3612. เดชเสลดพังพอน (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ข้าวแดงแกงคุกไพฑูรย์บอกว่าทำให้ชาวคุกมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง นักโทษชายไพฑูรย์กินข้าวคุกบางขวางมื้อแรกรู้สึกกินของฝืดคอเพราะข้าวที่กินเป็นข้าวแดง หรือที่เรียกว่าข้าวกล้องที่สีแบบไม่ขัด เวลาหุงจึงมีผิวข้าวที่หยาบกระด้าง ผิดกับข้าวที่สีขัดที่ไม่มีผิวข้าวคลุมอยู่

ไพฑูรย์อยู่นอกคุกเคยกินแต่ข้าวที่สีขัดจึงรู้สึกแค้นคอเป็นอย่างยิ่ง เคี้ยวๆไปก็เจอกรวดเม็ดเล็กๆ เคี้ยวกร้วมเสียวฟันไปทั้งปาก แกงส้มผักบุ้งมีแต่ผักบุ้งมองไม่เห็นชิ้นปลา มีแต่กลิ่นปลาจางๆ ต่างคนต่างรีบกินแย่งกันกินอิ่มไม่อิ่มก็ไม่รู้ละหมดแล้วหมดกัน ปกติแล้วนักโทษที่เข้าไปใหม่จะต้องถูกหามออนเหวง (ขนอุจจาระ) แต่
ด้วยบารมีของท่านผู้มีพระคุณทำให้ไพฑูรย์ไม่ต้องหามออนเหวง

สมัยนั้นบางขวางถือเป็นแหล่งที่เรียกกันว่า “สถานดัดสันดาน” ไม่ได้เรียกว่า “เรือนจำ” ทั้งนี้เพราะผู้ที่สร้างเรือนจำบางขวางได้เอาตัวอย่างมาจากเรือนจำในไซบีเรียที่มีอากาศหนาวตลอดปี พรรคคอมมิวนิสต์รัสเซียที่เรียกตัวเองว่า “บอลเชวิก” จะส่งตัวบรรดาขุนทหาร ข้าราชการ เชื้อพระวงศ์ กับบรรดาผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติของกองทัพแดงไปใช้แรงงานหนักในค่ายนรกแห่งนั้น เรียกว่าหากศาลประชาชนสั่งว่า “ส่งมันไปไซบีเรีย” คือคำสั่งประหารให้ไปตายทั้งเป็น

ระบบรักษาความปลอดภัยเอาตัวอย่างมาจากค่ายนรกนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีทั้งหอคอยเฝ้าระวังแปดทิศ มีหอคอยกลางคอยควบคุมด้วยไฟฉายขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่มีอาวุธครบมือคอยเฝ้าระวัง บนกำแพงมีแท่งเหล็กพร้อมลวดหนามที่เดินกระแสไฟฟ้าเป็นพันโวลต์ ใครไปแตะเข้าจะติดคาเด่อยู่กับที่ แต่สำหรับไพฑูรย์เขาบอกว่า สิ่งเหล่านั้นไม่อาจขวางกั้นเขาจากการแหกคุกได้ เพราะกลิ่นแห่งอิสรภาพมันหอมหวานยิ่งนัก รู้ก็ทั้งรู้ว่าหากพลาดถูกจับกลับมาจะถูกลงโทษอย่างหนักตั้งแต่ 1-2-3 สลบ ไพฑูรย์มักพูดว่ามันเป็นเมนูพิเศษ

แกงส้มมะรุม ผู้คุมจะรุมกันเตะต่อยด้วยกระบอง (กระบองเท่ากับฝักมะรุมจนสลบ)

ยำตีนเป็ด คือการเตะด้วยรองเท้าไอ้โอ๊บหุ้มข้อจนสลบ ฯลฯ
ทำเหมือนกับนักโทษมิใช่คน แต่เป็นสัตว์ร้ายที่ถูกส่งเข้ามาดัดสันดานในสถานดัดสันดานแห่งนี้ แต่หลังจากปี พ.ศ.2500 ที่ไพฑูรย์ได้รับพระราชทานอภัยโทษมาจากบางขวาง ไพฑูรย์ไม่อาจจะรู้ได้ว่าเหมือนตอนที่อยู่ในคุกบางขวางหรือไม่

การหนีของไพฑูรย์เขาเล่าว่าหลายครั้งต้องซอกซอนไปในป่าดงดิบเพื่อป้องกันการติดตามล่าของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง สิ่งที่น่ากลัวในป่าไม่ใช่เสือโคร่งแต่เป็นงูจงอาง เพราะในป่าทึบงูจงอางเป็นงูพิษที่มีชุกชุมมาก ปกติมันจะไม่โจมตีคนง่ายๆ ยกเว้นในสองกรณีคือ ในขณะที่มันผสมพันธุ์ ใครหลงเข้าไปละก็มันจะเลื้อยไล่ฉกแบบเอาเป็นเอาตาย กับตอนตัวเมียหวงไข่ ใครหลงเข้าไปละก็ตายกันไปข้างหนึ่ง

งูเห่าแผ่แม่เบี้ยสูงจากพื้นดินประมาณหนึ่งศอกกว่าๆ แต่งูจงอางมีความยาวกว่างูเห่าสามถึงสี่เท่า เวลามันจะฉกมันจะพุ่งตัวขึ้นไปสูงเป็นเมตร โดยเหลือส่วนลำตัวตอนที่ต่ำกว่าสะดือเท่านั้นที่อยู่บนพื้นดิน เวลามันฉกหัวลงนั้นเร็วมาก กัดแล้วโอกาสรอดแทบจะไม่มี ไพฑูรย์เล่าว่าตอนนั้นดั้นด้นไปที่แถบดอยกองมู ไม่เคยคิดว่าจะหลงเข้าไปในดงงูจงอาง

ได้ยินเสียงไก่ป่าขันและร้องดังมาข้างหน้า มันคือเสียงของอาหารที่วิเศษที่สุดในป่า ไก่ป่าย่างอะไรจะมาอร่อยเหมือนไพฑูรย์ดึงปืนขึ้นมากระชับมือย่องกริบอ้อมไปทางต้นเสียง ไก่ป่าจริงๆกำลังกรีดปีกล่อตัวเมีย ปืนในมือเล็งศูนย์เข้าหาเป้าหมายยังไม่ทันเหนี่ยวไก หูได้ยินเสียงแกรกๆ คล้ายใครมากวาดใบไม้แห้งบนพื้นดิน จึงหันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เสี้ยววินาทีก็มองเห็นแม่เบี้ยลอยอยู่ในอากาศเหนือพื้นดินเป็นเมตร ไม่ทันจะหลบมันก็ฉกลงมา สัญชาตญาณทำให้ล้มตัวลงเขี้ยวพิษทะลุกางเกงยีนส์ลงไปบนหน้าขา

ทันใดก็มีเสียงขวับ หัวงูขาดกระเด็น มองไปเห็นชายหนวดเคราดกในมือถือมีดเดินป่าก้มหน้าลงมาดูก่อนจะใช้ปลายมีดพกกรีดแหวะกางเกงยีนส์รอบบริเวณที่ไพฑูรย์ถูกงูกัด ก่อนจะใช้เชือกรัดหน้าขาเหนือแผลที่ถูกงูกัด แล้วพยุงร่างของไพฑูรย์เข้าไปพิงกับโคนไม้ พูดด้วยภาษาไทยกลางชัดเจน

“เอ็งเป็นใครถึงดั้นด้นมาถึงที่นี่ได้”

ไพฑูรย์บอกว่าขากรรไกรมันแข็ง ตัวเย็นเฉียบ ขยับปากไม่ได้ คิดว่าอย่างไรเสียก็ต้องตายจากนั้นความรู้สึกก็ดับวูบไป จะนานแค่ไหนไม่รู้ได้ มารู้ตัวก็นอนในกระท่อมในป่ามุงด้วยใบแฝก ที่หน้าขามีผ้าพันแผลพันอยู่ ตรงปากแผลมียาพอก อาการตัวเย็นและขากรรไกร
แข็งไม่ปรากฏอาการ ชายหนวดเคราดกเดินเข้ามาที่ไพฑูรย์นอนอยู่

“ฟื้นแล้วเรอะ ไม่ต้องห่วงทรัพย์สินปืนกระสุนอยู่ครบ ไอ้พรานปิ่นคนนี้ไม่เคยอยากได้ของๆใคร ข้าฯ รักษาพิษงูให้แล้วพิษมันหมดแล้วเหลือแต่อาการอักเสบที่ปากแผลที่ถูกงูจงอางกัดเท่านั้น ไม่น่าเซ่อซ่าเข้าไปในดงจงอางที่มันกำลังออกล่าไก่ป่าเลยเกือบจะตายโหงแล้วไหมล่ะ”

ไพฑูรย์ยกมือไหว้พรานปิ่นก่อนจะตอบว่า

“กำลังจะยิงไก่ป่ามาย่างกิน ได้ยินเสียงแกรกๆ ด้านหลังพอเห็นเต็มตาก็สายไปแล้ว”

พรานปิ่นเล่าให้ฟังว่าได้ทำยาแก้พิษงูเห่าและจงอางจากสมุนไพรป่าหลายชนิด โดยตากแห้งแล้วตำให้เป็นผงหยาบๆเวลาจะใช้ต้องเอาต้นเสลดพังพอนตัวผู้สดๆมาตำ คั้นน้ำมาผสมกับยาผงนำมาพอกพร้อมกับต้นที่ตำแล้วพันด้วยผ้า เปลี่ยนทุก 3 ชม. ยาจะซึมเข้าไปทางบาดแผล หยุดการไหลของพิษ ทำให้พิษเป็นกลาง มันคือเซรุ่มวิเศษของปู่ย่าตาทวดตกทอดกันมา

ไพฑูรย์พึมพำคำว่าเสลดพังพอนเพื่อจดจำ ก่อนที่พรานปิ่นจะถามถึงความเป็นมาของไพฑูรย์ ไพฑูรย์ไม่ปิดบัง พรานปิ่นหัวเราะชอบใจเอามือตบเข่า

“กูว่าแล้วไอ้อีหรอบนี้ละก็เสือคนเข้าป่าหนีพรานมือกฎหมาย”

ไพฑูรย์พักอยู่กับพรานปิ่นเจ็ดวันจนแข็งแรงดีจึงจะออกเดินทางต่อไป ไพฑูรย์มอบปืนพกลูกโม่ตราม้า ขนาด .45 ให้กับพรานปิ่นพร้อมเครื่องกระสุนพรานปิ่นจะไม่รับแต่ไพฑูรย์บอกว่าขอให้รับไว้เพราะบุญคุณคราวนี้ใหญ่หลวงนัก อีกอย่างเห็นมีแต่ปืนแก๊ปโบราณไม่ทันสมัย หากได้โคลท์ตราม้านี้ไว้จะเป็นการดีมาก นั่นแหละพรานปิ่นจึงยอมรับและนำไปทดลองยิง พรานปิ่นขอให้พักอยู่อีกสักคืน คืนนี้จะทำอาหารเลี้ยงส่งเพราะมีเหล้าของพวกชาวเขาที่เอาเนื้อเก้งไปแลกกับเหล้าและสมุนไพรหลายอย่างกับพวกมูเซอ

หลังจากเหล้ากับเนื้อเก้งพร่องไปโข พรานปิ่นก็เล่าประวัติความเป็นมาให้ฟังว่าเดิมพรานปิ่นชื่อแทน เป็นชาวกำแพงเพชร มีอาชีพทางหาของป่า มีเมียชื่อศรีลา อาชีพหาของป่าไม่ค่อยได้อยู่บ้านความสัมพันธ์มันไม่แนบแน่น

ที่สุดคืนหนึ่งกลับจากป่ามาใกล้ถึงกระท่อมพักเห็นตะเกียงวอมแวมนึกว่าศรีลาคงยังไม่นอนแต่รออยู่ จึงค่อยๆ ย่องเข้าไปกะว่าจะทำให้ตกใจ พอมองลอดฝาแตกเข้าไปในห้องนอน อ้าว ศรีลากำลังนัวเนียกับกำนันปันอย่างสนุกสนาน ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไปบ้าง มารู้ตัวอีกที ในมือถือมีดเดินป่า เนื้อตัวและมือเปื้อนเลือดเต็มไปหมด มีศพของกำนันปันและศรีลาในลักษณะเปลือยกายนอนตายอยู่กับพื้นห้องนอน มีรอยถูกแทงถูกฟันจนแหลกเละ จึงตัดสินใจหนีเข้าป่ามาจนถึงดอยกองมู เปลี่ยนชื่อเป็นปิ่นดำเนินอาชีพเป็นพรานได้เมียเป็นมูเซอ แต่ตายทั้งกลมจึงไม่คิดมีเมียอีก หนีคดีจนกระทั่งเรื่องเงียบจึงได้มาเจอไพฑูรย์ถูกงูจงอางฉกได้เข้าช่วยชีวิตไว้

ก่อนเดินทางออกจากบ้านพรานปิ่นๆได้มอบผงยาแก้พิษงูให้ห่อหนึ่ง และพาไปดูต้นเสลดพังพอนเพื่อให้จำได้ อธิบายให้รู้ถึงถิ่นที่เกิดต้นเสลดพังพอน และได้จดตำรายางผงแก้พิษงูให้ด้วย ซึ่งไพฑูรย์ได้ไปให้ร้านเจ้ากรมเป๋อจัดบดให้หนึ่งโหลใหญ่ ใช้ชีวิตหนีเข้าป่าเพื่อช่วยชีวิตตัวเองและผู้ถูกงูกัด ส่วนต้นเสลดพังพอนในป่าภาคกลางและภาคเหนือหาไม่ยาก หากใครสนใจจะปลูกไว้ในบ้านต้นเสลดพังพอนมีขายที่สวนจตุจักร กระถางละไม่กี่สิบบาทไปซื้อมาปลูก

พรานปิ่นบอกว่าเป็นต้นไม้ที่แก้พิษงูโดยเฉพาะ ควรมีไว้ประจำบ้าน แม้ไม่มียาผงที่ผสมก็ใช้ต้นเสลดพังพอนทั้งห้าคือ เอาทั้งใบ ต้น ราก มาตำคั้นน้ำกิน กากพอกปากแผลที่ถูกงผุกัดจะช่วยชีวิตคนถูกงูกัดไว้ได้เหมือนกัน ไพฑูรย์เล่ามาถึงตรงนี้แล้วหัวเราะบอกกับผู้เขียนว่า

“น้องเอ๊ย สมัยนี้ถูกงูกัด เขาไปฉีดเซรุ่มจะประเสริฐกว่า สมัยที่พี่ยังโลดโผนตอนนั้นไม่มีทางเลือก หากไม่ใช้ก็ตายสถานเดียว ถ้าใช้ยังอาจรอด กลางดงกลางป่าไปหาเซรุ่มที่ไหนล่ะ จำเป็นต้องใช้ แต่ถ้าเป็นพวกตะขาบ แมงป่องละก็ใช้เลย เอากากพอกปุ๊บไม่เกินสิบห้านาทีอาการปวดบวมจะทุเลาลงทันที”

ไพฑูรย์มาส่งต้นฉบับครั้งละ 2 เรื่อง ลงตีพิมพ์ในพระเครื่องประยุกต์ได้ 2 เล่ม เพราะเป็นรายปักษ์ เดือนหนึ่งจะได้คุยกับพี่ไพฑูรย์ครั้งหนึ่ง ซึ่งพี่ไพฑูรย์มักมีเรื่องปลีกย่อยมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอมิได้ขาด

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: