3624. เบิ้ม พานถมแห่งสำนักแหวนขาวมหาอุด (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ไพฑูรย์เคยพูดว่า “ดาวโจร” มาจากศาสตร์ที่เรียกว่า “โหรา” หรือ “โหร” มิใช่ “โหน” ที่ชาวฮินดูเป็นผู้จดบันทึกสืบต่อกันเป็นเวลาหลายพันปี จนได้ข้อสรุปเป็นมาตรฐานว่า การโคจรของดวงดาวฤกษ์ทั้ง 9 ดวงมาอยู่ในตำแหน่งต่างๆ จะเกิดเหตุการณ์ที่ผิดแปลกกันออกไป

ผู้ครองแคว้นในประเทศอินเดียโบราณมักมีผู้ที่เรียกว่า “ปุโรหิต” ไทยเราในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีก็มีตำแหน่งที่เรียกว่า “โหรหลวง” หรือ “พระโหราธิบดี” ประจำราชสำนัก คอยหาฤกษ์เสด็จพระราชดำเนินและฤกษ์การออกทัพจับศึก สมัยพระเจ้าปเสนทิโกศลบุตรของราชครูในราชสำนักเกิดมามีเหตุอาเพศต่างๆ อาทิ ฟ้าผ่าลงบนหลังคาบ้านพัก อาวุธในท้องพระคลังอาวุธแกว่งกระทบกันดังเกร๊งกร๊าง ณ เวลานั้นปุโรหิตดูดวงดาวแล้วเห็นว่าบุตรท่านราชครูเกิดในฤกษ์ดาวโจร เป็นดาวโจรที่มิใช่ธรรมดา แต่จะเป็นมหาโจรคร่าชีวิตคนเหมือนผักปลา ควรจะทำลายชีวิตกุมารน้อยเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม

พระเจ้าปเสนธิโกศลมิกล้าลงพระราชอาญาด้วยทรงพระธรรมิกราชัน จะสั่งประหารทารกไร้เดียงสาได้อย่างไร จึงโปรดพระราชทานนามกุมารน้อยว่า “อหิงสกะ” แปลว่าผู้ไม่เบียดเบียน พอโตขึ้นเป็นหนุ่ม ถูกทิศาปาโมกหลอกให้ฆ่าคน 1,000 ศพ จะได้เรียนสุดยอดวิชา

อหิงสกะหลงเชื่อออกไปฆ่าคนไปถึง 999 ศพ ตัดนิ้วหัวแม่มือมาร้อยเป็นพวงมาลัยได้รับฉายาว่า “องคุลีมาล” อีกศพเดียวจะครบ 1,000 ศพ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งข่ายพระญาณพบว่า อหิงสกะจะลงดาบสังหารมารดาตัวเองเป็นศพที่ 1,000 จึงสำแดงปาฏิหารย์มาปรากฏพระวรกายระหว่างอหิงสกะกับมารดา ทำให้อหิงสกะเงื้อดาบวิ่งตามจะปลงพระชนม์ชีพสมเด็จพระบรมศาสดา จนในที่สุดก็ได้รับการโปรดจากสมเด็จพระสมณโคดมจนเป็นพระอรหันต์

ไพฑูรย์บอกว่า ในดวงของไพฑูรย์นั้นมิใช่ดาวโจรธรรมดาแต่มีพระราหูเป็นอายุทำให้สามารถรอดพ้นความตายมาได้แม้จะเฉียดฉิวก็ตามที ดังนั้นคำว่า “ฤกษ์ดาวโจร” นั้นเป็นเรื่องจริงมาจนทุกวันนี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นโจรเป็นอาชญากร ไพฑูรย์บอกว่าไม่ใช่เรื่องดี เป็นเรื่องที่ไม่น่าภาคภูมิใจที่เขียนเล่าให้ฟังเพื่อเป็นอุทาหรณ์ว่าเส้นทางแห่งอาชญากรนั้นมีจุดจบที่ผิดแผกกันออกไป ตายด้วยลูกปืนตำรวจ ถูกประหาร ถูกอาชญากรด้วยการสังหาร ล้วนมีจุดจบไม่ดี แต่ไพฑูรย์ตัดสินใจกลับตัวจึงกลายเป็นนักโทษชั้นดีและได้รับพระราชทานอภัยโทษในที่สุด

ปืนพกคู่ใจขายให้นักเล่นปืนเก่าเพื่อนำเงินมาเริ่มต้นชีวิตหลังออกจากคุก อีกทั้งจะได้ลืมอดีตที่ผ่านมาเสียให้หมด จากเสือไพฑูรย์ สิงโตหิน จอมอาชญากรมาเป็นนักเขียนที่ทำมาหากินสุจริตไม่หันกลับไปสู่เส้นทางอาชญากรรมอีก เพราะเห็นว่าสร้างกรรมไว้มากพอสมควร

ไพฑูรย์เล่าเรื่องเจ้าอำไพไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์บุศยพรรณ (ตงก๊ก) ที่บางลำพูในจังหวะที่มีนักเลงจากโรงหนังศรีบางลำพูมาตีพนักงานของโรงหนังตงก๊ก โรงภาพยนตร์ทั้งสองโรงนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดเพราะโรงหนังศรีบางลำพูมีคณะแหวนขาวให้การคุ้มครอง ส่วนโรงหนังบุศยพรรณหรือตงก๊กเป็นสหายของพี่เสงี่ยมนางเลิ้ง หัวหน้าคณะเก้ายอด เจ้าอำไพจึงมักแวะไปดูความเรียบร้อยที่บุศยพรรณเป็นประจำ

วันที่ทางโรงหนังศรีบางลำพูยกกำลังมาตี เจ้าอำไพช่วยฝ่ายตงก๊ก ถูกรุมตีจนสลบ หลังจากนั้นถูกส่งไปโรงพยาบาลกลาง ไพฑูรย์ไปเยี่ยมพร้อมหม่อมหลวงกำมะลอและเจ้าประจวบด้วยเสือสหายเสือนั้นรักใคร่กันแบบตายแทนกันได้

เจ้าอำไพบอกว่าจำหน้าคนตีไม่ได้เพราะมันตีจากทางด้านหลังเมื่อหายป่วยออกจากโรงพยาบาลแล้วจะไปสอบพนักงานในโรงหนังตงก๊กตอนเกิดเหตุน่าจะได้เบาะแสกันบ้าง ไพฑูรย์กับหม่อมหลวงกำมะลอไปสอบถามพนักงานในโรงหนังจนได้ความว่าผู้ที่ตีกบาลเจ้าอำไพจนต้องได้นอนโรงพยาบาลเป็นหัวหน้าหน่วยการ์ดโรงหนังศรีบางลำพู ชื่อเบิ้ม พานถม คอยดูพวกที่มาอวดเบ่งเข้าดูหนังฟรีไม่ว่าจะเป็นนักเลงหัวไม้หรือคนทั่วไปเริ่มด้วยการตบหน้าให้ได้อาย ถ้าหือก็มีการต่อยหน้าตาแหก หรือหากมีอาวุธก็ล่อกันถึงตายไปข้าง

เบิ้ม พานถม เป็นศิษย์สำนักแหวนขาว ที่มีฝีไม้ลายมือที่เรียกว่าจัดจ้าน และมักข้ามไปหาความสำราญกับนางโลมในเขตนางเลิ้งเป็นประจำที่ลงมือตีกบาลเจ้าอำไพเพราะไม่รู้ว่าเจ้าอำไพอยู่ในสำนักเก้ายอด หากท่านผู้อ่านเคยอ่านเรื่องจอมอาชญากรหมายเลขหนึ่งถึงเรื่องคนของแหวนขาวที่ชอบมาหลอกนางโลมในถิ่นนางเลิ้งพาหนีไปขายให้กับซ่องในต่างจังหวัด ตอนหลังพานางเอกละครเวทีมากินข้าวในถิ่นนางเลิ้งเลยถูกฆ่าตาย และเบิ้ม พานถมรับหน้าที่แทน

ไพฑูรย์บอกให้ส่งจดหมายท้ารบไปยังเบิ้ม พานถม เบิ้ม พานถมบอกฝากคนนำสารมาว่า

“เพื่อความสบายใจให้ฉะกันในเขตที่เป็นกลาง มิใช่นางเลิ้งหรือบางลำพู”

เจ้าอำไพดีดมือเปาะ บอกว่าร้านอาหารในแพร่งสรรพศาสตร์เหมาะที่สุดเพราะกว้างขวางฉะกันไม่รบกวนสร้างความเสียหายจึงส่งจดหมายท้ารบไปยัง เบิ้ม พานถม ที่ร้านอาหารมหาล้วน อันเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เริ่มแต่ 20.00 น. เป็นต้นไป

ไพฑูรย์กับพวกไปนั่งที่โต๊ะนอกร้านที่สั่งให้จัดไว้สองโต๊ะ มหาล้วนเป็นเพื่อนของพี่เสงี่ยม บวชเรียนมาด้วยกันมีลายสักเก้ายอดเช่นเดียวกัน ไพฑูรย์บอกวัตถุประสงค์ให้ทราบมหาล้วนบอกว่า

“เล่นกันนอกร้าน อย่าได้เข้าไปในร้าน แขกจะหายหมด ทางโน้นข้าก็ขอร้องว่าอย่าลามเข้าไปได้ในร้านเหมือนกัน”

สามทุ่มกว่ากำลังตึงๆ เจ้าเบิ้ม พานถม ก็พาสมัครพรรคพวกมานั่งกินในโต๊ะที่ทางร้านจัดไว้ให้ เจ้าอำไพทะลึ่งพรวดด้วยความแค้น แต่ไพฑูรย์กดไหล่ไว้และบอกว่า

“ได้ฉะกับมันแน่ไม่มีใครแย่ง รอเวลาเดี๋ยว ให้แขกพวกผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดินกลับกันไปเสียก่อน หากฉะกันในตอนนี้พวกมันเกิดตกใจลมแดกหัวใจวายขึ้นมาเสียเหลี่ยมนักเลงหมด”

สี่ทุ่มกว่า ลูกค้ากลับออกจากร้านไปเหลืออยู่ไม่กี่โต๊ะ เสียงเอะอะจากโต๊ะของเบิ้ม พานถม ก็ยุติ ไพฑูรย์บอกเพื่อนตายทั้งสามว่าได้เวลาแล้ว ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง สองฝ่ายตรูเข้าหากันโดยไม่ต้องนัดหมาย ไพฑูรย์ยิงเบิกทางไปก่อน ส่วนเจ้าอำไพ เจ้าประจวบ เจ้าหม่อมหลวงกำมะลอ สาดกระสุนเข้าใส่เสียงดังกึกก้อง เห็นได้ชัดว่าทางฝ่าย เบิ้ม พานถม ร่วงลงไปกองกับพื้น สามคนที่เหลือออกวิ่งจู๊ด แต่เบิ้ม พานถมยืนเด่นเป็นสง่า ร้องตะโกนสวนมาว่า

“จะหมาหมู่หรือ เข้ามาเลย”

เจ้าอำไพสวนควันปืนไปทันที

“พวกกูไม่เคยคิด ไม่เหมือนมึงหรอก เอาคมแฝกลอบตีกบาลกูขณะที่กูติดพัน วันนี้กูมาทวงแค้นคืนจากมึง อยากรู้เหมือนกันว่าจะแน่สักขนาดไหนเข้ามาเลย”

ไพฑูรย์เก็บปืนพร้อมๆกับสองสหาย เบิ้ม พานถม พลิกแหวนขาวที่พรางไว้ขึ้นมาเข้าที่เดินเข้าหาเจ้าอำไพ ปากกระบอกปืนจี้เข้าหากัน เหนี่ยวไกใส่กันยิงเสียง เเชะ ๆๆๆ โยนปืนทิ้งกระชากมีดออกมาแทงกันอุตลุตแต่ไม่มีใครเป็นอะไร ในที่สุดไพฑูรย์ต้องเข้ามาขวาง เบิ้ม พานถม ตวาดลั่น

“หมาหมู่หรือ นึกว่ากูกลัวกระมัง มึงก็ได้นะไม่เกี่ยง”

ไพฑูรย์เล่าว่าตอนแรกกะว่าจะให้เปลี่ยนวิธีการต่อสู้ เจอแบบนี้เขาเลยพูดสวนไปว่า

“มึงมันวอนนัก มาเจอกัน”

ปืนในมือของไพฑูรย์ถูกโยนไปให้เจ้าหม่อมหลวงลออมีดหมอควาญช้างถูกดึงออกมาจากเอวมากระชับมือ เบิ้ม พานถมกระชากดาบจากฝักที่ลูกกะโล่ยื่นมาให้ ไพฑูรย์สั้นกว่าจึงต้องพยายามเข้าวงในให้ได้ แต่ปลายดาบในมือของเบิ้ม พานถม ยังคงฉวัดเฉวียนอยู่รอบตัวไพฑูรย์ หลายครั้งที่ปลายดาบสะกิดเสื้อขาดเป็นริ้วๆผิวหนังมีเลือดออกชิบๆๆเป็นยางบอน

ไพฑูรย์แทงลวงเข้าหาทำให้เบิ้มต้องลดดาบมาป้องกันไพฑูรย์ ยั้งมีดแล้วยื่นปลายเข้าไปกรีดหน้าอกของเบิ้มเสียงดังแควกอำนาจแห่งมีดหมอทำให้ความคงกระพันของเบิ้ม หมดไป

เบิ้มลดดาบเอามือลูบที่แผล พอเห็นเลือดสาดก็ถอดใจ ไพฑูรย์หยุดมือเพราะเห็นว่านับแต่นี้ไปความคงกระพันถูกอาถรรพ์มีดหมอทำลายล้างหมดแล้ว หมดแล้วความทระนง หมดไปเหลือแต่ใจที่ถอดวางไว้การต่อสู้สิ้นสุด ไพฑูรย์ถอยมายืนรวมกับสามสหายแล้วกล่าวกับเบิ้มว่า

“เบิ้ม ความคงกระพันของนายหมดสิ้นแล้ว แม้แผลหายก็จะไม่มีวันเหนียวอีก มีแต่กินว่านเท่านั้น พรุ่งนี้ให้ลูกน้องมาเอาน้ำฝนด้ามมีดหมอ ไม่อย่างนั้นแผลกลายจะยุ่งกันใหญ่ จะฝากไว้ที่บ้านพี่เสงี่ยม”

มหาล้วนให้เด็กมาบอกว่าตำรวจพระราชวังกำลังแห่กันมา ไพฑูรย์กับสามสหายจึงพากันแยกย้ายกันกลับไล่เลี่ยกับเบิ้ม พานถม สายวันรุ่งขึ้นเบิ้มส่งสมุนไปรับน้ำมนต์ฝนด้ามมีดหมอเพื่อทาบาดแผลและดื่มสมานแผล

ไพฑูรย์เล่าว่าเมื่อได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมาสูดกลิ่นอิสรภาพ หม่อมหลวงกำมะลอ เจ้าอำไพตาย ประจวบยังอยู่ แต่สมองถูกตีบ่อยๆเป็นคนหลงๆลืมๆ ส่วนเบิ้ม พานถมได้ไปบวชเป็นพระอยู่วัดกันมาตุยาราม ไพฑูรย์ได้ไปนมัสการได้คุยกันถึงความหลังท่านเบิ้มบอกว่า

“หลังจากที่ความคงกระพันหมดไป ก็ได้คิดว่าชีวิตการเป็นนักเลงสิ้นสุดลงแล้ว หันเข้าหาศาสนาดีกว่า ภาวนาแผ่เมตตาไป เท่ากับว่าโยมไพฑูรย์เป็นคนเปิดช่องทางเข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่แท้ๆ”

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: