3614. สิงโตหินดับโทสะ (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

พระท่านเคยเทศนาว่ามนุษย์ตกอยู่ในกิเลส 3 ตัวคือ ราคะ โทสะ โมหะ ราคะคือตัวกามกิเลสที่ทำให้มนุษย์ฆ่ากันตายด้วยอำนาจแห่งราคะ คือกามอันกาเมสุมิจฉา ผิดเมียผู้อื่น ข่มขืนกระทำชำเราแล้วกลัวความผิดจึงลงมือฆ่าเพื่อปกปิดความผิด เมียเล่นชู้ผัวจับได้จึงฆ่าเสียทั้งเมียทั้งชู้ สุดท้ายก็มาอยู่ในบางขวาง

โทสะคือความโกรธ ทำให้เห็นผิดเป็นชอบ โกรธแล้วเกิดความแค้นตามมาด้วยความอาฆาตพยาบาท ลงท้ายก็มาอยู่ในแดนประหาร โมหะคือความโลภอยากได้ ปล้นฆ่าข่มขืนแล้วมาอยู่ในบางขวาง

มาอยู่ในบางขวางไม่ได้เห็นผู้หญิงราคะก็กำเริบเอาผู้ชายด้วยกันนั่นแหละเสพกามทางก้นเป็นผัวเป็นเมียกันหึงหวงเกิดโทสะฆ่ากันตายด้วย

โมหะตั้งตัวเป็นขาใหญ่เข่นฆ่าแย่งกันเป็นใหญ่ดังที่ไพฑูรย์ได้เคยเล่าและผู้เขียนได้ถ่ายทอดมาเป็นตัวอักษรเป็นลำดับโดยใช้คำว่า

“แย่งข้าวกันกิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันนอน”

แย่งข้าวมีอยู่เป็นประจำยกพวกมายกหม้อข้าวอีกแดนหนึ่งไปหน้าตาเฉย เกิดตีรันฟันแทงกันตาย แย่งน้องที่เป็นเมียผู้ชายฆ่ากันตาย หลายท่านอาจจะอ่านแล้วรู้สึกว่ามันไม่น่าจะไปเป็นไปได้ แต่ขอให้ท่านได้พึงเชื่อเถอะว่า พ.ศ.2480-2500 ยี่สิบปีแห่งการเป็นแดนสนธยา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นหลายคนยังจำได้ หลายคนตายยังไม่ทันได้จำ นับแต่ปี พ.ศ.2475 เป็นต้นมา เสียงปืนแบล็คมันไม่เคยหยุดคำรามนาน การเมืองทำให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารนับแต่ที่ท่านพระองค์เจ้าบวรเดชฯทรงนำกำลังทหารเข้าขับไล่รัฐบาลอันมาจากกลไกของคณะราษฎร์ที่ล้มเจ้าให้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชทรงดำเนินการเพื่อให้ประเทศสยามได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้คนไทยทุกคนได้รู้จักว่าประชาธิปไตยคืออะไรกันแน่ แต่คณะราษฎร์เห็นว่าไม่ทันใจจึงยกกำลังเข้าปิดวังเจ้าทุกวัง ใช้กำลังเข้ากุมพระองค์ไปกักขังไว้ ณ พระที่นั่งอนันตัสมาคม ส่วนหนึ่งทรงเสด็จหนีไปได้ทัน ส่วนหนึ่งถูกกุมพระองค์ไว้เพื่อต่อรอง

บรรดาแกนนำคณะราษฎร์ล้วนเป็นผู้ที่เคยดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเป็นน้ำที่พราหมณ์ได้อ่านโองการแช่งน้ำ เอาหอกดาบแหลนหลาวแทงลงไปในน้ำยิงปืนนกสับขึ้นฟ้า เพื่อให้น้ำนั้นเป็นน้ำที่มีสภาวะเป็น 2 สภาวะ

สภาวะแรกเป็นน้ำทิพย์ ที่ไปได้ดื่มแล้วจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินและต่อชาติบ้านเมือง จะทำให้มีความเจริญรุ่งเรืองวัฒนาถาวรตลอดไปในชีวิตและวงศ์ตระกูล

สภาวะที่สอง เป็นน้ำกรดที่ผู้ที่ได้ดื่มเข้าไปแล้วไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดินและต่อชาติบ้านเมืองจะมีอันเป็นไปต่างๆนานา

คณะราษฎร์ยึดอำนาจแล้วประกาศชัยชนะที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 ใช้ถ้อยคำอันไม่เหมาะสมต่อสถาบันไพฑูรย์บอกว่าให้ไปหาอ่านได้ว่าแถลงการณ์ฉบับนั้นคนไทยทุกคนแม้จะมิได้อยู่ในเหตุการณ์ได้อ่านก็อดที่จะมีโทสะจริตมิได้ แถมยังจะสาปแช่งผู้ร่างแถลงการณ์ให้วิบัติวอดวายไปเสียด้วยซ้ำ ยังไม่พอ ได้หล่อหมุดที่เรียกว่า “หมุดเปลี่ยนแปลงการปกครอง” มาตอกลงไปบนลานพระราชวังดุสิตด้านหลังพระบรมรูปทรงม้า โดยมิได้คำนึงว่าจะกระทบกระเทือนเบื้องพระยุคลบาทดวงพระวิญญาณแห่งพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชพระผู้เลิกทาสแต่อย่างใด

หลังจากพระราชทานรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับแรกแล้วพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงประทับคอยดูว่าคณะราษฎร์จักทำกันอย่างไรต่อไป ปรากฏว่าพระราชอำนาจที่ทรงพระราชทานให้คนไทยทุกหมู่เหล่าถูกคณะราษฎร์นำมาเป็นของตัวเองและพวกพ้อง จึงทรงมีลายพระหัตถ์ถึงหัวหน้าคณะราษฎร์มีความสรุปว่า

“พระราชอำนาจที่เป็นของพระองค์ทรงตั้งพระราชหฤทัยพระราชทานแก่สยามนิกรชนทุกผู้ได้ใช้พระราชอำนาจนั้นโดยรวมมิได้พะราชทานแก่คณะบุคคลใดคณะหนึ่งเพื่อใช้พระราชอำนาจนั้นเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง”

ทรงเสด็จนิราศจากแผ่นดินสยามเพื่อรักษาพระจักษุที่ประเทศอังกฤษ ภายหลังได้ทรงประกาศราชสมบัติประทับอยู่ ณ ประเทศอังกฤษจนเสด็จสวรรคตด้วยโรคพระหฤทัยในที่สุด

คณะราษฎร์หักหลังแก่งแย่งชิงดีฆ่ากันเหมือนผักปลา ไพฑูรย์ว่าแม้แต่ขบถที่เรียกกันว่า “ขบถ ณ เณร” ก็ถูกส่งมาที่บางขวาง ศาลตัดสินประหารฎีกาตกหมด บ้างถูกส่งไปตายที่เกาะตะรุเตา ไพฑูรย์ติดร่างแหไปด้วยเพราะคุณพระกล้าฯ ต้องการให้ตายในเกาะนรกนั้น

คณะราษฎร์ต่างปะสบชะตากรรมอยู่อย่างแสนสาหัสจากอำนาจแห่งน้ำพระพิพัฒน์สัตยาที่ได้ดื่มเข้าไป ถูกพวกเดียวกันยึดอำนาจต้องหนีไปต่างประเทศ คนหนึ่งไปตกระกำลำบากอยู่เมืองญวน สองคนถูกอัปเปหิไปนอกประเทศกลับมาแผ่นดินเกิดในโกศกระดูก คนสุดท้ายข้ามถนนจากหน้ากระทรวงกลาโหมไปที่วัดพระแก้วถูกรถเมล์ขาวชนตายคาที่

ไพฑูรย์บอกว่าภูมิใจที่ไม่เคยมีส่วนได้ร่วมกับคณะราษฎร์เพราะท่านผู้มีพระคุณสงสุดต้องภัยจากคณะราษฎร์ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ไพฑูรย์ย้ำว่าสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วละก็คนไทยทุกคนต้องเทิดทูนเพราะทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรโดยทั่วหน้า แม้อาชญากรที่มีโทษประหารและจำคุกแบบไพฑูรย์ยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ.2500 หรือกึ่งพุทธศักราช มีโอกาสได้เป็นคนดีของสังคมจนได้มายึดอาชีพเขียนประสบการณ์ชีวิตเลี้ยงตัวเอง

ไพฑูรย์เล่าว่าเมื่อตอนที่ยึดอาชีพเป็นยามนั้นได้พยายามระมัดระวังตัวมิให้มีโทสะ เพราะเกรงว่าจะผิดคำสาบานเมื่อออกจากคุกบางขวางว่าจะไม่หวนกลับเข้าไปอีกเพื่อถวายเป็นเครื่องสักการะในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงพระราชทานอภัยโทษ โดยเฉพาะสุราจะไม่ยอมแตะเพราะเป็นเหตุแห่งโทสจริต จนเพื่อนยามด้วยกันหาว่าเป็นคน “ตืด” ไม่ยอมเสียเงินกินเหล้ากับเพื่อนทั้งๆที่ก็อยู่ตัวคนเดียว แต่ไพฑูรย์ก็พยายามไม่ต่อล้อต่อเถียง แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องจนได้

นายเบิ้มหนวดหงอกฉายาของเขามาจากการที่เส้นผมบนศีรษะดกดำแต่หนวดกลับหงอก เลยได้ฉายาว่า “หนวดหงอก” เป็นนายตรวจยามที่มีหน้าที่คอยตระเวนดูว่ายามที่ทำหน้าที่มีหลับยามหรือละทิ้งหน้าที่บ้างหรือไม่

ถ้าไปตรวจงานตรงกะเช้าที่ยามกะดึกออกเวรตอน 08.00 น. ตอนเช้ามักจะชวนยามที่ออกเวรกินเหล้า ใครไม่กินนายเบิ้มจะแสดงท่าทางไม่ค่อยพอใจและเขม่น ไพฑูรย์ได้รับการขอร้องจากหมวดนพเจ้าของบริษัทยามให้มาเข้าเวรแถบสมุทรปราการ เพราะมีของหายบ่อยและเล่าลือว่าผีดุ ไพฑูรย์ไปอยู่ยามได้อาทิตย์เดียวก็เล่นงานผีจนหมอบ แถมยังจับพรรคพวกผีที่เตรียมเข้าโจรกรรมได้อีกสองคน

08.00 น.นายเบิ้มมาตรวจงานตอนเช้าจึงชวนไพฑูรย์กินเหล้ากับยามอีกสองคน แต่ไพฑูรย์ปฏิเสธโดยบอกว่าง่วงนอน นายเบิ้มสันดานอันธพาลออกมาเต็มตัว

“ง่วงนอน ได้ข่าวว่าเก่งนักไม่ใช่หรืออดีตนักโทษชายสิงโตหิน มาอยู่นอกคุกจะมาใหญ่เหมือนในคุกไม่ได้ กูนี่นายตรวจเวร อย่างน้อยมึงต้องเกรงใจกูเพราะกูเป็นคนเขียนรายงาน เงินเดือนจะขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่ที่รายงานกู หมวดนพกับกูร่วมกันก่อตั้งบริษัทมาโว้ย”

“รู้แล้วพี่ว่าพี่ใหญ่ ผมง่วง ผมจะขอไปนอน โอกาสหน้ายังมีนี่ ผมไปละ”

ไพฑูรย์ตัดบทแล้วเดินผ่านไป นายเบิ้มสอดขามาขวางหวังให้ไพฑูรย์สะดุดล้ม แต่สิงโตหินคือสิงโตหิน ยกขาหลบได้ทันแถมยังเหยียบหัวเกือกของนายเบิ้มที่ขัดมันวาวเสียหมองโดยไม่รู้ว่านายเบิ้มแกโกรธนัก หากมีใครมาเหยียบหัวเกือกที่แกขัดไว้อย่างที่เรียกว่า “แมลงวันเกาะลื่นหัวแตก” จนหมอง

“ไอ้สัตว์ เหยียบหัวเกือกกู ต้องเจอส้นตีน”

ไพฑูรย์ไม่ได้หันไปมองแต่เตรียมพร้อมไว้ พอได้ยินเสียงขากางเกงกระพือก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าวอย่างรวดเร็ว แข้งของนายเบิ้มจึงกินลม วิญญาณสิงโตหินเข้าสิง หันมาถีบโครมเข้าให้ที่สะโพกที่จั่วลม ส่งรางของนายเบิ้มลงไปคลุกฝุ่น พอลุกขึ้นมาได้มีดในซองที่เอวของนายเบิ้มก็แทงเข้าใส่ ไพฑูรย์ไม่ทันระวังปลายมีดถูกเข้าที่ลิ้นปี่ดังบุก ไม่เข้าแต่รู้สึกจุก นายเบิ้มหน้าเสียเมื่อเห็นว่ามีดเด้งออกมาแทนที่จะหายเข้าไป ไพฑูรย์หมดความอดทนร้องตวาดว่า

“ไอ้หมาเบิ้มวันนี้มึงตาย”

มีดหมอถูกดึงออกมากระชับมือ เข้ารุกไล่เพียงไม่กี่เพลงนายเบิ้มก็เปิดช่องว่าง ไพฑูรย์สูดลมหายใจเข้าลึกๆตามที่ท่านพระครูผู้ฝึกไพฑูรย์ได้สอนว่า

“โยมเป็นทิดแล้ว จะทำอะไรให้สูดลมายใจเข้าลึกๆแล้วภาวนาว่า สติหนอ ทุกอย่างจะกระจ่าง”

คำว่าสติหนอ ทำให้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงพระราชทานอภัยโทษให้ชีวิตใหม่แก่ตัวเอง ตอนนี้ด้วยโทสะจะทำให้ต้องฆ่าคนตายต้องเข้าบางขวางอีก จึงตัดสินใจลุกไล่แล้วใช้ปลายมีดหมอกรีดที่หน้าอกของนายเบิ้มจนเลือดสาด นายเบิ้มทิ้งมีดหยุดบ้าเพราะไม่เคยมีใครเอาเลือดแกออกได้ แกถึงถอดใจร้องว่าฝาก หมวดนพเรียกไพฑูรย์ก่อนเถอะมึง

อีกสามวันต่อไป หมวดนพเรียกไพฑูรย์ไปพบ แจ้งให้ทราบว่านายเบิ้มหนวดหงอกนอนเจ็บอยู่โรงพยาบาลแผลที่ถูกปลายมีดกรีดเป็นพิษ ไพฑูรย์มีทางแก้หรือไม่ ไพฑูรย์นึกขึ้นได้จึงยกมือไหว้หมวดนพ บอกว่าผมจะไปแก้ให้ ไพฑูรย์ไปที่โรงพยาบาลกลาง ดึกนายเบิ้มนอนไข้กินด้วยพิษบาดแผล ไพฑูรย์ยกมือไหว้ขอโทษแล้วเอาขวดน้ำที่ไพฑูรย์ได้เอาด้ามมีดหมอฝนกับฝาละมีหม้อดินเอาน้ำมาแก้พิษใบมีด

“น้ำมนต์นี้พี่เบิ้มเอาทาแผล อย่าให้พยาบาลเห็นเขาจะไม่ยอมให้ทำ เป็นน้ำล้างอาถรรพ์มีดหมอหลวงพ่อเดิม”

เมื่อนายเบิ้มออกจากโรงพยาบาลได้มาพบกับไพฑูรย์ต่อหน้าหมวดนพและกล่าวขอบคุณไพฑูรย์ที่มีน้ำใจ แม้จะแทงให้ตายก็ทำได้แต่กลับเอาเพียงบาดเจ็บ แถมยังแก้อาถรรพ์มีดให้ด้วย ชวนไพฑูรย์กินเหล้า หมวดนพจึงรับเป็นเจ้ามือในวงเหล้า หมวดนพได้ให้ไพฑูรย์เลื่อนเป็นผู้ตรวจการณ์ยามแทนคนเก่าที่ลาออกไปเป็น รปภ.นักธุรกิจ นั่นคือตำแหน่งสุดท้ายของไพฑูรย์ในงานเป็นไทยยามก่อนมาเป็นนักเขียน

สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพของชาวไทยมาเเต่โบราณมันผู้ใดที่ถืออำนาจมาล้มล้างหรือลบหลู่มันผู้นั้นต้องไม่ตายดีและไม่มีของดีใดๆคุ้มครอง

(ของดีของขลังทั้งหลายกันได้ทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือกันตาย ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกฏแห่งกรรม ทุกคนไม่ว่าใครก็ต้องตายต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักทั้งนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นมาแล้วย่อมตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา พึ่งทำกรรมดีไว้มากๆเถิด จะได้มีความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า)

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: