3633. เมื่อมหาโจรเป็นพระอรหันต์ ตอนจบ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ความตอนที่แล้วไพฑูรย์ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังถึงข้อความในหนังสือธรรมะที่มีชื่อว่า เมื่อฆาตกรกลายเป็นพระอรหันต์ ไพฑูรย์จำนามผู้แต่งไม่ได้แต่จำเนื้อความได้แม่นยำ มายุติลงที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศนาโปรดองคุลีมาลให้รู้ถึงบาปในการเข่นฆ่ามนุษย์ที่มหาโจรบอกว่าฟันแทงลงไปบนความว่างเปล่าระหว่างอาตมันที่พระพรหมทรงสร้างให้ผู้นั้นกลับคืนสู่อาตมันกายแห่งพระพรหมเพื่อกลับมาสู่ชีวิตที่ดีกว่าถือเป็นกุศล

โดยให้องคุลีมาลใช้ดาบเชือดที่แขนของตัวเองแบบยั้งมือทำให้เกิดบาดแผลและความเจ็บปวดองคุลิมาลจึงได้สติหารู้ว่าหาได้ฟันแทงลงไปบนความว่างเปล่าไม่

มหาโจรองคุลิมาลเหงื่อตกสมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสต่อไปอีกว่า

”อหิงสกะมานพท่านลองไปเด็ดใบไม้ออกมาจากกิ่งสัก 4 ใบ”
มหาโจรองคุลีมาลทำตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมีพุทธดำรัสให้กระทำด้วยการเดินไปเด็ดใบไม้จากกิ่งออกมา 4 ใบเดินกลับมาเฝ้าสมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าสมเด็จพระบรมศาสดาทรงมีพุทธดำรัสกับมหาโจรองคุลีมาลว่า

”อหิงสกะมานพท่านจงนำใบไม้ 4 ใบนั้นกลับไปต่อกับกิ่งให้ดีดังเดิมเราจะคอยดูว่าท่านจะทำได้หรือไม่”

”มิได้ดอกท่านนักบวชเป็นไปไม่ได้เลยกิ่งไม้ใบไม้ที่หักหรือเด็ดออกมาแล้วก็รอวันที่จะแห้งเหี่ยวไปเองจะนำไปต่อให้ดีดังเดิมอีกไม่ได้”

”อหิงสกะมานพท่านสังหารมนุษย์มา 999 คน ท่านคืนชีวิตให้กับผู้ที่ท่านฆ่าและผู้ที่เขาเป็นบิดามารดาภรรยาและบุตรชายบุตรสาวของผู้ตายผู้ที่ผู้ตายต้องอุปการะเลี้ยงดูได้หรือไม่”

ท่านละเมิดชีวิตมิใช่เพียงศพเดียวท่านฆ่าแต่มีอีกหลายสิบหลายร้อยคนที่ต้องเดือดร้อนเพราะท่านพร้อมกันไป

”นักบวช นักบวช ข้ากระทำไปเพราะไม่มีเจตนาในการฆ่า ข้าถูกสั่งสอนอบรมมาว่าการฟันแทงมนุษย์เป็นการฟันแทงลงไปในความว่างเปล่าเป็นกุศลกรรมที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นได้กลับคืนสู่อาตมันแห่งพระพรหม อาจดีกว่าสภาพที่เขาเหล่านั้นเป็นอยู่ในปัจจุบัน”

”อหิงสกะมานพการฆ่าสัตว์เพื่อบูชายัญ เพื่อกินเป็นอาหารเพื่อความสนุกล้วนเป็นบาปการฆ่ามนุษย์จะด้วยเหตุใดเป็นบาปหนักกว่าเพราะมนุษย์ทำความดีได้ช่วยเหลือผู้อื่นได้เป็นนักบวชได้ให้กำเนิดทายาทได้ท่านพึงตระหนักในบาปนั้นเถิด”

มหาโจรองคุลีมาลตาสว่างระลึกได้ว่าหาได้ฟันแทงลงไปบนความว่างเปล่าไม่ร่ำไห้ทิ้งดาบลงกับพื้นกระชากพวงมาลัยที่ร้อยด้วยนิ้วหัวแม่มือมนุษย์ทิ้งลงกับพื้นกราบทูลถามพระบรมศาสดาว่า ท่านนักบวชท่านเป็นผู้ใดกันแน่ถึงมาเทศนาโปรดข้าให้ได้สติ

สมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพุทธดำรัสกับมหาโจรองคุลีมาลว่าเราคือศากยะบุตรตรัสรู้ชอบด้วยตัวของเราเองเหล่าชนในชมพูทวีปเรียกเราว่าพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า

”ข้าจะไปคารวะท่านได้ที่ไหนเล่าสมเด็จพระสมณโคดม”

”เราอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถีที่เมืองหลวงแห่งแคว้นมคธภายใต้พระบารมีของพระเจ้าพิมพิสารที่ท่านถือกำเนิดมานั่นเอง”

สรุปแล้วหนังสือเล่มนั้นบอกว่าเหตุที่องคุลีมาลเป็นฆาตกร 999 ศพสามารถสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้เพราะตอนที่ฆ่าคนเหล่านั้นมิได้มีเจตนาสังหารโดยถูกอบรมสั่งสอนให้เห็นการฟันแทงลงไปบนร่างกายมนุษย์นั้นกระทำลงไปในความว่างเปล่าแม้ในขณะฆ่าและตัดเอานิ้วมาร้อยเป็นพวงมาลัยก็มิได้มีจิตโกรธเคืองเคียดแค้นแต่ด้วยจิตที่มั่นว่าฟันแทงลงไปบนความว่างเปล่าและเป็นกุศลทำให้คนเหล่านั้นกลับไปรวมกับอาตมันแห่งพระพรหมเพื่อกลับมาเกิดใหม่ที่อาจดีกว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

ำ ณ ห้วงเวลานั้นองคุลีมาลยังมิได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์แห่งสมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องคุลีมาลผมเผ้ายุ่งเหยิงหนวดเครารุงรัง แม้ที่คอจะมิได้สวมพวงมาลัยร้อยด้วยนิ้วมือคนใครเห็นก็รู้ว่าคือมหาโจรองคุลีมาลเดินมือเปล่าเท้าเปล่าจากราวป่าสู่เมืองสาวัตถีเพื่อไปยังเชตวันมหาวิหารท่ามกลางเสียงร้องตะโกนว่า

”หนีเร็วเถิดมหาโจรองคุลีมาลมันบุกเข้ามาล่านิ้วมือพวกเราชาวเมืองสาวัตถีถึงหน้าบ้านแล้ว”

แม้องคุลีมาลจะยกมือพนมแล้วตะโกนบอกกับชาวเมืองด้วยเสียงอันสำนึกและน้ำตานองหน้าว่า

”พ่อแม่พี่น้องชาวสาวัตถีข้าคืออหิงสกะมานพบุตรท่านปุโรหิตแห่งพระเจ้าพิมพิสารมหาราชาข้าได้ฟังธรรมจากสมเด็จพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าข้าวางดาบแล้วมหาโจรองคุลีมาลตายไปจากโลกนี้แล้วเหลือแต่อหิงสกะมานพที่เดินทางมาเป็นศิษย์ตถาคตมาขอโทษจากท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรมให้กับอหิงสกะมานพผู้โง่เขาทำบาปมหันต์ด้วยเถิด”

”อย่าไปเชื่อมันพวกเราไม่ออกไปให้มันตัดนิ้วมือมันจึงปลอมตัวเข้ามาในเมืองเพื่อตัดนิ้วมือเรารีบหนีเถิดอย่ารีรอ”

ชาวเมืองร้องตะโกนค้านคำพูดของอหิงสกะมานพดังต่อกันไปเป็นทอดๆสองข้างทางที่อหิงสกะมานพ อดีตมหาโจรองคุลีมาลเดินทางไปเกิดความวุ่นวายร้านรวงรีบปิดหน้าร้านบรรดาพ่อค้าแม่ค้าต่างพากันเก็บสินค้าเพื่อวิ่งหนีมหาโจรองคุลิมาลที่กลับคืนสู่อหิงสกะมานพข้าวของแตกหักเสียหายหล่นเกลื่อนกลาดไปตามถนนที่วิ่งหนีทันก็วิ่งหนีไปที่มัวแต่รีๆรอถูกคนวิ่งชนล้มคว่ำคะมำหงายที่หนีไม่ทันก็ก้มลงกราบอหิงสกะมานพร้องขอชีวิตบ้างก็นั่งฉี่ราดไปไหน ไม่รอดด้วยความกลัวโกลาหลไปจนถึงหน้าเชตวันมหาวิหาร

ผู้คนที่เข้าออกเชตวันมหาวิหารเห็นมหาโจรองคุลีมาลเดินเข้ามาที่เชตวันมหาวิหารก็ออกวิ่งหนีเข้าไปในเขตเชตวันมหาวิหารปากก็ร้องตะโกนต่อกันไปว่า

”มหาโจรองคุลีมาลเข้ามาในเชตวันมหาวิหารแล้วไปกราบทูลสมเด็จพระบรมศาสดาให้ระวังพระองค์”

มหาโจรองคุลีมาลเดินเข้าไปที่พระคันธกุฎีที่ประทับแห่งสมเด็จพระบรมศาสดา สมเด็จพระอานนท์พุทธอุปัฏฐากออกมาต้อนรับมหาโจรองคุลีมาล เพื่อรอเข้าเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา

สมเด็จพระบรมศาสดาทรงต้อนรับอหิงสกะมานพด้วยพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระบรมศาสดาทรงให้องคุลีมาลเดินไปขอโทษชาวเมืองที่ก่อความเดือดร้อนตอนที่เป็นมหาโจรองคุลีมาลว่าบัดนี้มหาโจรองคุลีมาลได้วางดาบกลับเป็นอหิงสกะมานพเพื่อบวชเป็นศิษย์แห่งตถาคต ณ เชตวันมหาวิหาร

ตอนแรกผู้คนกลัววิ่งแตกตื่นหนีลนลานแต่เมื่อรู้ว่าเป็นมหาโจรที่ทิ้งดาบก็พากันทุบตีขว้างปาด้วยก้อนหิน อหิงสกะมานพยืนพนมมือรับทัณฑ์จากชาวเมืองอย่างสงบ ในแต่ละวันจะมีบาดแผลจากศีรษะถึงปลายเท้ามีโลหิตเกรอะกรังกลับมาเชตวันมหาวิหารด้วยร่างกายที่บอบช้ำบางวันก็มีผู้เมตตาหามร่างอันไร้สติของอหิงสกะมานพกลับเชตวันมหาวิหาร ที่ศีรษะถูกก้อนหินขว้างปาแตกซ้ำแล้วซ้ำอีกจนหาที่ดีมิได้

นานวันเข้าในที่สุดชาวเมืองสาวัตถีก็ทำใจได้ยอมอโหสิกรรมให้อดีตมหาโจรองคุลีมาลพระเจ้าพิมพิสารทรงพระราชทานอภัยโทษแก่มหาโจรองคุลีมาลอนุโมทนาให้เป็นพุทธบุตร สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้กับอหิงสกะมานพในนามฉายาว่า”องคุลีมาลภิกขุ”

หลายครั้งที่พระภิกษุองคุลีมาลออกบิณฑบาตพบกับผู้ที่ท่านได้เคยฆ่าญาติพี่น้องเอาไว้รายใหม่ๆก็ถูกตีด้วยไม้ถูกเขวี้ยงด้วยก้อนอิฐจนบอบช้ำศีรษะแตกไม่ปริปากบ่นคงแผ่เมตตาให้กับผู้คนที่ลงมือกระทำต่อตัวท่านใครเคียดแค้นลงมือลงไม้กับท่านท่านก็ยอมรับโทษนั้นทุกประการพระภิกษุองคุลีมาลเร่งบำเพ็ญบารมีธรรมตั้งแต่ โสดาผล สกิทาคามีผล อนาคามีผล จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์องคุลีมาลในที่สุด

ไพฑูรย์เล่าว่าหลังจากอ่านหนังสือธรรมะชื่อ เมื่อฆาตกรสำเร็จเป็นพระอรหันต์ จบลงสิ่งที่คาใจก็หมดไปเหลือแต่ความกระจ่างนี่เองเป็นเหตุให้ไพฑูรย์ไม่ยอมทำร้ายมือปืน 2 คน ที่เป็นลูกชายของอั้งยี่พรรคตรงข้ามกับพรรคแม่ดอกเหมยที่รักที่ถูกไพพูรย์ฆ่าตายบุกเข้ามายิงไพฑูรย์เล่าว่า

”เมื่อตอนที่ถูกลั่นไกใส่แต่ปืนไม่ลั่นก็รู้สึกโกรธมากจะชักมีดแทงก็ตายทั้งสองคน มาคิดถึงที่ได้อ่านเรื่องมหาโจรองคุลีมาล ทำให้จิตที่ถูกครอบงำด้วยความโกรธกลับให้อภัยไม่โต้ตอบเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาอีกอย่างหนึ่งก็ครองผ้าเหลืองอันเป็นเครื่องแบบแห่งสาวกสมเด็จพระบรมศาสดาจะทำให้เสื่อมเสียผ้าเหลืองหาได้ไม่ จึงออกวิ่งหนีทั้งที่เมื่อเป็นสิงโตหินแห่งบางขวางไม่เคยหนีใครแม้แต่ก้าวเดียว”

ตำรวจมาสอบปากคำหากบอกว่าจำหน้ามือปืนได้เรื่องก็คงไม่จบเมื่อมหาโจรองคุลีมาลยอมรับโทษที่ได้ทำจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ทำไมไพฑูรย์จะไม่เจริญเมตตาธรรมอโหสิกรรมให้มือปืนเด็กเมื่อวานซืนบ้าง

พระไพฑูรย์ได้ก่อกรรมในการสังหารเตี่ยของมือปืนสองพี่น้องก่อนสองพี่น้องจะตามมาล้างแค้นแม้อยู่ในผ้าเหลือง นั่นคือสิ่งที่ไพฑูรย์ตัดสินใจบอกกับตำรวจคำเดียวว่าจำหน้าโจรไม่ได้จึงไม่ต้องไปชี้ตัวเมื่อตำรวจจับมือปืนมาได้จึงตัดไฟบอกปัดไปแต่ต้นลม

แม้เมื่อมาเป็นยามก็มิได้ทำอันตรายหรือเล่นงานพวกโจรพวกขโมยที่เข้ามาลักเล็กขโมยน้อยอย่างแรงที่สุดก็แค่สั่งสอนให้หลาบจำ เพราะธรรมะดังกล่าวทำให้ไพฑูรย์ได้สติได้สำนึกว่าในอดีตได้ทำการในการฆ่ามนุษย์มามากพอสมควรแล้วจึงน่าจะยุติลงได้ในที่สุดก็ได้ถ่ายทอดชีวิตตอนที่โลดโผนออกเผยแพร่ในนิตยสารมหัศจรรย์และนิตยสารพระเครื่องประยุกต์เป็นลำดับทำให้พ้นจากอาชีพยามที่มักจะต้องพบกับคนร้อยบิดาพันมารดาที่ผ่านเข้ามาลองดีแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่งที่อาจพลั้งมือฆ่าคนอีกจนได้

ไพฑูรย์บอกว่าเพื่อนร่วมคุกก็เหลือน้อยลงไปทุกทีเดินทางไปเยี่ยมเยียนบางคนตายไปแล้วหลายคนหมดสภาพลายเสือหายไปหมดเพราะหมดเรี่ยวแรงส่วนไพฑูรย์ตอนที่พบกับผู้เขียนต้องย้อมผมใส่แว่นตาดำและมักมาแบบเงียบๆและระมัดระวังตัวมากเป็นพิเศษโดยให้เหตุผลว่าศัตรูมากไม่อยากมีเรื่องอีกเพราะอายุมากต้องการอยู่อย่างสงบที่สุด

เรื่องราวทุกตัวอักษรทุกคำพูดที่ไพฑูรย์ได้เขียนได้เล่าเป็นความจริงทั้งหมดที่เขียนที่เล่ามิได้เพื่ออวดสรรพคุณของการเป็นจอมอาชญากร แต่เพื่อเตือนคนรุ่นหลังให้ระลึกอยู่เสมอว่าอาชญากรรมไม่เคยทำให้ใครได้ดีจุดจบของอาชญากรคือเรือนจำมหันตโทษหรือไม่ก็เลยไปที่ตะแลงแกง มือกฎหมายเอื้อมไปควานหาอาชญากรอยู่เสมอสุดแต่ว่าอาชญากรรายใดจะจนมุม

ทุกวันนี้เมื่อผู้เขียนเดินไปในที่ๆมีหนังสือเก่าขายก็ยังคงสอดส่ายสายตาหาหนังสือเมื่อฆาตกรกลายเป็นพระอรหันต์เพื่อจะได้อ่านต้นฉบับที่มีอรรถรสอย่างแท้จริงแต่ไม่เคยผ่านพบเท่าที่เขียนมาเป็นการถ่ายทอดลำดับที่สามสู่ท่านผู้อ่านที่น่าจะห่างจากต้นฉบับมาก

ไพฑูรย์เป็นคนที่มีชีวิต 2 ด้านด้านมืดเป็นฆาตกรโหดที่สังหารมนุษย์เป็นจำนวนมากเป็นคนคุกที่ตกนรกทั้งเป็นด้านสว่างก็เป็นคนมีธรรมะอยู่ในใจตลอดเวลาดังที่ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังนั่นเอง ชีวิตคนเราเหมือนที่มีสองด้านเหมือนกลางวันกลางคืนที่ย่อมมีมืดมีสว่างจึงมีคำกล่าวว่าชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหนแต่ถ้าทำดีมากกว่าทำชั่วพระท่านว่าเหมือนมามืดไปสว่าง หากทำชั่วมากกว่าดีพระท่านว่ามาสว่างไปมืดนั่นแล

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: