3635. ดาวโจรตก (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ท่านที่ติดตามเกิดใต้ดาวโจรมาคงจะคิดว่าไพฑูรย์หนีคุกและหนีเงื้อมือตำรวจได้ง่ายเพราะมีพวกพ้องที่เคยอยู่ในคุกคอยช่วยแต่ไพฑูรย์บอกว่าที่หนีโดยไม่มีใครช่วยเหลือก็มี

ไพฑูรย์ได้ย้อนความหลังตอนที่หนีการตามล่าของตำรวจกองปราบและสันติบาลโดยนำรูปถ่ายของไพฑูรย์และรูปที่แปลงโฉมแจกไปทั่วอีกทั้งค่าหัวที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 หมื่นบาททำให้ไม่ว่าใครก็อยากได้เพียงแต่แจ้งตำรวจให้ตำรวจตามไปจับกุมได้ไม่ว่าจับเป็นหรือจับตายได้รับแน่นอน 2 หมื่นบาท

เจออย่างนี้เข้าไพฑูรย์ก็เข้าตาจนเพราะเข้าไปหาพรรคพวกไม่ได้ญาติพี่น้องต่างก็ต้องระวังตัวกันแจด้วยมีคนแปลกหน้ามาวนๆเวียนๆอยู่ดูลาดเลาพอเห็นว่าชาวบ้านจะจำหน้าได้ก็เปลี่ยนหน้าใหม่มาอีกที่วัดดอนแก้วก็เช่นกันมีคนมาคอยดูคนเข้าออกมีตำรวจนอกเครื่องแบบไปนมัสการท่านเจ้าอาวาสแล้วสอบถามถึงไพฑูรย์

เจ้าอาวาสก็ตอบไปตามความจริงว่าแต่ก่อนเคยแวะมาปัจจุบันไม่เคยเห็นเข้ามาเขาคงรู้ว่าวัดดอนแก้วแม้เป็นเขตวัดแต่สำหรับไพฑูรย์แล้วรู้ว่าไม่มีความปลอดภัยทางหนีมีทางเดียวคือเดินเท้าเข้าป่าดงดิบเพื่อให้พ้นจากมือกฎหมายที่ตามล่า

เส้นทางจากจังหวัดตากที่จะไปยังเชียงใหม่และเชียงรายมีอยู่ หลายเส้นทางแต่ไพฑูรย์เลือกเส้นทางที่ผ่าน”ลานสาง”

ไพฑูรย์บอกว่าชาวจังหวัดตากทุกคนเคารพรักและเทิดทูนพระยาตากหรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชดุจพระบิดาบังเกิดเกล้า

เนื่องจากประการแรกท่านเป็นเจ้าเมืองตากก่อนที่จะย้ายไปเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชรและไปติดวงล้อมพม่าที่กรุงศรีอยุธยาที่สุดพระยาตากก็นำกำลังทหารในสังกัดพร้อมอาสาสมัครชาวจีนและต่างชาติแหกวงล้อมข้าศึกไปรวบรวมกำลังเพื่อกอบกู้กรุงศรีอยุธยา

แม้ทรงปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าตากสินมหาราชแล้วก็ทรงยกกองทัพไปป้องกันเมืองตากรบกับพม่าบนหลังม้าจากตอนค่ำจนใกล้รุ่งทรงพลัดหลงกับทหารคู่พระทัยพม่าตามตีพระเจ้าตากไปจนถึงลานหน้าผาสูงชันไม่มีทางจะไปไหนได้พระเจ้าตากทรงชักม้าเข้าหาทหารพม่าที่รุมล้อมอยู่

ทหารราชองครักษ์ที่พลัดหลงกับพระเจ้าตากสินติดตามมาจนที่สุดได้เห็นแสงประหลาดมีหลากสีพวยพุ่งขึ้นมาบนลานบนหน้าผาจึงตามขึ้นไปภาพที่เห็นทำให้ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นทหารพม่าวางอาวุธไว้ที่พื้นยกมือไหว้ไปทางพระเจ้าตากที่ทรงถือดาบเปลือยคมประทับอยู่บนหลังม้า พระที่นั่ง มีแสงหลากสีกระจายเป็นรัศมีรอบพระเศียร

ทหารราชองครักษ์ตรงเข้าไปจะประหารทหารพม่าแต่พระเจ้าตากสินทรงมีรับสั่งให้ปล่อยทหารพม่าเป็นอิสระแล้วแสงประหลาดนั้นก็จางหายไปพร้อมกับแสงตะวันที่ทาทาบขอบฟ้า

นับแต่บัดนั้นมาจนทุกวันนี้มิใช่แต่ชาวตากแต่ชาวไทยทั่วประเทศเรียกสถานที่นี้ว่า”ลานสาง” อันเป็นสถานที่ซึ่งเทพยดาสำแดงให้เห็นบารมีในองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ไพฑูรย์เลือกเส้นทางที่ผ่านลานสางเพื่อสักการดวงวิญญาณแห่งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก่อนจะออกเดินทางเข้าป่าลึกเมื่อเดินขึ้นไปจนถึงลานสางไพฑูรย์วางเป้ที่สะพายหลังลงกับพื้นคุกเข่าก้มลงกราบหน้าผากจรดดิน 3 ครั้งขอพระบารมีคุ้มหัว

จากน้ำตกลานสางไปไม่ไกลเป็นหมู่บ้านพรานไพฑูรย์แวะเข้าไปหาอาหารกินได้ข้าวเหนียวกับเนื้อเค็มประทังชีวิต ซื้อเนื้อเค็มติดตัวพร้อมกับข้าวตากและกระบอกใส่น้ำไพฑูรย์เล่าว่าในเป้มียาควีนินสำหรับป้องกันไข้ป่ายาซัลฟาแก้ท้องเสียและบิดยาแดงกับยาเส้นสำหรับสูบนอกจากสูบแล้วยังใช้ทำให้ทากหลุดจากการเกาะดูดเลือดด้วย

ปืนพกลูกโม่คอลท์แบบ เอ็มพี ลำกล้องหน้า.38 เสียบไว้ที่เอวด้านหน้าปืนออโตเมติกขนาด 9 มม.เสียบไว้ที่เอวด้านหลังสวมรองเท้าบู๊ตปลายขากางเกงยัดเข้าไปในรองเท้ารัดให้แน่นเพื่อป้องกันทากเสื้อแขนยาวเนื้อหนาป้องกันหนามเกี่ยว

7วันที่รอนแรมมาเสบียงร่อยหรอลง ข้าวตากหมดเนื้อเค็มหมดอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวเข้าคุกคามกินยาควีนินจนปากขม ลำห้วยลำธารเริ่มหายไปเพราะเส้นทางเส้นนี้เป็นเส้นทางเดินทัพโบราณที่เรียกว่า”ลัดด่าน” คือทางลัดที่จะไปถึงจุดหมายในเวลาอันสั้นจึงไม่คำนึงถึงแหล่งน้ำ

การเข้าป่าไพฑูรย์นับว่าชำนาญเพราะเข้าป่ามาตั้งแต่เด็กๆเรียนรู้วิชาพรานมาพอสมควร ยาควีนินหมดนั่นหมายความว่าหากเกิดเป็นไข้ป่าจะไม่มียากินแต่ยังอุ่นใจว่าการได้กินควีนินติดต่อกันจะเป็นเกราะป้องกันไข้ป่าได้และแล้วในที่สุดก็หมดเรี่ยวแรงเพราะเป็นไข้ประหลาดที่ไม่ใช่ไข้ป่าแต่มีอาการใกล้เคียงกันคือมีไข้สูงปวดเนื้อตัว คอแห้งและหมดเรี่ยวแรง

น้ำไม่มีกิน กระหายหนักเข้าก็กินน้ำที่ขังอยู่ตามแอ่งโดยต้องก้มหน้าลงไปแล้วใช้ปากดูดน้ำหากน้ำน้อยก็ใช้ลิ้นแลบเลียกันตาย มองไปทางไหนก็เห็นแต่ไอน้ำลอยขึ้นมาความร้อนจากดวงอาทิตย์ทำให้ความชื้นในป่าลอยขึ้นมาเป็นไอหมดเรี่ยวแรงจะเดินต่อไปขาเหมือนมีน้ำหนักมาถ่วงตาลายพร่าไปหมดที่สุดก็เหมือนกับว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ ล้มลงกับพื้น หมดความรู้สึกสำนึกสุดท้ายคือ

”เรากำลังจะตาย…สิงโตหินมีความหมายแต่ในกำแพงคุกแต่ในป่าดงดิบสิงโตหินมีค่าเพียงเสือลำบากที่ต้องดิ้นรนให้พ้นการล่าของพรานในเครื่องแบบ”

วันเวลาจะผ่านไปไม่รู้กี่วันกี่คืนมารู้สึกตัวอีกทีมองขึ้นไปเห็นหลังคามุงด้วยแฝกขยับตัวจะลุกขึ้นแต่ศีรษะหนักอึ้งอาการไข้หายไปมีแต่ความปวดเมื่อยเข้ามาแทนที่

เสียงพูดภาษาไทยแปร่งหูดังขึ้นหน้าห้องที่นอนพัก

”นายรู้สึกตัวแล้วหรือ”

”ฉันอยู่ที่ไหน”

”บ้านพรานมะโย่”

”นายนอนยาวๆ มีอา จะไปทำอาหารให้”

อาหารมื้อแรกหลังจากรู้สึกตัวคือข้าวต้มใส่เกลือเค็ม ปะแล่มๆ กับเนื้อเค็มปิ้ง แม้ปากจะขมแต่ด้วยความที่ไม่มีอะไรตกถึงท้องนานถึง 3 วัน มีอา บอกให้รู้จึงกินอย่างเอร็ดอร่อย

ตกเย็นพรานมะโย่กลับถึงบ้านก็เข้ามาดูอาการพอเห็นลุกขึ้นนั่งได้ก็ดีใจบอกกับไพฑูรย์ว่า

”นายดีแล้วมะโย่ก็ดีใจปืนของนายมะโย่เอาไปฝังดินไว้เพราะที่นี่ตำรวจตระเวนชายแดนมักลาดตระเวนผ่านมาเป็นระยะๆ หากพบปืนของนายอยู่กับมะโย่เขาจะยึดและมะโย่ต้องถูกจับกุมไปสอบสวนจะทำให้มีอา ลำบากและนายก็จะเดือดร้อน”

”ทำไมไม่ปล่อยให้ผมตายแล้วมะโย่ก็เอาปืนไปขายเอาเงินมาใช้ สำหรับผมตอนนั้นก็เหมือนคนตายไปแล้วเพราะไข้ป่า”

”นายไม่ได้เป็นไข้ป่าแต่เป็นไข้ดอกสัก เมื่อดอกสักบานแล้วร่วงหล่นลงไปในลำห้วยลำธารจะทำให้เกิดไข้ดอกสักอาการจะคล้ายกับไข่ป่าเรารักษานายด้วยสมุนไพรกับเปลือกต้นสักสำหรับถอนพิษนายถึงรอดมาได้ กระเหรี่ยงแบบมะโย่ไม่ใช่โจรจะไม่ทำลายชีวิตผู้คน เราล่าแต่สัตว์และหาของป่าเลี้ยงชีวิต”

อยู่กับมะโย่อีก 7 วันจึงมีแรงพอจะเดินทางต่อ มะโย่ไปขุดปืนมามอบให้ขณะเตรียมเดินทางต่อ มีอา วิ่งหน้าตื่นมาที่กระท่อมเชิงแจ้งข่าวกับมะโย่ ก่อนที่มะโย่จะร้องบอกไพฑูรย์ว่า

”นายรีบไปเร็วตำรวจตระเวนชายแดนกำลังข้ามห้วยมา น่าจะถึงที่นี่ในอีกหนึ่งชั่วยามนายหนีไปได้ทันแน่”

สิงโตหินยกมือไหว้มะโย่ด้วยความสำนึกในพระคุณแต่ไม่มีอะไรจะตอบแทนนอกจาก 10 นิ้วนี่แหละรีบออกเดินทางทันทีแต่ด้วยความไม่ชำนาญทางทำให้ย้อนกลับเข้าไปในเส้นทางเดินของตำรวจตระเวนชายแดนได้ยินเสียงฝีเท้าคนจึงหลบซุ้มดูเห็นตำรวจตระเวนชายแดน 5 นายกับตำรวจอีก 3 นายน่าจะเป็นกองปราบหรือสันติบาลที่ออกติดตามล่าตัวเขา

จะสู้กันก็ลำบากแน่เพราะ 8 ต่อหนึ่งย่อมเป็นไปไม่ได้จึงใช้”คาถากำบังไพร”ของหลวงพ่อโชติ วัดตะโน ที่ใช้ในเวลาที่ท่านต้องเข้าไปในดงเสือดงช้างซึ่งก่อนจะภาวนาพระคาถาให้เด็ดใบไม้หรือหักกิ่งไม้มาวางไว้บนศีรษะแล้วภาวนาพระคาถาว่า

”พุทธะบังจิต พุทโธบังกาย พุทเธเร้นหาย รูปะขันโธ เวทนาขันโธ สัญญาณขันโธ สังขาราขันโธ วิญญาณขันโธ อิติปิโสอนัตตา”

ภาวนาไว้จนมั่นไพฑูรย์บอกว่าตำรวจทั้ง 8 นายเดินเฉียดไปห่างจากที่เขาซุ่มภาวนาอยู่เพียงไม่กี่วาและที่เขาซุ่มอยู่นั้นก็ไม่ใช่ที่รกอะไรนักหนาเพราะขณะนั้นมันจวนตัวจึงไม่มีโอกาสเลือกตำรวจทั้ง 8 นายเดินทางไปทั้งหมด

ไพฑูรย์ได้ยินตำรวจนายหนึ่งพูดว่า”เสือไพฑูรย์ชำนาญการหนีมาก แถมยังมีคาถาอาคมมากมาย สมแล้วกับค่าหัว 2 หมื่นหากพวกเราล่าได้ก็แบ่งเท่าๆกันได้มากกว่าเงินเดือนทั้งหลายเท่าแต่ต้องระวังเพราะคนๆนี้ไม่เคยกลัวใคร”

ไพฑูรย์บอกว่าคำว่าไม่กลัวใครนั้นไม่ถูกอย่างน้อยเขาก็กลัวถูกจับไปเข้าคุกจึงพยายามต่อสู้หลบหนีและซ่อนตัวดังที่ได้ทำอยู่ในเวลานี้

จะขอกล่าวถึงหลวงพ่อโชติ วัดตะโนสักเล็กน้อยเมื่อครั้งท่านเป็นนักโทษถูกคุมไปทำงานหนักในป่าเพื่อให้ตายพร้อมกับหลวงพ่อสิน ติสโส ได้ชักชวนกันหนีและหลวงพ่อโชติใช้คาถากำบังไพรบทนี้แหละหนีรอดมาได้หลวงพ่อโชติบอกว่าหากหลงป่าให้ใช้”คาถาเบิกไพร”

โดยนั่งยองยองเอามือป้องหน้าเหมือนกำลังดูทางออกแล้วภาวนาคาถาว่า

”นะแอแอปะแลยันติ พุทเปิด โธเปิด พระพุทธเจ้าล้ำเลิศ เปิดโลกา หุลู หุลู หุลู สวาหายะ”

ภาวนาให้มั่น ป้องหน้ามองไปทางทิศต่างๆก็จะมองเห็นทางออก เจ้าป่าเจ้าทุ่งจะเปิดทางให้ออกไปจนได้

คนหายในป่าค้นหาไม่เจอให้ตั้งศาลเพียงตา เหล้า 1 ไห(เทจากขวดใส่ไห)ไก่ต้ม 1 คู่จุดธูปบูชาเจ้าป่าแล้วออกค้นหาเถิดจะพบบุคคลที่ต้องการ

ไพฑูรย์เร่งออกเดินทางจนเข้าไปในพม่าก่อนจะวกเข้าไปทางเชียงรายกลับมาทางเมืองงายเข้าสู่เชียงดาวไปซ่อนตัวอยู่กับชาวเขาที่เชียงดาว หลบตำรวจอยู่หลายเดือนก่อนจะไปอยู่กับชาวเขาที่ดอยสูง แต่ก็นั่นแหละอิสรภาพสำหรับสิงโตหินไม่เคยยาวนาน กรรมก็ทำให้ต้องติดบ่วงมือกฎหมายกลับเข้าไปในเรือนจำบางขวางอีก เมื่อเห็นว่าในปีพ.ศ. 2500 กึ่งพุทธกาล จะมีการพระราชทานอภัยโทษ จึงยุติการหนีเพื่อเตรียมการขอรับพระราชทานอภัยโทษและพ้นโทษเมื่อปี 2500 นับเป็นอิสรภาพที่หอมหวนและยาวนานที่สุด

*ฝากเช่นเคยครับท่านใดมีเนื้อเรื่องหรือตอนที่แอดมินยังไม่ได้พิมลงในเพจก็แบ่งปันกันเข้ามาได้นะครับ เพราะแอดมินก็มีเนื้อเรื่องเพียงบางส่วนเท่านั้น(ขาดอีกเยอะมาก) หรือหากท่านใดมีโอกาสได้เข้าไปหอสมุดแห่งชาติ แอดมินรบกวนฝากขอถ่ายสำเนาเรื่องราวของอาจารย์ไพฑูรย์จากนิตยสารแปลกรายสัปดาห์ที่ลงทั้งหมดของท่านไว้ด้วยนะครับ และยินดีออกค่าใช้จ่ายให้ก่อนครับ หรือหากท่านใดมีเรื่องราวดีๆต้องการจะแบ่งปัน ติดต่อเข้ามาทางเพจได้นะครับขอบพระคุณครับ

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
ขอขอบคุณคลิปดีๆจาก : สองยาม
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: