3639. ปาฏิหาริย์ดาบร้อยศพ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

การหนีคุกของไพฑูรย์ที่ลงพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์มีหลายหนแต่ทว่ามิอาจค้นหาได้เพราะจำวันเดือนปีได้ไม่ถนัดจึงค้นได้เพียงที่เคยนำมาให้ผู้อ่านดูคือตอนที่หนีศาลอาญาที่กรุงเทพฯ นอกนั้นแล้วค้นไม่พบ

ทำไมต้องหนีไพฑูรย์บอกว่าเรือนจำเขาทำไว้กักขังนักโทษโดยเฉพาะบางขวางเป็นคุกมหันตโทษที่รวบรวมอาชญากรไว้เป็นจำนวนมากคนเราเคยมีอิสระเสรีเหมือนกับนกที่เคยโบยบินไปไหนต่อไหนตามความต้องการกลับต้องมาถูกจับมาขังกรงในที่ๆจำกัดก็อยากมีอิสรภาพ

ไพฑูรย์ตั้งใจไว้แล้วตั้งแต่เมื่อเดินเข้าไปในบางขวางว่าหากมีโอกาสจะหนีแม้ว่าจะตายก็ยอมเมื่อโอกาสมาถึงก็ต้องฉวยไว้ทันที หนีคราวล่าสุดถูกจับกลับมาก็ถูกซ้อมสองสามสลบเป็นค่าตอบแทนที่ทางผบ. เรือนจำและเจ้าหน้าที่ที่ถูกตัดเงินเดือนกราวรูดไม่มีเลื่อนขั้นไป 1 ปี

ทุกคนจึงรอเวลาที่จะได้เรียกคืนแต่ก็เพียงแต่สลบเนื้อตัวเขียวช้ำไม่มีบาดแผลเพราะว่านกระชายดำที่หลวงพ่อเดิมฟังให้สำแดงเดชปกป้องเอาไว้

ยิ่งหนีไปนานพอกลับมาได้ก็อ่วมอรทัยกินถั่วเขียวต้มน้ำตาลทรายแดงกระอักเลือดดำๆออกมา แต่ดวงดาวไม่ให้ตายก็ต้องทนอยู่ต่อไป

จะขอกล่าวถึงดาบเพชฌฆาตที่เขาเก็บเอาไว้ในห้องเก็บก่อนที่ทางตำรวจจะมาขอเอาไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ตำรวจ ทุกคนกลัวหัวหดเพราะห้องที่เก็บดาบนั้นกลางวันแสกๆก็มีเรื่องประหลาดให้เห็นบางครั้งก็มีเสียงคนเดินฝีเท้าหนักๆอยู่ภายใน บางครั้งก็ได้ยินเสียงคนถอนหายใจเฮือก

ที่ว่านับว่าร้ายกาจที่สุดก็คือตอนดึกสงัดผู้คุมที่ทำหน้าที่ตรวจตราสถานที่เดินผ่านมาทางห้องเก็บดาบก็มีคนโผล่ออกมาจากประตูที่ลั่นกุญแจโผล่ออกมาก็พอทำเนาแต่ที่โผล่ออกมากลับเป็นร่างที่ปราศจากศีรษะมีเลือดพุ่งกระฉูดมือสองข้างยื่นไปข้างหน้าเหมือนคลำทาง

ผู้คุมชื่อยิ่งถึงกับสติแตกต้องช่วยกัน จับมัดเอาไปให้หลวงพ่อท้วมวัดบางขวางรดน้ำมนต์ พอสาดน้ำมนต์ขันแรกนายยิ่งก็พูดไม่เป็นเสียงตัวเองแต่เป็นเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว

”พอแล้วไม่ต้องชัดแล้วแค่นี้ก็เนื้อตัวพองหมดแล้วอย่าเอาน้ำร้อนมาราดเลยมันเจ็บปวดทรมาน”

”ไม่ชัดก็ได้..โยมเป็นใครเล่าบอกมา ต้องการอะไรมาสิงผู้คนอยู่อย่างนี้เจ้าของร่างเขาจะเดือดร้อน”

”อิฉันชื่อย้อย หรือที่เขาเรียกกันว่าอิย้อยใจยักษ์ตายด้วยดาบเล่มนั้นแหละเจ้าค่า อิฉันอยากจะออกมาข้างนอกก็ออกไม่ได้ เจ้าพ่อเจตคุกที่เขาอัญเชิญมาไม่ยอมให้ออกมาอิฉันจึงต้องสิงร่างเขาออกมาเพื่อจะได้ออกมานอกคุก ท่านเจ้าขาขอส่วนบุญบารมีจากหลวงพ่อสักเล็กน้อยเถิด เพื่ออิฉันจะได้ไปให้พ้นจากภูมิที่อยู่ปัจจุบันนี้”

” ไม่ยากหรอกเรื่องนี้เดี๋ยวฉันจะแบ่งบุญที่ฉันได้บำเพ็ญศีลภาวนาตั้งแต่เริ่มเป็นพระนวกะจนถึงปัจจุบันว่าแต่ยังต้องการอะไรอีก”

”ขอให้ผู้มีจิตเมตตาได้ทำสังฆทานแล้วกรวดน้ำให้อีย้อยใจยักษ์โดยตรงอดอยากหิวโหยมานานแล้วเจ้าข้าเมตตาด้วย”

”บรรดาผู้คุมที่นำเพื่อนมารดน้ำมนต์มีใครมีเมตตาต่อโยมย้อยบ้างเล่า ช่วยทำสังฆทานให้เขาสักหน่อยเขาจะได้ไปผุดไปเกิดตามทางของเขา”

ผู้คุมที่ร่วมขบวนมารับปากกับหลวงพ่อท้วมว่าจะช่วยกันทำสังฆทานให้กับอีน้อยใจยักษ์

หลวงพ่อท้วมจึงบอกกับอิย้อยว่า

”โยมย้อยพวกผู้คุมเขารับปากแล้วโยมไม่ต้องเป็นห่วงตอนนี้ฉันจะแบ่งกุศลแผ่เมตตาให้โยมนอนลงทำจิตให้สงบแล้วร่างของนายยิ่งที่ถูกสิงก็นอนราบลงสองมือพนมหลวงพ่อท้วมให้เอาสายสิญจ์มัดคอ มัดมือ มัดเท้าแบบตราสังร่างของนายยิ่งแล้วบังสกุลตายทันที จากนั้นท่านได้พนมมือแล้วกล่าวลอยๆว่า

”ศีลบารมี ภาวนาบารมี ทานบารมีตั้งแต่เป็นนวกะจนถึงปัจจุบัน ขออุทิศเป็นพลปัจจัยให้แก่โยมย้อยเพื่อจะได้พ้นจากภพภูมิปัจจุบัน ณ บัดนี้”

หลวงพ่อท้วมให้เอามีดตัดด้ายตราสังออกทั้งหมด ร่างของนายยิ่งก็ผลุดขึ้นลืมตามองไปรอบๆแล้วพูดว่า

”อะไรกันที่นี่เป็นที่ไหนกันแน่ ผมอยู่ที่ไหนใครก็ได้ช่วยบอกหน่อย”

หลวงพ่อท้วมใช้ปัดน้ำมนต์ซัดน้ำมนต์ใส่นายยิ่งอีกสามครั้งก่อนจะพูดกับนายยิ่งว่า

”โยมอยู่ที่วัดบางขวางอาตมาชื่อท้วมเป็นเจ้าอาวาสวัดนี้โยมถูกผีสิงมาจากในเรือนจำอาตมารดน้ำมนต์ทำพิธีให้เขาออกจากร่างของโยม ลองทบทวนดูซิว่าเกิดอะไรขึ้นกับโยม”

นายยิ่งหลับตาย้อนกลับไปก่อนจะลำดับเรื่องราวให้หลวงพ่อท้วมได้ฟัง นายยิ่งเล่าว่า เขาเข้าเวรดูแลสถานที่ ขณะที่เดินมาถึงหน้าห้องเก็บดาบเพชฌฆาตก็รู้สึกว่าใจคอไม่ดีเพราะได้รู้กิตติศัพท์ของดาบเพชฌฆาตนี้ดี พอเดินผ่านหน้าประตูก็มีเงาดำออกมามองเห็นเป็นผีหัวขาดแล้วก็หมดสติไปมารู้สึกตัวอีกทีก็ที่วัดบางขวาง

3 วันต่อมาทางผู้คุมก็เรี่ยไรกันจัดภัตตาหารทำสังฆทานถวายหลวงพ่อท้วมกับพระลูกวัด กรวดน้ำอุทิศให้นางย้อยใจยักษ์โดยตรงหลังจากทำสังฆทานอุทิศกุศลให้นางย้อยแล้วหลวงพ่อท้วมก็นิมิตไปว่านางย้อยแต่งกายแบบสตรีโบราณนุ่งโจงกระเบนมีผ้าแถบห่มสไบมากราบลาหลวงพ่อท้วมบอกว่าจะไปรับกรรมเพื่อรอไปเกิดใหม่

ไพฑูรย์บอกว่า คราวนั้นเล่าลือกันว่าดาบเพชฌฆาตเฮี้ยนจะไม่เฮี้ยนได้อย่างไรดาบเพชฌฆาตคู่นั้นตัดคอนักโทษประหารมาตั้งแต่ยุครัชกาลที่ 4 มาขึ้นรัชกาลที่ 5 ก็ยังใช้อยู่เรียกว่ามีนักโทษประหารตายภายใต้คมดาบนี้หลายร้อยคนคนสุดท้ายที่ตายภายใต้คมดาบนี้คือนักโทษประหารชื่อบุญเพ็งหีบเหล็ก

บุญเพ็งได้เสียกับยายปริกแม่เล้าตั้งแต่ยังเป็นพระต่อมาได้ไปชอบพอกับลูกสาวเจ้าของร้านทองเลยทำท่าจะสึกไปแต่งงานยายปริกแกรู้เข้าแกก็มาต่อว่าเกิดทะเลาะกันยายปริกแกบอกว่าจะเปิดโปงให้หมด สมีบุญเพ็งเลยเอาดาบฟันแทงยายปริกตายแล้วเอาศพยัดใส่หีบเหล็กถ่วงน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา

ต่อมามีคนไปงมขึ้นมานึกว่าเป็นสมบัติที่ไหนได้กลายเป็นศพยายปริกเน่าอยู่ภายใน ตำรวจสืบสวนพบว่าเป็นฝีมือบุญเพ็งทิดสึกใหม่ก็ตามไปจับสอบสวนได้ความเป็นสัตย์ว่าเป็นผู้ลงมือสังหารยายปริกที่มีสัมพันธ์แบบชู้สาวมาแต่ยังบวชเป็นพระที่ต้องสังหารก็เพราะยายปริกขู่จะเปิดโปงเรื่องราวทั้งหมดเพื่อขัดขวางสมีบุญเพ็งมิให้ไปแต่งงานกับลูกสาวเจ้าของร้านทอง

หลังจากบุญเพ็งถูกตัดคอไปได้เพียง 1 ปีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดเกล้าให้มีพระบรมราชโองการให้ยกเลิกการประหารชีวิตนักโทษประหารด้วยการตัดศีรษะมาเป็นการประหารด้วยการยิงเป้าด้วยปืนแทนซึ่งก็ใช้กันมาจนมีการเปลี่ยนแปลงจากการประหารจากการยิงเป้ามาเป็นการฉีดยาพิษเข้าเส้นในปัจจุบัน

ไพฑูรย์ยังเล่าถึงการเคลื่อนย้ายดาบพิฆาตจากบางขวางไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ตำรวจ โดยมีหนังสือแจ้งจากกรมราชทัณฑ์มาถึงผบ. เรือนจำว่าบัดนี้กรมตำรวจได้ทำหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทยให้แจ้งกับกรมราชทัณฑ์ว่าท่านพลตำรวจเอกเผ่าศรียานนท์ได้กลับจากดูงานด้านกิจการตำรวจในต่างประเทศพบว่าทางกรมตำรวจไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักรหรือแม้แต่สหรัฐอเมริกามีการรวบรวมวัสดุที่เกี่ยวกับคดีอาชญากรรมสำคัญสำคัญไว้เป็นพิพิธภัณฑ์อาชญากรรม

ทางกรมตำรวจได้ทราบว่าทางกรมราชทัณฑ์ได้เก็บรักษาดาบเพชฌฆาตไว้ในเรือนจำบางขวาง จึงใคร่ขอให้ทางกระทรวงมหาดไทยได้ขอดาบเพชฌฆาตมาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์อาชญากรรมรวมกับที่กรมตำรวจได้สะสมไว้

ทางกรมราชทัณฑ์เห็นว่าเป็นการเหมาะสมที่จะให้เคลื่อนย้ายดาบเพชฌฆาตจากเรือนจำบางขวางไปไว้ในพิพิธภัณฑ์อาชญากรรมของกรมตำรวจเมื่อทางเรือนจำพร้อมแล้วให้แจ้งกำหนดเวลาส่งมอบดาบเพชฌฆาตกับผู้แทนกรมตำรวจต่อไป

ทางเรือนจำได้จัดพิธีบวงสรวงเพื่อเคลื่อนย้ายดาบเพชฌฆาต โดยให้โหรคำนวณฤกษ์ที่เป็นเพชฌฆาตฤกษ์ ทำการเปิดห้องเก็บดาบนำดาบออกมาทำความสะอาดแล้วบวงสรวงด้วยพวงมาลัย หัวหมู ไก่ เป็ด บายศรี เหล้าขาวกับขนมเครื่องกระยาบวช ผบ.เรือนจำมาเป็นประธานประกอบพิธีบวงสรวง

จากนั้นได้ให้นายพิชิตผู้คุมที่มีความรู้ด้านกระบี่กระบองแต่งตัวด้วยผ้าแดงเปลือยอกเป็นคนเชิญดาบออกมาร่ายรำแบบเดียวกับที่เพชฌฆาตรำก่อนจะลงดาบประหาร มีปี่กลองประกอบการร่ายรำตามแบบโบราณทุกประการหลังจากร่ายรำเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงวางดาบลงกับพื้นกราบบูชาดาบแล้วนำขึ้นไปวางไว้บนที่วางดาบตามเดิมเป็นอันเสร็จพิธีให้นำดาบกลับไปไว้ในห้องเก็บดุจเดิม

ตกค่ำวันนั้นนายพิชิตก็มีอาการไข้สูง เพ้อไปต่างๆนานาที่เพ้อซ้ำๆกันคือ

”กลัวแล้ว กลัวแล้ว ทีหลังจะไม่ทำอีกแล้ว ช่วยด้วย ช่วยด้วย”

บ้านของนายพิชิตแกอยู่หลังวัดบางแพรกใต้จึงถูกหามไปให้หลวงพ่อช่วงวัดบางแพรกใต้ช่วยรดน้ำมนต์ นายพิชิตมาเล่าให้ไพฑูรย์ฟังว่า หลังจากกลับจากรำดาบมานอนหลับตอนกลางวันขณะครึ่งหลับครึ่งตื่นก็เห็นชายสักร่างกายลายพร้อย แต่งชุดแดงแบบเพชฌฆาตเดินเข้ามาเอาเท้าเหยียบอกแล้วตะคอกว่า

”ไอ้เด็กเมื่อวานซืนถือดีอย่างไรมารำดาบเลียนแบบกู โดยไม่มีดอกไม้ธูปเทียนหมากพลูมาบูชาครูเสียก่อน กูมาเพียงสั่งสอนจะกระทืบมึงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

จากนั้นก็ไม่ได้สติจนกระทั่งมาถูกน้ำมนต์หลวงพ่อช่วงวัดบางแพรกใต้ถึงได้รู้สึกตัว นายพิชิตจึงได้นำดอกไม้ธูปเทียนหมากพลูบุหรี่ไปขออนุญาตเปิดห้องเก็บดาบเพื่อนำไปบูชาดาบเพชฌฆาต

แม้วันที่ทางกรมตำรวจให้ผู้แทนมารับดาบก็เกิดเหตุอีกเมื่ออัญเชิญดาบขึ้นรถแล้วรถสตาร์ทอย่างไรก็ไม่ติดตรวจเช็คดูทุกระบบแล้วก็ยังหาสาเหตุไม่ได้

ผู้คุมคนหนึ่งนึกขึ้นได้ว่าผบ. เรือนจำไม่ได้ลงมาทำพิธีมอบดาบจึงไปเรียนให้ท่านทราบ ท่านผบ.รีบลงมายกมือไหว้ได้แล้วกล่าวว่า

”กระผมขอส่งท่านออกไปยังสถานที่อันสมควรต่อไปขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ”

จากนั้นสตาร์ทเพียงครั้งเดียวรถก็ติดแล่นฉิวออกจากเรือนจำไปในเวลาไม่ช้า

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: