3637. ไม้ตะพดกับคมแฝกตอนจบ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ในตอนที่แล้วไพฑูรย์ได้เล่าเรื่องของไม้ตะพดที่ผูกพันกับชีวิตคนไทยมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีจนกระทั่งมากลายเป็นไม้เท้าและเลือนหายไปกับกาลเวลาจนกลายเป็นของสะสม

ผู้เขียนจึงได้ถามถึงไม้คมแฝกไพฑูรย์บอกว่าให้ไปเปิดพจนานุกรมให้มือหงิกก็ไม่มีคําอธิบายเพราะเป็นคำที่ผู้คิดค้นอาวุธชนิดนี้ขึ้นมาได้จินตนาการไว้ว่าอาวุธที่คิดขึ้นมามีความคมคล้ายกับคมของริมใบแฝกที่หากเอามือไประเข้าก็จะถูกบาดจนเลือดไหล

ไม้ตะพดมีลักษณะยาวใหญ่ถือไปไหนมาไหนก็เห็นมาแต่ไกลแม้จะมีกฏในวงการนักเลงว่าหากเดินถือไม้ตะพดข้ามเขตแดนเข้าไปจะต้องถือไม้ตะพดโดยการจับไม้ตะพดต่ำลงมาจากด้านหัวประมาณ 2 กำมือเพื่อแสดงว่าไม่ได้หามาหาเรื่อง

แต่ถ้าจับครึ่งหนึ่งของไม้ตะพดลงไปแสดงว่าเตรียมพร้อมจะมีเรื่องไพฑูรย์บอกว่ากฎกติกาแม้จะมีแต่ก็มักจะมีการแหกกฎไพฑูรย์ได้เล่าว่าก่อนจะมาถึงคมแฝก ขอย้อนไปถึงอาวุธที่นักเลงชาวทักษิณเรียกว่า’’ลูกขวาน’’เป็นการย่อส่วนขวานใหญ่ให้กลายเป็นอาวุธพกพา

ผู้ออกแบบได้จำลองแบบขวานใหญ่มาอย่างถูกสัดส่วน อำนาจการทำลายไม่เป็นรองขวานใหญ่แม้จะย่อลงมาแรงฟันทําให้บาดเจ็บล้มตายได้ และที่นับว่าเด็ดก็คือหากฝึกหัดขว้างลูกขวานให้ดีจะกลายเป็นอาวุธยาวที่สามารถทำร้ายศัตรูอย่างมีประสิทธิภาพ

คมแฝกมีรูปแบบมาจากอาวุธโบราณที่เรียกกันว่ากระบองสั้นเป็นการย่อส่วนไม้ตะพดให้สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้ โดยออกแบบถอดออกเป็นส่วนๆดังนี้

1.ส่วนหัวจะมีความหนาหนักแทนหัวไม้ตะพด

2.แล้วเรียวลงมาทางปลายให้เหมาะมือ เจาะรูเพื่อร้อยเชือกสำหรับพันข้อมือเพราะไม้กระบองสั้นตีหนักเข้า เหงื่อที่มือออกมาทำให้เกิดความลื่น ไม้หลุดมือได้ง่ายจึงต้องพันข้อมือไว้

3.เพิ่มอนุภาพด้วยการหลาวไม้ให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนมีเหลี่ยมนูนบางเรียกกันว่า’’พู’’ มี 4 พูเวลาตีต้องเอาเหลี่ยมหรือพูตีความบางของเหลี่ยมทำให้เกิดความคมเหมือนเอามีดฟันทำให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์

4.ต่อมาได้มีการเปลี่ยนรูปให้แปลกออกไปตามแต่จะหลาวแต่วัตถุประสงค์คือเป็นอาวุธ

ไพฑูรย์บอกว่าไม้คมแฝกได้รับความนิยมในหมู่นักเลงโบราณเพราะสามารถพกซ่อนไปได้สะดวกศัตรูไม่ทันระวังตัวจึงถูกตีหัวจนศีรษะหรือคิ้วแตกได้อาย

นักเลงจริงจึงเรียกผู้ที่ใช้คมแฝกชอบตีศีรษะผู้อื่นในขณะที่ไม่ระวังตัวว่า’’ลอบกัด’’ นักเลงคมแฝกจึงหันมาใช้การบอกล่วงหน้าผ่านผู้ที่สื่อกับเป้าหมายว่าระวังหัวไว้ให้ดี กูชื่อนั้นชื่อนี้จะเอาเลือดหัวมึงออกมาดูเป้าหมายจะได้ระวังตัวเอาไว้ไปไหนมาไหนก็จะได้ระแวดระวังแต่ก็นั่นแหละคนมุ่งกับคนเมินเผลอเมื่อใดก็เป็นหัวแบะ

โดยเฉพาะเวทีรำวงมักถูกใช้เป็นที่สำหรับตีหัวเอาเลือดหัวออกมาดู โดยแอบขึ้นไปรำวงตามหลังเป้าหมายพอเป้าหมายเผลอก็ โพละ

ผู้เขียนก็ถามว่ามีท่าทางหรือเพลงสำหรับไม้ตะพดหรือไม้คมแฝกหรือไม่

ไพฑูรย์ตอบว่าตะพดใช้แบบเดียวกับดาบเดี่ยวประกอบด้วยเพลงรุกและเพลงรับ เพลงรุกประกอบด้วยตีบนตีตรงจากบนลงล่างจุดที่จะตี ตีกราดตีแนวนอนซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้าย ตีงัดจากล่างขึ้นบน เป้าหมายคือปลายคาง แทงแบบแทงด้วยดาบส่วนใหญ่มุ่งที่ลิ้นปี่ มีจุดตายที่พวงสวรรค์แต่นักเลงทุกคนเขาไม่ทำเพราะเขาถือว่าเป็นพวก’’หน้าตัวเมีย’’

เพลงรับ ประกอบด้วยหากถูกตีบนให้ตีงัดรับเพื่อผ่อนแรงกระทบและเบนปลายไม้ตะพดให้เฉียงออกไปด้านข้างหากรุกได้ให้ตีกราดเข้าหาเพราะเมื่อถูกต้านตะพดเบนออกไปจะเกิดช่องว่างพอที่จะเข้าตีได้หากตีไม่ได้ให้รีบถอยหลังออกมาให้พ้นจากรัศมีการตีกวาดกลับมา

เมื่อคู่ต่อสู้ตีกราดเข้ามาแล้วจะถลำ หากฉวยโอกาสตีจากบนลงล่างเข้าไปทันทีก็ทำได้ แต่นักเลงโบราณไม่ทำ เขาจะยั้งแล้วถอยออกมาเพื่อรอให้คู่ต่อสู้ตั้งตัวมาสู้กันใหม่ ถือว่าเป็นการให้โอกาสแต่ถ้าพลาดเป็นครั้งที่ 2 คราวนี้แหละฝ่ายได้เปรียบจะตีได้เลยไม่ถือว่าผิดกติกามารยาท

แต่คมแฝกเป็นอาวุธพกซ่อนมิใช่ตะพดที่ถือมาให้เห็นจึงไม่มีเพลงเพราะใช้ตียามเผลอไม่ต้องมีพิธีรีตองอยากตีก็เอาออกมาตี เขาไม่เอาคมแฝกมาตีกันนักเลงเขาตีกันด้วยไม้ตะพด

ไพฑูรย์ได้กล่าวถึงเรื่องไม้ตะพดและคมแฝกไว้อย่างนี้จึงเอามาถ่ายทอดให้ได้รู้กัน ใครถือไม้ตะพดโบราณบอกว่านักเลงจริง หากใครพกซ่อนคมแฝกหรือเดินถือคมแฝกเขาถือว่าเป็นอันธพาล

ไพฑูรย์ได้เล่าถึงเรื่องที่เขาได้เห็นนักเลงไม้ตะพดสมัยก่อนเมื่อไปซ่อนตัวอาศัยบารมีพี่เสงี่ยมเก้ายอด ที่ไพฑูรย์ให้ความเคารพเหมือนเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งสมัยนั้นที่ตลาดนางเลิ้งมีนักเลงอยู่คนหนึ่งชื่อนายเฉียบ ฉายาตะพดทองคำรูปร่างสูงใหญ่แบบคนโบราณไว้หนวดเขี้ยวเฟิ้มปลายแหลมขวั้นด้วยสีผึ้ง

หัวตะพดไม่ได้เลี่ยมด้วยทองคำแต่เป็นหัวเลี่ยมด้วยทองเหลืองหนาปึกขัดจัดสุกวาวเหมือนทองคำเวลาไม่ดื่มสุราใครๆก็นับถือ เพราะเป็นนักเลงที่ไม่ยอมให้ใครมารังแกผู้คนให้เห็น พวกนักเลงรีดไถ เบ่งกินฟรีตีหัวหมาด่าแม่จีน แกใช้ตะพดปราบเรียบ

แต่พอเหล้าเข้าปากได้ที่นายเฉียบจะเปลี่ยนเป็นคนละคนจะออกมารำตะพดแล้วร้องท้าผู้ที่ผ่านไปมาเรียกว่าแกต้องการจะเจอกับคนที่มีฝีมือตะพดที่เหนือกว่าแกหรือเป็นการประกาศความเป็นหนึ่งในเชิงตะพด

พี่เสงี่ยมยกเว้นเอาไว้คนหนึ่งเพราะเป็นคนปราบพวกนักเลงสวะที่อยู่ในนางเลิ้งและนอกพื้นที่ โดยที่พี่เสงี่ยมไม่ต้องลงมือเองพร้อมกับสั่งลูกน้องไว้ว่าอย่าไปประมือกับนายเฉียบให้ทำเฉยเสียเลี่ยงได้ก็เลี่ยงไป

สำหรับไพฑูรย์เคยพบกับนายเฉียบทั้งตอนเมาและไม่เมาเคยเห็นนายเฉียบล้มนักเลงจากโรงหนังตงก๊กบางลำพู(อยู่ถัดจากโรงหนังศรีบางลำพู 1 ซอย)พวกนี้เป็นพวกแหวนขาวลักลอบเข้ามาก่อกวนในถิ่นนางเลิ้งมาหาเรื่องในร้านข้าวต้มกลางคืน

นายเฉียบกำลังเมาได้ที่จึงแบกตะพดเข้าไปหา นายเฉียบเวลาเมาแล้วจะเอาไม้ตะพดพาดบ่าเอามือรองด้านล่างเหมือนทหารแบกปืนแล้วเดินไปตะโกนไปว่า ‘’นึ้ง ส้อง ซ้าม’’

พอไปถึงหน้าร้านข้าวต้มเห็นพวกแหวนขาวสองคนนั่งกินเหล้าอยู่ก็ร้องว่า

‘’อุเหม่อ้ายทศพักตร์มึงมาลอบลักพานางสีดา หนุมานจะผลาญมึงให้ถึงดับชีวา’’

ขาดคำตะพดในมือของนายเฉียบก็ตีแหลก พวกแหวนขาวโดนเข้าไปคนละดอกคว้าตะพดได้ก็ช่วยกันรุมตี มีคนไปบอกพี่เสงี่ยมว่ามีพวกแหวนขาวเข้ามาอาละวาดข้ามถิ่นกำลังตีกับนายเฉียบตะพดทองคำ พี่เสงี่ยมลุกขึ้นขยับกางเกงแพรให้แน่นคว้าหมวกมาสวม คว้าตะพดติดมือไปด้วย ไพฑูรย์อยู่ในบ้านพอดีจึงร้องว่า

‘’พี่ไม่ต้องไปหรอกพักผ่อนเถอะพี่ผมจะไปดูให้เองนั่งนั่งนอนนอนกินข้าวพี่มาหลายวันไม่ได้ตอบแทนอะไรพี่เลย’’

พี่เสงี่ยมพยักหน้าโยนตะพดในมือมาให้ไพฑูรย์แล้วสั่งว่า

‘’เปียนายไปดูซิว่าพวกแหวนขาวกลับหัวแหวนเอาท้องวงขึ้นหรือไม่ถ้ามันพลางก็ปล่อยมันไปเอาแค่หยอดน้ำข้าวต้มถ้ามันกร่างไม่กลับหัวแหวนก็เท่ากับว่ามันรนหาที่ตายเอง’’

ไปถึงก็พบว่านายเฉียบตกเป็นรองเพราะอายุที่มาก ประการหนึ่ง ฝ่ายแหวนขาวหนุ่มฉกรรจ์ทั้งคู่ ไพฑูรย์เข้าไปใช้ไม้ตะพดรับไม้ตะพดที่พวกแหวนขาวตีลงมาที่ด้านหลังของนายเฉียบได้ทัน

‘’พี่เฉียบผมเปีย พี่เสงี่ยมให้มาช่วย’’

‘’เออดีกำลังตึงมือ’’

ไพฑูรย์มองเห็นว่าพวกแหวนขาวพลิกท้องวงขึ้นเป็นการถูกทำกติกาจึงรุกไล่ตีที่ข้อมือจนไม้ตะพดหลุดจากมือแล้วตีที่แขนกระดูกข้อมือแตกรักษาหายก็ใช้ตะพดไม่ได้ส่วนนายเฉียบตีเข้าปลายคางพวกแหวนขาวล้มลงไปนอนแผ่สองสลึง

นายเฉียบให้เจ้าของร้านไปเรียกสามล้อมา 2 คัน นำแหวนขาวที่ล้ำถิ่นไปส่งที่โรงหนังตงก๊ก หมดเรื่องแล้วนายเฉียบเข้ามากอดไพฑูรย์

‘’ขอบใจเปียมากนี่ถ้าเปียมารับไว้ไม่ทันกระดูกสันหลังพี่คงหักต้องกินถั่วเขียวต้มน้ำตาลทรายแดงเป็นปี๊บ’’

ตั้งแต่นั้นมาพี่เฉียบก็มักมาประลองฝีมือตะพดกับไพฑูรย์ ไพฑูรย์บกพร่องตรงไหนก็แนะนำสั่งสอนให้รู้ ทำให้ไพฑูรย์ได้ทักษะด้านตะพดเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อนโดยเฉพาะเพลงที่มีชื่อเรียกว่า’’เมฆขลาล่อแก้ว’’ นั้นเป็นไม้ตายที่พี่เฉียบใช้ได้ผลดีเสมอ

นั้นคือการโยนไม้ตะพดสลับมือซ้ายขวาคู่ต่อสู้จ้องดูไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนส่วนมากคิดว่าพี่เฉียบถนัดขวาพอเห็นเอามือซ้ายรับตะพดคิดว่าจะโยนไปมือขวาที่ไหนได้พี่เฉียบแกถนัดทั้งซ้ายและขวามือ เลยถูกตะพดในมือซ้ายของพี่เฉียบเชยคางนางจนตาค้างลงไปนอนเป่าฝุ่น แต่ไพฑูรย์บอกว่าทำไม่ได้เพราะการตีด้วยมือซ้ายไม่ใช่ของง่ายๆมีแต่พี่เฉียบกระมังที่ทำได้

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
ขอขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : หนังเรื่องคมแฝก
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: