3620. อาทมาตแซงเสด็จ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ไพฑูรย์พูดทีเล่นทีจริงกับผู้เขียนครั้งหนึ่งว่า อยากถ่ายทอดวิชาอาคมให้ใครสักคนที่สนใจและมีความเคารพในพระวิญญาณแห่งหลวงพ่อเดิม แล้วปลายหางตามาทางผู้เขียน ผู้เขียนรู้อยู่ในทีจึงกล่าวแบบจริงจังกับไพฑูรย์ว่า

“เห็นทีจะรับไม่ได้ครับพี่เรื่องความเคารพในดวงพระวิญญาณแห่งหลวงพ่อเดิมนั้นผมมีเต็มร้อย แต่พลังจิตแกร่งแบบพี่ผมมีไม่เต็มร้อย เรียนไปก็อย่างนั้นแหละ อำนาจพระคาถาไม่อาจขึ้นเต็มร้อยได้ผลุบๆโผล่ๆ ถึงยามคับขันคงจะไม่ดีแน่”

ไพฑูรย์หัวเราะจนตัวโยนก่อนจะพุดกลั้วเสียงหัวเราะว่า
“รู้แล้วล่ะน่าคนเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนคนโบราณ คนโบราณเขาใจเด็ด บอกสู้เป็นสู้ บอกเหนียวเป็นเหนียว บอกอุดเป็นอุด บอกอัดกระบอกแตกก็แตกจริงๆเหมือนกัน ไม่ต้องอะไรมากแค่ท่องคาถาก็ผิดๆถูกๆ ตกๆหล่นๆไม่เป็นโล้เป็นพาย”

ไพฑูรย์เล่าว่าคาถาอาคมมีจริง แต่คนที่จะเรียนคาถาอาคมนั่นซีไม่ค่อยจะจริง ไพฑูรย์เล่าว่าสมัยกรุงศรีอยุธยาปีหนึ่งจะมีการคัดเลือกทหารอาสาที่เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า “ทหารเลือก”

ทหารเลือกคือทหารอาสาที่เป็นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยสมัครเข้าเพื่อเป็นทหารสังกัดกองรักษาพระองค์เรียกว่า “กองแซงเสด็จ” ผู้ที่เป็นคนต่างชาติจะต้องมีความสามารถในการใช้อาวุธพิเศษประจำชาติตน ถ้าเป็นจีนต้องใช้อาวุธประจำตัว เช่น กระบี่ ง้าว ดาบ ทวน ถ้าเป็นแขกมัวร์ก็ใช้ดาบโค้ง ถ้าเป็นชาวยุโรป เช่น โปรตุเกส ฮอลันดา สเปน ต้องยิงปืนแม่นและใช้ดาบได้ดี สำหรับญี่ปุ่นต้องใช้ดาบซามูไรเก่ง และเป็นนักรบที่เรียกกันว่า “นินจา”

ส่วนคนไทยนั้นต้องมีวิชาและอาคมพร้อมกันไป ร่างกายสักยันต์จนมืดไปหมด คงกระพันกันหอกดาบแหลนหลาวง้าวโตมรชาตรีป้องกันการถูกตีถูกทุบ นอกจากเนื้อหนังคงกระพันแล้วยังคงทนไปถึงกระดูกไม่มีแตกมีหัก เรียกกันว่าชาตรี ผู้ทำหน้าที่คัดเลือกคือ “พระสมุหราชองครักษ์”

หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ราชองครักษ์พกดาบ” เป็นราชองครักษ์พวกเดียวที่มีดาบและปืนติดตัว รายล้อมพระตำหนักที่ประทับของพ่ออยู่หัวกรุงศรีอยุธยาเป็นปราการด่านสุดท้ายก่อนเข้าถึงตัวพ่ออยู่หัวในพระบรมมหาราชวังเป็นพระราชมณเฑียรที่ประทับของพ่ออยู่หัว

โดยปกติแล้วพระตำหนักที่ประทับของพ่ออยู่หัว ในหมู่พระราชฐานชั้นในจะห้ามคนเข้านอกออกใน เพราะหากเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้น เช่น เกิดขบถล้มล้างราชบัลลังก์ พวกขบถจะต้องบุกเข้าถึงตัวพ่ออยู่หัวอันเป็นศูนย์อำนาจของแผ่นดิน พวกที่บุกเข้ามาก็เป็นพวกเดนตายมีวิชาอาคมเช่นกัน แต่เป็นพวกทหารรับจ้างทหารล้อมวังจึงมีหน้าที่สำคัญในการปกป้องพระชนม์ชีพของพ่ออยู่หัวเอาไว้ให้ได้

หากถึงเวลาคับขันให้คุ้มกันนำพ่ออยู่หัวเสด็จออกทางช่องลับหนีภัยออกไปภายนอกพระบรมมหาราชวังให้จงได้ เพราะพ่ออยู่หัวทรงเป็นศูนย์รวมอำนาจหากยังทรงมีพระชนม์ชีพจักสามารถมีพระบรมราชโองการระดมทหารผู้จงรักภักดีรบพุ่งทวงคืนราชสมบัติจากพวกขบถได้ในภายหลัง ทหารที่เรียกว่า “ราชองครักษ์พกดาบ” หรือทหารล้อมวังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อาทมาต”

อาทมาตจะเดินทางมาจากทั่วสารทิศเพื่อมารับการคัดเลือกทหารอาสาเหล่านี้ในกรุงศรีอยุธยา ที่นับว่ามีชื่อเสียงที่สุดที่เป็นชาวต่างชาติคือตำแหน่ง“พระราชวังสัน” พระราชวังสันจะควบคุมบรรดาทหารอาสาที่เป็นชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่แล้วทหารอาสาต่างชาติที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็นกองแซงเสด็จจะเป็นผู้นำกันเองและยอมอยู่ในสังกัดของผู้ได้รับพระราชทานตำแหน่งพระราชวังสัน

ส่วนทหารเลือกชาติต่างๆก็จะมีผู้นำของตนเอง ได้รับพระราชทานยศแตกต่างกันออกไป เช่น ตำแหน่งออกญาเสนาภิมุข ที่เป็นญี่ปุ่นในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมที่มีชื่อว่า “ยามาดะ” เป็นชาวญี่ปุ่นที่เป็นนินจา ก็สังกัดพระราชวังสันเช่นกัน ทหารเลือกหรือทหารอาสาพวกนี้จะได้รับพระราชทานที่ดินให้ตั้งเป็นหมู่บ้านของตัวเอง มีสุเหร่าและโบสถ์สำหรับประกอบศาสนกิจตามประเพณีนิยมของตัวเอง

เช่นหมู่บ้านโปรตุเกส หมู่บ้านสเปน หมู่บ้านแขกมัวร์ หรือชาวมุสลิม ที่เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์หมู่บ้านญี่ปุ่นเป็นที่พักอาศัยของลูกเมียทหารอาสาหรือทหารเลือกทั้งในขณะรับราชการหรือเกษียณเนื่องจากอายุมากหรือพิการจากการรบ กับหมู่บ้านจีนอาสาที่คลองสวนพลู มีการขุดพบซากหมู่บ้านโดยนักโบราณคดีชาวไทยเป็นหลักฐานในปัจจุบันสองแห่งด้วยกันคือหมู่บ้านโปรตุเกสกับหมู่บ้านญี่ปุ่น

ทหารเลือกพวกนี้จะเป็นกองแซงเสด็จรายล้อมพระราชฐานที่ประทับของพ่ออยู่หัวทั้งด้านหน้าด้านหลังและด้านข้างเรียกว่า “กองแซงเสด็จจตุรทิศ” มีทหารโปรตุเกสและสเปนที่แม่นปืนทำหน้าที่คอยระวังเหตุด้านบนสองข้างทางเสด็จพระราชดำเนิน เผื่อว่าจะมีผู้ซุ่มดักยิงพ่ออยู่หัวอยู่ด้านบนยอดไม้ที่พ่ออยู่หัวเสด็จผ่านทั้งทางสถลมารถ(บก) และชลมารถ(น้ำ) ยากนักที่พวกขบถจะเข้าถึงตัวพ่ออยู่หัว ยกเว้นเกลือเป็นหนอนในหมู่กองแซงเสด็จ

ท่านผู้อ่านที่เคยชมภาพยนตร์เรื่องสุริโยไท ฝีมือการสร้างและกำกับของท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล จะเห็นได้ว่า “ขุนวรวงศาธิราชพ่ออยู่หัว กับ ท้าวศรีสุดาจันทร์แม่หยัว” ถูกปลงพระชนม์เพราะกองแซงเสด็จร่วมมือกับขุนพิเรนทรเทพกับเหล่าขุนนางฝ่ายเหนือจึงกระทำการได้สำเร็จ

ไพฑูรย์เล่าด้วยความภาคภูมิใจว่าตระกูลพันธุ์เชื้องามเป็นตระกูลอาทมาตที่เข้าไปคัดเลือกเป็นกองแซงเสด็จ สืบเชื้อสายกันมาแม้ในตอนที่พระยาตาก (สิน) เดินทางไปรับพระบรมราชโองการให้เป็นพระยากำแพงเพชรและไปติดพม่าล้อมกรุงก็มีทหารอาทมาตตามไปด้วยจำนวนหนึ่ง ที่เข้าไปเป็นทหารล้อมวังสมเด็จพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ก็อีกจำนวนหนึ่งก็เป็นนักรบจากจังหวัดตากในตระกุลพันธุ์เชื้องามที่ไพฑูรย์ได้รับฟังจากปากของผู้เป็นบิดาแต่ยังเป็นเด็ก

สำหรับผู้เขียนเมื่อได้รับฟังจากปากของไพฑูรย์จึงเกิดแรงบันดาลใจให้ไปค้นประวัติศาสตร์ก่อนกรุงแตก ไปพบวีรกรรมของทหารอาทมาตทะลวงฟันที่ไปรวมตัวกันที่บ้านบางจักร อำเภอวิเศษชัยชาญ มีจำนวนถึง 400 คน ภายใต้การนำของ “ขุนรองปลัดชู” เป็นกองโจรต่อตีตัดกำลังทัพพม่าในเวลาเดียวกันกับวีรชนบ้านบางระจันที่เมืองสิงห์บุรีวาระสุดท้ายของทหารอาทมาตทะลวงฟันใต้การนำของขุนรองปลัดชูคือการที่เนเมียวสีหบดีส่งทหารจำนวน 2,000 นาย อาวุธปืนครบมือเข้าปิดล้อมฆ่าตายทั้งหมด

หลังกรุงแตก และสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราช
สถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี ได้มีการรื้อฟื้นวีรกรรมบ้านบางระจัน บ้านโพธิ์สาวหาญและบ้านสี่ร้อยอันเป็นบ้านเกิดของขุนรองปลัดชูขึ้นมาใหม่เรียกว่า หมู่บ้านสี่ร้อย เพื่อระลึกถึงบรรพชนคือขุนรองปลัดชูกับทหารกล้าอาทมาตที่พร้อมใจกันสู้ตายป้องกันแผ่นดิน สร้างวัดสี่ร้อยและพระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์เพื่อเป็นที่สถิตดวงวิญญาณทั้ง 400 ดวงเอาไว้ชั่วนิรันดร์

ไพฑูรย์มักพูดกับผู้เขียนเป็นประจำว่า ประเทศไทยดำรงเอกราชมาได้จนทุกวันนี้ก็เพราะเรามีสมเด็จพระวีรกษัตรีผู้ทรงเป็นผู้นำของเหล่าทหารหาญเข้าทำศึกปกป้องแผ่นดินไทยมาทุยุคทุกสมัย กับเหล่าวีรชนคนกล้าทั้งที่เป็นคนกล้าทั้งที่เป็นทหารและชาวบ้านผู้เสียสละเลือดเนื้อเพื่อพิทักษ์แผ่นดินสยามให้ได้กลายเป็นประเทศไทยในปัจจุบัน

ตราบใดที่ปวงชนชาวไทยยังคงรำลึกถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่ทุกลมหายใจ แผ่นดินไทยก็จักคงอยู่ชั่วกัลปวสาน แม้ชีวิตคนเราจักอยู่ไม่ถึง 100 ปี แต่ถ้าอยู่เพื่อ ชาติศาสนาพระมหากษัตริย์และความเจริญผาสุกของบ้านเมืองแล้วประเทศไทยจะคงอยู่เป็นที่ซุกหัวนอนของลูกหลานตลอดไป

อย่างที่ผู้เขียนเคยเขียนถึงไพฑูรย์ไว้ว่า ทุกครั้งที่ได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ชาติไทยและการรบของบรรพชนไทยแล้วจะมีสีหน้าและแววตาที่ดูเหมือนว่ารู้สึกเป็นสุขและภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และมักจะยื่นแขนที่มีอาการขนลุกขนพองมาให้ผู้เขียนดูและพูดทีเล่นทีจริงว่า

“คุณมีมีดโกนคมๆบ้างไหม ลองเอามาเถือหนังผมสักหน่อย อย่างลองดูว่าของที่มียังอยู่ดีหรือเปล่า นี่พูดจริงๆนะไม่ได้ล้อเล่น” เสียงที่พูดดังออกไปนอกห้อง ผู้เขียนต้องเอามือเอื้อมไปจับข้อมือไพฑูรย์แล้วกระซิบบอกว่า

“พี่ เดี๋ยวคนในกอง บ.ก. อื่นเขาก็ตกใจปอดแหกกันหมดคนพวกนี้เป็นคนสมัยใหม่ทั้งนั้นไม่ได้เป็นแบบผมทุกคน อยู่ดีๆเอามีดโกนมาเชือดเน้อเถือแขนตัวเองก็เสร็จกันเท่านั้นแหละวงแตกแน่”

เรียกเสียงหัวเราะจากไพฑูรย์ก๊ากใหญ่ ก่อนจะเดินทางกลับไปพูดทิ้งท้ายว่า

“ปางก่อนเราคงเคยร่วมรบร่วมภพชาติกันมากระมัง มาส่งต้นฉบับที่สำนักพิมพ์วัชรินทร์การพิมพ์ทีไรไม่อยากกลับทุกทีผ่าซีเอ้า”

ต้นกำเนิดของคาถาอาคมทั้งหลายอยู่ที่ใจหากกำลังใจอ่อนลงเมื่อใดความคงกระพันก็จะอ่อนลงตาม หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมเหล่าวีรชนคนกล้าที่มีวิชาอาคมพลังจิตกล้าเเข็งถึงต้องตายด้วยคมดาบศัตรูแอดมินว่าคงเป็นเพราะถูกศัตรูล้อมมากเกินไปจนไม่มีทางหนี ถึงมีทางหนีเหล่านักรบเลือดไทยก็ย่อมไม่หนีศัตรูทิ้งพวกพ้องทิ้งแผ่นดินอยู่แล้วแม้ตายก็ขอตายร่วมกันเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยนี่ละครับสายเลือดนักรบไทย

*พ่ออยู่หัวของเราไม่ว่าพระองค์ใดก็ตามพระองค์ทรงสละเลือดเนื้อเพื่อรักษาแผ่นดินไทยให้ร่มเย็นสืบต่อกันมายาวนานและตลอดไปพระองค์ทรงเป็นผู้มีพระคุณอันล้นพ้นยิ่งของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า เราชาวไทยควรน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณท่านเสมอควรจงรักภักดีต่อท่านตลอดทุกลมหายใจ

(ข้าพเจ้าแอดมินเพจนักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียวขอน้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และร่วมถวายความอาลัย)

”ตราบใดที่ปวงชนชาวไทยยังคงรำลึกถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่ทุกลมหายใจ แผ่นดินไทยก็จักคงอยู่ชั่วกัลปวสาน”

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: