ทำลายมาหลายวัดการทำลายนั้นพ่อค้าช้างมักจะเล่นกลแสดงฤทธิ์ให้พวกชาวบ้านชาววัดดู

โดยใช้คาถาสมถะถากหน้าแข้งให้คนดูเด็กวัดและชาวบ้านก็หลงเชื่อว่าพ่อค้าช้างเก่งแต่ความจริงมันถากเสาศาลาวัดจนมาถึงวัดของอาตมาพม่าก็ลองดีถากเอาศาลาวัดอาตมาเป็นที่เสียหายอาตมาจึงกำบังกายของช้างโดยใช้วิชาทางกสิณให้ช้างยืนอยู่กับที่และบังตาพม่าไม่ให้เห็นช้าง’’

ต่อมาวันรุ่งชาวพม่าไม่เห็นช้าง 13 เชือกก็ตกใจตามหา 2 วันก็ไม่พบ

มีชาวบ้านแถวนั้นบอกให้มาถามหลวงพ่อดู

พวกพม่าจึงมากราบหลวงพ่อ เมื่อพ่อค้าช้างขอช้างคืน หลวงพ่อเดิมก็กล่าวกับพ่อค้าช้างว่า ถ้าพวกเจ้าอวดอ้างว่ามีฤทธิ์ก็ให้เจ้าเอาไม้เสาศาลาที่พวกเจ้าถากเอาไปหุงข้าวคืนมาได้แล้วอาตมาจึงจะมอบช้างคืนให้’’

พวกพม่าก็หมดปัญญาเพราะเสาศาลาวัดนั้นได้นำไปหุงต้มอาหารหมดแล้วทางฝ่ายพ่อค้าพม่าก็กลับบ้านเมืองและช้าง 13 ตัวนั้นหลวงพ่อเดิมได้นำมาให้ทางฝ่ายบ้านเมือง 2 เชือก เห็นล่ามอยู่ในเขาดินแต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว

เสด็จในกรมฯได้ทราบถึงเรื่องราวโดยละเอียดจึงขอเป็นสานุศิษย์ศึกษาในวิชานี้ หลวงพ่อเดิมได้กราบทูลว่า

‘’อันวิชากำบังตากำบังกายเป็นวิชาที่ผู้ที่จะมีฤทธิ์เท่านั้นจึงจะใช้ได้ขั้นแรกบุคคลผู้นั้นจะต้องศึกษาโดยอยู่ในร่มผ้ากาสาวพัสตร์คือศีล 227 หรือต้องเป็นเณรถือศีล10 ศีล8 ศีล5 และก็ให้ถือให้เคร่ง เป็นผู้ที่มีศีลสมาธิดีแล้วก็จะต้องศึกษาวิชาวิปัสสนากรรมฐานจนจบ 16 ญาณ แล้วจึงจะเข้าศึกษาถึงชั้น พุทธติญาณ เป็นผู้ที่มีพลังจิตสูง

ต้องรู้จักนรกสวรรค์รู้จักบุญและบาป จึงจะสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์อย่างไรก็ได้ อย่าใช้อิทธิฤทธิ์ในทางอธรรมไฟนรกมันจะแลบลากลงสู่ก้นอเวจี’’

เสด็จในกรมฯ ทรงซาบซึ้งถึงคำอบรมสั่งสอนหลวงพ่อ

เสด็จในกรมฯศึกษาจนสำเร็จ หลวงพ่อก็บอกให้เสด็จในกรมฯ หันหลัง แล้วชั่วอึดใจก็เรียกเสด็จในกรมฯให้หันหน้ามายังหลวงพ่อ เสด็จในกรมฯและทุกคนที่อยู่ในที่นั้นไม่เห็นร่างของหลวงพ่อเห็นแต่มีดหมอของหลวงพ่อเลื่อนลอยอยู่ในอากาศแล้วหลวงพ่อก็บอกว่า

‘’มหาบพิตรรับมีดนี้ไปอาตมาถวายมหาบพิตร’’

เสด็จในกรมฯรู้ได้ว่าหลวงพ่อแสดงอิทธิฤทธิ์

ข้าพเจ้าและพวกที่ติดตามต่างตกตะลึงในสิ่งที่ได้พบเห็นไม่ทราบว่าหลวงพ่อไปไหนต่างก็รอดู จนเสด็จในกรมฯท่านรับมีดที่ลอยอยู่ในอากาศ พอรับมีดแล้วชั่วอึดใจหลวงพ่อเดิมก็ปรากฏร่าง

เสด็จในกรมฯพระดำรัสถามว่าพระคุณเจ้าไปไหนมา

หลวงพ่อตอบว่านั่งอยู่ตรงพระพักตร์มหาบพิตร เพราะอาตมารู้ว่ามหาบพิตรได้เคยพูดไว้กับทหารกองทัพเรือว่าจะให้อาตมาแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ทอดพระเนตร

เสด็จในกรมฯ ก้มลงกราบเป็นการยอมสยบเคารพในอิทธิฤทธิ์ของหลวงพ่อเดิมต่อจากนั้นหลวงพ่อก็จัดการจัดหาผ้าดิบที่ปิดปากโลงผี กองตัวเป็นภูเขามาตัดเป็นท่อนท่อนแล้วหลวงพ่อเอาน้ำหมึกผสมน้ำว่านมาทาที่เท้าของหลวงพ่อ พอหลวงพ่อเอาเท้าประทับผืนแรกผืนเดียวน้ำหมึกก็ซึมตลอดไปจนถึงผืนสุดท้ายนับเป็นจำนวนพันๆผืน

และหลังจากนั้นต่อมาเสด็จในกรมฯทรงทำอาวุธปืนหายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงสั่งพักราชการ(เรื่องราวเบื้องลึกจะเป็นอย่างไรต้องหาศึกษาเพิ่มเติมกันเองนะครับ)

ตอนนี้นั้นเสด็จในกรมฯ ทรงออกท่องเที่ยวเสาะแสวงหาวิชาไสยศาสตร์จากอาจารย์ต่างๆ จนครั้งสุดท้ายมากระโดดสวนอนันต์กับเสือไทออกทางหน้าต่างโดยใช้วิชากำบังตากำบังกายหนี ออกมาได้โดยปาฏิหาริย์

ข้าราชการที่สวนอนันต์รู้สึกพิศวงในปาฏิหาริย์ในเสด็จในกรมฯ ล่ำลือยอพระเกียรติว่าเสด็จในกรมฯกับเสือไทมีวิชาหายตัวได้และร่ำเรียนวิชาหายตัวนั้นมาด้วยกัน

แต่ความจริงมิใช่เป็นเช่นนั้นความจริงแล้วที่พระองค์ใช้วิชากำบังตากำบังกายได้นั้นเพราะวิชานี้เสด็จในกรมฯได้มาจากหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพ ส่วนเสือไทยนั้นได้วิชานี้มาจากหลวงพ่อวัดมะขามเฒ่า ในตอนต่อจากนี้ เสด็จในกรมฯจะไปพบกับหลวงปู่ครู ผู้มีอิทธิฤทธิ์ สำนักวัดอินทรวิหารบางขุนพรหม สวัสดี

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: