3613. บารมีเสือผาด ทับสายทอง (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

มีผู้ถามไพฑูรย์แบบตีแสกหน้าว่า “ภูมิใจนักหรือที่เขียนประวัติตัวเองเป็นตัวอย่างของอาชญากร ที่อาจทำให้เด็กหรือวัยรุ่นที่ได้อ่านเปลี่ยนเส้นทางเดินไปสู่เส้นทางอาชญากรรมโดยการหลงผิด” ไพฑูรย์จะตอบเหมือนกันทุกครั้งว่า

“ผมไม่เคยคิดว่าผมภาคภูมิใจในความเป็นอาชญากร แต่ผมได้สะท้อนภาพให้เห็นว่าคนเรามิได้เกิดมามีสันดานเป็นอาชญากรเพราะถูกกลั่นแกล้งบีบบังคับให้ต้องเป็นอาชญากรใจเหี้ยมจากผู้ที่มีภาษีเหนือกว่า ถูกผู้มีอิทธิพลรังแกอย่างป่าเถื่อน ทุกครั้งที่ผมเขียน ผมจะย้ำเสมอว่าอาชญากรรมไม่เคยทำให้ใครได้ดี มีแต่จะตกนรกทั้งเป็น ยิ่งมาอยู่บางขวางด้วยแล้ว สมัยก่อนมันคือนรกบนดินโดยแท้ แย่งข้าวกันกิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันนอน แย่งคู่กันนอนนี่ร้ายที่สุดถึงกับฆ่ากันตาย ถึงกับเอามีดแทงสวนทวารหนักแล้วคว้านจนตายคามือ

“แม้ว่าผมจะมีผ้ารอยเท้า มีดหมอ และกระชายดำ แต่ก็มิอาจพ้นจากการถูกจับ เข้าคุกครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกซ้อมสามสลบก็เคย กว่าจะได้คิดกลับตัวรับใช้ทางราชทัณฑ์เป็นพี่เลี้ยงนักโทษจนได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ.2500 กึ่งพุทธกาลพอดี ทุกคนหนีไม่พ้นกรรม ผมทำมาหากินด้วยสัมมาอาชีพ หาเลี้ยงตัวเองด้วยการเขียนย้อนความทรงจำก็เท่านั้นเอง”

ไพฑูรย์ได้เล่าว่าถึงเสือผาด ทับสายทอง ที่เป็นคนดีคนหนึ่งก่อนที่จะกลายเป็นเสือ เสือผาดเป็นหนุ่มใหญ่ที่มีความเป็นลูกผู้ชายทุกกระเบียดนิ้ว เป็นคนมีความรู้เกลียดการเอารัดเอาเปรียบเมื่อชาวบ้านตาสีตาสามาปรึกษาเขาก็ให้คำปรึกษา และช่วยเป็นธุระให้ จนเป็นที่เกลียดชังของบรรดานายทุนรับจำนองที่ดิน และกำนันอิทธิพลที่เป็นหัวหน้าแก๊งขโมยวัวควายของชาวบ้านไปแล้วตัวเองทำตัวเป็นพ่อพระติดต่อไถ่วัวควายคืนมา หนุ่มผาดช่วยเป็นธุระให้ชาวบ้านร้องเรียนพฤติกรรมของกำนันต่อทางราชการ

ด้วยเส้นสายและอำนาจเงิน กำนันรอดจากข้อกล่าวหามาได้ด้วยหลักฐานอ่อน แต่ก็ทำให้ชื่อเสียงของเขาในวงราชการเสียหายเป็นที่เพ่งเล็งของทางการ กำนันผู้นั้นถึงกับกล่าวกับลูกน้องในวงเหล้าว่า

“กูจะเอาไอ้ผาดเข้าคุกให้ได้ มันรู้จักกูน้อยไป”

หนุ่มผาดถูกบุกจับกุมข้อหาขโมยควายสองคู่ มีหลักฐานเจ้าทรัพย์ยืนยัน และพบควายอยู่ในป่าละเมาะใกล้เขตบ้าน ตำรวจจับกุมตัวแจ้งข้อหาร่วมกับผู้อื่นที่ยังหลบหนี เป็นซ่องโจรลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลาวิกาล ตำรวจทำสำนวนแน่นหนา ทางอัยการส่งสำนวนฟ้องศาล ศาลพิพากษาจำคุกไม่รอลงอาญา ต้องนอนคุกเพราะหาเงินประกันระหว่างอุทธรณ์ ฎีกา ไม่ได้ศาลฎีกายืน เสือผาดติดคุกที่เรือนจำนครปฐม เสือผาดบอกกับเพื่อนสนิทว่า

“กูจะแหกคุกออกมาล้างแค้นทุกคน ที่เอาตราบาปมาทำลายชีวิตกู”

หนุ่มผาดแหกคุกออกมาได้บุกเข้าไปยิงกำนันอิทธิพล ยิงจ่าตำรวจที่ร่วมทำหลักฐานเท็จและจับกุม เว้นเพียงเจ้าของควายที่สารภาพว่า ที่ทำไปเพราะเกรงอิทธิพลของกำนัน ที่บอกว่าหากไม่ใส่ร้ายตามแผนจะฆ่าล้างครัวเมื่อถูกบังคับเสือผาดก็เว้นชีวิตให้ เสือผาดเป็นลูกบุญธรรมของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม พ่อพาไปฝากไว้ตั้งแต่เด็ก เคยเดินตามหลวงพ่อเงินออกบิณฑบาต

เมื่อยังไม่ได้เป็นเสือหลวงพ่อเงินได้ทำตะกรุดโทนให้หนึ่งดอก เป็นตะกรุดที่มีอานุภาพสูงตราบใดที่เสือผาดเหยียบเท้าอยู่บนแม่พระธรณีแล้ว อาวุธใดก็ล้มเสือผาดมิได้ เสือผาดได้รวบรวมสมัครพรรคพวกปล้นเจ้าทรัพย์ที่เป็นคนรวย เป็นเศรษฐีหน้าเลือดเอาเงินแจกคนจน เป็นเสือที่ชาวบ้านรัก จึงช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเสือผาด การตามล่าเสือผาดจึงเป็นไปด้วยความยากลำบากสายตรวจหลายคนแทบเอาชีวิตไม่รอด

เสือผาดเป็นเสือที่แปลกกว่าเสืออื่น น้องสาวเสือผาดเล่าว่าก่อนที่จะออกทำการปล้น เสือผาดจะสวดมนต์ไหว้พระเป็นชั่วโมง ส่วนชาวบ้านเรียกเสือผาดติดปากว่า “คุณพระผาด” ทั้งนี้เพราะเสือผาดจะแต่งเครื่องแบบปลอมเป็นตำรวจยศร้อยตำรวจเอก ซึ่งตอนนั้นมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงพระเลยเรียกว่า “คุณพระผาด”

เสือผาดปล้นไปทั่วในเขตภูธรภาค 7 อันประกอบด้วย จ.นครปฐม จ.สุพรรณบุรี จ.กาญจนบุรี ผู้กำกับตำรวจภูธรภาค 7 หลายท่านพยายามล่าเสือผาดอย่างเต็มฝีมือ แต่ก็ไม่เคยเข้าใกล้ตัวเสือผาดได้เลย จนมาถึงท่าน พล.ต.ต.ประชา บูรณธนิต ฉายานายพลหนังเหนียวหนวดงาม ได้ไปเป็น ผกก.ภ.ภาค 7 ได้ส่งนายตำรวจมือดีไปควานหาตัวเสือผาดแต่ไม่เคยได้เบาะแส คล้ายกับว่าเสือผาดหายไปจากโลกนี้

นายพลหนวดงามจึงเข้าพบหลวงพ่อเงินเทพเจ้าแห่งดอนยายหอม เพื่อให้ติดต่อกับเสือผาดเพื่อขอดูหน้าตาและเจรจากัน เหตุการณ์ตอนนี้ผู้เขียนได้นำมาจากหนังสืองานศพของท่าน พล.ต.ต.ประชา บูรณธนิต โดยเป็นบันทึกของท่านความว่า

เสือผาดบอกผ่านหลวงพ่อเงินว่ายินดีพบแต่ขอให้ท่าน ผกก.มานอกเครื่องแบบ มาคนเดียวห้ามมีผู้ติดตามมาด้วย ห้ามพกอาวุธ เสือผาดก็จะมาแบบคนธรรมดาคนหนึ่ง มีหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นประธาน เมื่อถึงวันนัดท่านก็ไปพบตามนัดที่กุฏิหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เสือผาดเดินตามหลังหลวงพ่อเงินมาติดๆ หลวงพ่อเงินเดินผละออกไปยืนดูอยู่ห่างๆท่านนายพลได้เขียนไว้ดังนี้

“เสือผาดอยู่ในชุดกางเกงขายาว เสื้อฮาวาย ดูหน้าตาแล้วจัดว่าเป็นคนรูปร่างดีหน้าตาหล่อ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นดาวโจรปล้นฆ่าที่มีค่าหัวสูง เขาพูดจาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ดวงตาเป็นปกติ ไม่มีวี่แววแห่งความโหดเหี้ยม ถ้าพบกันในที่ชุมนุมชนแล้ว ไม่บอกว่าเป็นเสือผาดก็จะไม่รู้เลยว่าเป็นเสือผาด ทับสายทอง”

ผลการเจรจา เมือผาดรับปากตกลงว่าด้วยความเคารพที่ท่านนายพลมีเมตตาพักรบมาขอดูตัวจริง เสือผาดรับปากว่าจะไม่ก่อเรื่องในเขต บก.ภูธร 7 ตราบใดที่ท่านนายพลหนวดงามยังเป็นผู้กำกับการเสือผาดจะไม่ก่อคดีปล้น แต่จะไปปล้นในเขต บก.ภูธร ที่อื่นใกล้เคียง นับแต่นั้นมาเสือผาดก็ไปปล้นที่อื่น เช่นที่ จ.อยุธยา จ.อ่างทอง จ.สิงห์บุรี จ.ชัยนาท จนกระทั่งท่าน พล.ต.ต.ประชาย้ายไปอยู่กองกำกับการอื่น เสือผาดจึงกลับมาอาละวาดในเขต บก.ภูธร 7 อีกครั้ง

ตำรวจหมดหนทางได้ตัวเสือผาด จึงวางแผนส่งตำรวจปลอมไปเข้าเป็นลูกน้องเสือผาด โดยให้ ร.ต.ต.(ไพฑูรย์บอกว่าจำชื่อไม่ได้) เป็นผู้วางแผน โดยล่อให้เสือผาดพาพวกเข้าปล้นโรงสีข้าวที่คุ้งพะยอม จ.ราชบุรี ทำไมต้องโรงสีข้าว ก็เพราะ ร.ต.ต.คนนี้เป็นมือปราบมาตั้งแต่เป็นนายสิบ จนได้เป็นนายร้อยสัญญาบัตร รู้ดีว่าหากจะยิงเสือผาดได้ ต้องยิงขณะเสือผาดเท้าลอยจากพื้นเท่านั้น

อันโรงสีที่เสือผาดเข้าปล้นเป็นโรงสีที่มีทางเข้าออกทางเดียวคือทางด้านหลังที่เป็นตลาด ด้านหน้าติดแม่น้ำ เมื่อเสือผาดเข้าปล้นแล้วตำรวจปิดท่าน้ำเสือผาดก็หมดทางหนี นอกจากฝ่าออกไปทางด้านตลาด เสือผาดไม่รู้เลยว่าถูกล่อมาติดกับ พอยกพลขึ้นจากเรือบุกเข้าที่ทำการโรงสี ตำรวจที่ปลอมตัวก็ประกาศให้ยอมจำนนแต่เสือผาดประกาศสู้ตาย

ตำรวจยิงต้อนให้เสือผาดเข้าไปในโกดังเก็บข้าวสาร ที่มีกระสอบซ้อนกันไว้เป็นกำแพง มีทางเดินแคบๆด้านล่าง เสือผาดต้องกระโดดลอยตัวไปมาระหว่างกองกระสอบข้าวสาร ร.ต.ต.คนดังกล่าวจึงยิงตัดข้อเท้าเสือผาดในขณะที่กระโดดข้อจนเท้าทะลุ เสือผาดโยนระเบิดมือใส่ ร่างของ ร.ต.ต.ก็เละคากองข้าวสาร เสือผาดแหวกวงล้อมออกไปทางด้านหลังโรงสีที่ติดกับตลาดคุ้งพะยอม ที่ตำรวจปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา

เสือผาดยิงเปิดทางให้ลูกสมุนหนี ส่วนตัวเองถูกระดมยิงจนแน่นิ่ง ตำรวจได้เข้าไปรุมช่วยกันทุบด้วยพานท้ายปืนยาว จนเสือผาดตายด้วยความบอบช้ำอวัยวะภายในแตก ตามเนื้อตัวมีรอยกระสุนหลายขนาดหลายสิบนัดซึ่งมีแต่เพียงรอยไหม้เกรียม มีรูกระสุนเพียงนัดเดียวที่ข้อเท้าที่ถูกยิง ขณะกระโดดตัวลอยอยู่ในอากาศ ด้วยความแค้นลูกน้องเสือผาดจึงวางเพลิงเผาตลาดคุ้งพะยอมจนราบเป็นหน้ากลองก่อนหลบหนีตำรวจที่เป็นสายให้ล่อเสือผาดไปติดกับถูกบุกยิงตายหน้าโรงลิเกต่อหน้าผู้คน มือปืนประกาศว่า แก้แค้แทนคุณพระผาด ชาวบ้านไม่มีใครยอมเป็นพยาน เพราะเคารพคุณพระผาด และเกลียดขี้หน้าตำรวจ ที่เอาศีรษะคุณพระผาดไปเสียบประจาน

ตำรวจได้นำตัวเสือผาดไปทำการชันสูตร แล้วให้ศัลยแพทย์ตัดศีรษะออกจากลำตัวไปเสียบประจานไว้บนขาหยั่งด้านหลังองค์พระปฐมเจดีย์ หนังสือพิมพ์ทุกฉบับประโคมข่าวตรงกัน ตำหนิการกระทำของตำรวจอย่างรุนแรงจนท่านอธิบดีกรมตำรวจ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ต้องสั่งให้นำศีรษะเสือผาดกลับมาเย็บติดกับลำตัวหลังประจานไว้ได้เพียง 3 วัน เป็นรอยด่างที่ยังคงเปื้อนกรมตำรวจจนถึงทุกวันนี้

ที่ไพฑูรย์เล่ามานั้นเพื่อให้เห็นว่า เสือผาดเป็นคนดีที่สังคมควรยกย่อง แต่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองผลักไสไล่ส่งให้เขาต้องกลายเป็นคนขี้คุก เสือผาดเห็นแล้วว่ากฎหมายบ้านเมืองไม่อาจเรียกร้องความเป็นธรรมด้วยตัวเอง กฎหมายก็บอกว่าเป็นการกระทำอันมิชอบก่อให้เกิดความเดือดร้อนให้สังคม ต้องให้ฉายาว่าไอ้เสือ เป็นอาชญากรเหมือนที่หนังสือพิมพ์เรียกไพฑูรย์ว่า “เสือไพฑูรย์”

ไพฑูรย์จึงเขียนมาเล่าเรื่องที่เขาได้รับมาในระหว่างเป็นนักโทษประหารและมีคดีจำคุกเป็น 100 กว่าปี เป็นการหาเลี้ยงตัวเอง ไพฑูรย์บอกว่าชีวิตมนุษย์ท่านว่าไว้ว่า “ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน” แต่ไพฑูรย์ถูกผลักไสให้เป็นอาชญากรแบบไม่ให้ผุดให้เกิด จึงให้ฉายาว่า “จอมอาชญากร” เพราะคงไม่มีชีวิตอาชญากรคนไหนในโลกที่จะโลดโผนพิสดารไปกว่าชีวิตตนเองใต้ฤกษ์ดาวโจร และเขียนเรื่องราวทุกตอน เล่าเรื่องราวทุกประโยคที่เป็นความจริง ก่อนจบขอฝากคาถาฝากชีวิตกับแม่พระธรณีว่าดังนี้

กลั้นใจเอาปลายหัวแม่เท้าขวาถ้าสวมรองเท้าแตะ ถ้าสวมรองเท้าให้ใช้หัวรองเท้าจิกพื้นดินแทนให้ภาวนาว่า

“เม อะ มะ อุ แม่พระธรณีเอ๋ย แม่อยู่แล้วหรือ อยู่แล้ว คุ้มชีวิตลูกด้วยเถิด”

จากนั้นจึงออกเดินไม่มีอันตรายใดๆมาแผ้วพานจนกลับเข้าบ้านโดยปลอดภัย นี่เป็นคาถาเหยียบแม่พระธรณีที่นักเลงและเสือโบราณ ไม่เว้นแม้คุณพระผาดใช้ภาวนาเหยียบแม่พระธรณีคุ้มชีวิต
ก่อนประสิทธิ์นำมาใช้ควรใส่บาตรให้หลวงพ่อเงิน อาจารย์ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม และเสือผาด ทับสายทองด้วยจะยิ่งขลังมากครับใส่บาตรวันพฤหัสบดีนะครับซึ่งเป็นวันครูเหมาะจะเรียนวิชาอาคมต่างๆ

(ของดีของขลังทั้งหลายกันได้ทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือกันตาย ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกฏแห่งกรรม ทุกคนไม่ว่าใครก็ต้องตายต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักทั้งนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นมาแล้วย่อมตั้งอยู่และดับไปเป็นธรรมดา พึ่งทำกรรมดีไว้มากๆเถิด จะได้มีความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า)

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: