3623. พบส่างหม่องส่วยผู้ชำนาญวิชาว่าน (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

(สายว่านที่ชอบความคงกระพันชาตรีไม่ควรพลาด)

เคยถามไพฑูรย์ว่าฉายา “จอมอาชญากรหมายเลข 1 มาจากไหน” ไพฑูรย์จ้องหน้าผมก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจว่า

“ทำไมมันเวอร์ไปหรืออย่างไร”

ผู้เขียนจึงต้องรีบบอกกับไพฑูรย์ว่า

“พี่ไพฑูรย์ผมไม่ได้อคติว่าพี่ตั้งชื่อเรื่องของพี่เวอร์ แต่ผู้อ่านต้องการรู้ว่าพี่ได้ความคิดนี้มาจากไหน และมีความเป็นมาอย่างไรเท่านั้นเอง”

นั่นแหละไพฑูรย์จึงคลายเครียดและปรากฏรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าไพฑูรย์ยังคงมีเลือดนักฆ่าหมุนเวียนอยู่ในสายเลือดตลอดเวลา และพร้อมที่จะเล่นงานใครก็ได้หากไปหมิ่นศักดิ์ศรีของตัวเอง ดังนั้นการที่จะได้รับความไว้วางใจได้รับฟังเรื่องเล่าจากปากของไพฑูรย์ที่ไม่เคยตีพิมพ์มาก่อนจึงเป็นเรื่องยากพอสมควร

ไพฑูรย์เล่าว่าที่ผมตั้งชื่อเรื่องที่ผมเขียนว่า”จอมอาชญากรหมายเลขหนึ่ง” ก็เพราะว่าผมได้เปรียบเทียบเรื่องราวชีวิตของผมกับเสือร้ายรุ่นปู่รุ่นพ่อผมอย่างละเอียดพบว่า ไม่เคยมีเสือร้ายรายใดที่มีคดีศาลพิพากษาให้ประหารชีวิต 2 คดี อีกครั้งต้องคำพิพากษาลงโทษจำคุกรวมกันแล้วนับได้ 129 ปี อาชญากรรุ่นคุณปู่คุณพ่อถูกประหารชีวิตหรือไม่ตายในคุก แต่ผมพ้นโทษประหาร ถูกจำคุก จนได้รับพระราชทานอภัยโทษเมื่อปี พ.ศ.2500 เป็นไทกับตัวเอง ดังนั้นผมจึงเป็นจอมอาชญากรหมายเลข 1 จึงไม่เกินความจริง

เมื่อไพฑูรย์สำเร็จเป็นนายทหารพระธรรมนูญใหม่ๆยังไม่ได้เป็นศิษย์หลวงพ่อเดิมมักกลับไปเยี่ยมบ้านที่ จ.ตาก อันเป็นดงว่าน แทบทุกบ้านมีการปลูกว่านทั้งที่กินเป็นยารักษาโรค กินแล้วคงกระพัน หรือกินแล้วถึงตายเอาไว้สำหรับผสมทำยาพิษ บิดาของไพฑูรย์บอกว่าถ้าต้องการศึกษาเรื่องว่านต้องเข้าไปในป่าลึกให้ไปหาคนที่ชื่อ ส่างหม่องส่วย เป็นกระเหรี่ยงเชื้อชาติพม่า บิดาเป็นกระเหรี่ยง มารดาเป็นพม่า คนผู้นี้แยกตัวมาอยู่นอกหมู่บ้านกระเหรี่ยงเป็นเอกเทศ แต่ชาวกระเหรี่ยงให้ความนับถือทั้งในด้านพิธีกรรมและการรักษาโรคด้วยสมุนไพร

ส่างหม่องส่วยเป็นสหายกับบิดาของไพฑูรย์เป็นนักเล่นว่านหาตัวจับยาก ว่านในสวนว่านของบิดาไพฑูรย์ ส่างหม่องส่วยเป็นผู้หาจากป่าลึกมาให้ปลูกและว่านหลายต้นที่ส่างหม่องส่วยไม่มีก็เอาของบิดาไพฑูรย์ของป่าที่ส่างหม่องส่วยได้มาบิดาไพฑูรย์เป็นนายหน้าขายให้ในราคางามโดยไม่เคยหักค่านายหน้าแม้ส่างหม่องส่วยจะหยิบยื่นให้แต่บิดาไพฑูรย์ไม่เอา จึงเป็นสหายสนิทกันมาเป็นเวลานาน

บ้านของส่างหม่องส่วยอยู่กลางป่าดงดิบห่างจากเมืองตากเข้าไปถึงกว่า 40 กม. ไพฑูรย์สะพายเป้ไว้บนหลัง ปืนพกเสียบเอว ปืนลูกซองเดี่ยวตราเสือติดมือไปพร้อมกระสุน การเดินป่าไพฑูรย์บอกว่าต้องทำเครื่องหมายไว้ตามทางที่ผ่านไปเผื่อหากหลงป่าจะได้มีเครื่องหมายไว้บอกทิศทาง ต้องรอนแรมนอนในป่า ก่อกองไฟไว้ผูกเปลนอนบนคบไม้ป้องกันสัตว์ร้ายโจมตี ผ่านที่อยู่ของพวกแม้ว ยางดอย ยางแดง ไทลื้อ มูเซอ กะเหรี่ยง แต่ละเผ่ามีการใช้ว่านผิดกันไปตามที่ได้รับการสอนมาจากบรรพบุรุษ เมื่อถึงหมู่บ้านกะเหรี่ยงบิดาไพฑูรย์บอกว่า

“ใกล้จะพบส่างหม่องส่วยแล้ว” แม้จะพูดกันไม่รู้เรื่องแต่ภาษาใบ้ใช้ได้ผล พอเอ่ยชื่อ ส่างหม่องส่วย กะเหรี่ยงร้องเออแล้ว พยักหน้า ให้เด็กๆพาไปหาส่างหม่องส่วยที่บ้าน

ส่างหม่องส่วยกำลังผสมว่านทำเป็นยาพิษอาบลูกดอกหน้าไม้ ธนู หอกสำหรับล่าสัตว์ เมื่อเห็นไพฑูรย์ก็รู้สึกประหลาดใจว่าใครที่ไหนมาพบ แต่เมื่อเอ่ยชื่อบิดาของไพฑูรย์ส่างหม่องส่วยจึงโผเข้ากอดด้วยความดีใจ ไพฑูรย์บอกว่าที่มาหาเพราะต้องการได้ว่าน 5 ชนิดไปผสมกันต้มเป็นน้ำแช่ให้เกิดความคงกระพัน อันได้แก่
“ว่านเฒ่าหนังแห้ง ว่านพะตะบะ ว่านพระยาพิชัย ว่านแร้งคอคำ และว่านนางพญาเสือโคร่ง”

ส่างหม่องส่วยหัวเราะบอกกับไพฑูรย์ว่า

“ได้ว่านมาต้มแช่หากแช่ได้ 10 วันจะมีผิวดำเกรียมด้วยอำนาจที่แช่จะแทรกเข้าไปในรูขุมขนทำให้ผิวดำเกรียมแก้ไขไม่ได้เลยอันตรายมาก ผิวไพฑูรย์จะเสียหมด เอาเพียงว่านนางพญาเสือโคร่งอย่างเดียวก็พอแล้ว อาบซึมเข้าตามรูขนเข้าไปในร่างกายอาบติดต่อกัน 10 วัน คงกระพันไป 10 ปีทีเดียว”

“แต่ว่านนางพญาเสือโคร่งเป็นว่านวิเศษของเผ่าแม้วที่หวงแหนมาก มีแต่ส่างหม่องส่วยเท่านั้นที่ไปขอมาได้เพียงคนเดียว”

พักบ้านของส่างหม่องส่วยได้สามวัน ส่างหม่องส่วยก็ไปเยี่ยมม้ามาสองตัวแล้วพาไพฑูรย์เดินทางแรมคืนไปยังหุบเขานางพญาเสือโคร่งอันเป็นถิ่นกำเนิดของว่านนางพญาเสือโคร่ง เมื่อเข้าเขตก็ได้ยินเสียงนกร้องเสียงประหลาด ส่างหม่องส่วยสะกิดไพฑูรย์แล้วกระซิบว่าอย่าทำกิริยาอาการตกอกตกใจเพราะยามของตาเฒ่ากะยาแม้วจอมมายาที่ไม่ว่าใครก็กลัวเพราะแกเลี้ยงผีเล่นว่านและมีกับดักมากมายเตรียมต้อนรับผู้บุกรุก

ส่างหม่องส่วยป้องปากส่งเสียงนกคล้ายโต้ตอบไปสองครั้งได้ยินเสียงตอบมาหนึ่งครั้ง พอม้าย่างผ่านต้นยางใหญ่หนุ่มแม้วหน้าเหี้ยมพร้อมหน้าไม้ก็โผล่ออกมาพอเห็นหน้าส่างหม่องส่วยก็ส่งเสียงต้อนรับแล้วออกวิ่งนำหน้าไปตามทางลัดเพื่อไปยังบ้านของเฒ่ากะยาที่อยู่ลึกเข้าไปประมาณ 1 กม. สองผู้เฒ่าเข้าสวมกอดกัน ส่างหม่องส่วยให้ไพฑูรย์ลงจากม้ามาทำความเคารพเฒ่ากะยา เฒ่ากะยาสวมกอดไพฑูรย์แสดงความรักแบบแม้ว

สองผู้เฒ่าเข้าไปคุยในบ้าน ปล่อยให้ไพฑูรย์รออยู่ข้างนอก หลังจากนั้นไม่นานส่างหม่องส่วยก็กลับออกมาเล่าให้ฟังว่า

“เฒ่ากะยาไม่ไว้ใจเกรงว่าจะเป็นสายตำรวจมาสืบดูการปลูกและทำฝิ่นสุกเพื่อบุกเข้าทำลายเพราะอาชีพหลักของชาวเขาคือการปลูกและทำฝิ่นสุกขาย แต่เมื่อส่างหม่องส่วยเป็นประกัน เฒ่ากะยาก็ไม่ขัดข้องในการต้อนรับและแบ่งปันว่านนางพญาเสือโคร่ง”

การเดินทางไปยังดง นางพญาเสือโคร่งนั้นเป็นทางวิบากต้องคนชำนาญทางจึงจะเข้าไปได้ เฒ่ากะยาเล่าให้ฟังเป็นภาษาแม้วที่ส่างหม่องส่วยแปลให้ไพฑูรย์ฟังว่า

“บรรพบุรุษแม้วพบว่านนี้โดยบังเอิญเมื่อได้ยิงเสือยิงหมี ยิงกวางด้วยธนู หน้าไม้ และหอกซัดปรากฏว่าไม่ระคายหนังแถมยังโดนเสือโดนหมี หมูป่าสวนกลับถึงตายและบาดเจ็บสาหัสต้องล่าถอยออกมา และไปคอยแอบดูเวลาสัตว์ไปกินอาหารก็พบว่าพวกเสือ พวกหมี หมูป่าและกวางพากันไปขุดหัวว่านชนิดหนึ่งกินมันจึงคงกระพันชาตรีจึงขุดเอามาปลูกขยายพันธุ์ และล่าสัตว์เฉพาะฤดูที่ว่านแห้งเหี่ยวหมดอำนาจที่จะคุ้มครองสัตว์ป่าเหล่านั้น ที่เรียกว่าว่านนางพญาเสือโคร่งเพราะในวันเพ็ญจะได้ยินเสียงคล้ายเสือโคร่งตัวเมียร้องเวลาเป็นสัตว์อยู่ในดงว่าน”

แม้จะหวงว่านนางพญาเสือโคร่งมาก คนต่างเผ่าจะไม่ยอมให้มาถึงดงนางพญาเสือโคร่ง รักใคร่กันก็ให้แต่หัวว่านไปปลูกส่วนใหญ่ปลูกแล้วตาย เพราะแม้วจะมีวิธีการทำลายหัวว่านมิให้ปลูกขึ้น ดังนั้นส่างหม่องส่วยจึงไม่มีว่านนางพญาเสือโคร่งปลูกไว้เฒ่ากะยาทำพิธีพลีว่านของแกครู่หนึ่งจึงใช้มีดขุดต้นว่านเอามาทั้งต้นเอาใส่ย่ามนำกลับไปบ้าน

ตัวว่านและหัวจะถูกผึ่งแดดจนเหี่ยวแห้งก่อนจะนำมาต้มเวลาต้มเฒ่ากะยาได้ผสมว่านอีกสองสามชนิดลงไปด้วย เฒ่ากะยาบอกว่า เพื่อทำให้ความเป็นพิษของว่านที่มีต่อผิวหนังของผู้อาบลดลงหาไม่แล้วผิวหนังจะพุพองเป็นพิษจนถึงตาย ไพฑูรย์บอกว่าว่าน 108 นั้นผู้ที่ไม่เข้าใจวิธีใช้เกิดโทษมากกว่าคุณ

เมื่อเคี่ยวยาได้ที่แล้วจึงให้ไพฑูรย์แก้ผ้าแล้วเตรียมตัวลงไปนอนแช่น้ำว่านนางพญาเสือโคร่งต้มที่อุ่นแล้วคอแช่สามชั่วโมง ขึ้นพักหนึ่งชั่วโมง เช้าและเย็นสองเวลา ทำอย่างนี้จนครบ 10 วัน เฒ่ากะยาจึงเข้ามาเอามีดเชือดท้องแขนของไพฑูรย์ปรากฎว่าคมมีดลื่นปราดไม่เข้าเนื้อ ส่างหม่องส่วยเอามีดดาบฟันหลังไพฑูรย์ดังบึกๆ ปรากฏแนวขีดเป็นรอยเลือดซิบๆแบบที่เรียกว่ายางบอน เสร็จแล้วไพฑูรย์เดินออกมสูดอากาศก็โดนสมุนของเฒ่ากะยายิงด้วยหน้าไม้และพุ่งด้วยหอกจนจุก ยิงแล้วสองคนก็เข้ามากอดแสดงความยินดีว่าเป็นพวกเดียวกันคือผ่านการอาบน้ำว่าน

ล่ำลาเฒ่ากะยาแล้วเดินทางกลับไปบ้านของส่างหม่องส่วยระหว่างทางก็ได้ลองของคาราวานว้าที่ขนฝิ่นสุกออกเดินทางออกจากแดนไทยกลับไปพม่าเห็นส่างหม่องส่วยกับไพฑูรย์ขี่ม้าผ่านเข้ามาในเส้นทางลำเลียงคิดว่าเป็นสายตำรวจจึงยิงด้วยปืนแก๊ป

ไพฑูรย์กับส่างหม่องส่วยกระเด็นตกจากหลังม้าจุกแอ๊กๆแต่แกล้งทำเป็นตาย พอพวกว้าเข้ามาใกล้ไพฑูรย์ก็ซัดด้วยปืนพกแบบเผาขนรวดเดียวสาม ที่เหลือเห็นอย่างนั้นก็ล่าถอย ส่างหม่องส่วยยิงด้วยหน้าไม้เอาคืนร่วงจากหลังม้าอีกหนึ่งที่เหลือเผ่นแน่บ

ว่านนางพญาเสือโคร่งมีอิทธิฤทธิ์ทันตาเห็น แต่ไพฑูรย์บอกว่าเมื่อออกจากคุกได้ไปตามหาว่านนางพญาเสือโคร่งที่วางขายในตลาด ปรากฏว่าไม่เหมือนกับที่ไพฑูรย์รู้จักทั้งต้นและหัวว่านแห้งแสดงว่าเป็นว่านปลอมมาแหกตา เมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านได้ไปเห็นว่านนางพญาเสือโคร่งที่บิดาของไพฑูรย์ได้ไปเสาะหามาแล้วเปรียบเทียบกับที่ตลาดว่านก็พบความแตกต่าง พ่อค้าว่านมักแหกตาผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เพื่อขายของปลอม แม้แต่คนที่เขียนตำราว่านก็ผิดๆถูกๆเลยไปกันใหญ่

ไพฑูรย์ให้ข้อคิดว่า ว่านมีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ จะกิน จะทา จะใช้รักษาโรคต้องศึกษาให้ถ่องแท้ ว่านบางชนิดกินเข้าไปแล้วทำให้ไตวาย ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายเสียหายว่านบางชนิดมีฤทธิ์ทำให้ตาบอดหรือหูหนวก พึงอย่าประมาทเป็นเด็ดขาดให้ใช้เฉพาะที่มีผลแน่นอนผ่านการพิสูจน์ เช่น เฒ่าหนังแห้ง,ว่านคางคก,ว่านแร้งคอคำ,และว่านสบู่เลือด เป็นพื้นจะปลอดภัยที่สุด

(ของดีของขลังทั้งหลายกันได้ทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือกันตาย ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกฏแห่งกรรม ทุกคนไม่ว่าใครก็ต้องตายต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักทั้งนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นมาแล้วย่อมตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา พึ่งทำกรรมดีไว้มากๆเถิด จะได้มีความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า)

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: