3601. สิงโตสังหารดวลดับอั้งยี่เล็บเขียว (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ไพฑูรย์ย้อนความทรงจำไปยังเยาวราชแห่งความหลัง โดยที่ผู้เขียนไม่ได้เอ่ยถึง ทั้งนี้เพราะขณะที่นั่งกินข้าวกลางวันอยู่นั้นที่ศาลเจ้าในตลาดบ้านพานถมกำลังมีการเชิดสิงโตอยู่พอดี ไพฑูรย์นั่งฟังไปกินข้าวไปผู้เขียนสังเกตเห็นว่าไพฑูรย์มองดูสิงโตที่เชิดด้วยสายตาอันแสดงความชื่นชม วางช้อนลงในจานมองดูด้วยความสนใจ จนผู้เขียนต้องสะกิด

“พี่ไพฑูรย์กินข้าวเถอะเดี๋ยวเย็นหมดจะหมดอร่อย”

นั่นแหละไพฑูรย์จึงรู้สึกตัว กินข้าวต่อจนจบ หลังจากกลับถึงสำนักพิมพ์แล้วไพฑูรย์จึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนว่า

“ได้ยินเสียงกลองเสียงล่อโก๊วทีใดทำให้ผมนึกถึงเยาวราชคิดถึงแม่ดอกเหมยที่รักขึ้นมาทันที มันเป็นสิ่งที่แม่ดอกเหมยที่รักชอบมาก เธอบอกว่ามันเป็นเหมือนกับการปลูกวิญญาณนักสู้ให้ลุกโชน เธอบอกกับผมว่า ในเมืองจีนการเชิดสิงโตนอกจากจะเป็นความสนุกสนานแล้วยังหมายถึงการใช้มวยจีนในการต่อสู้กันระหว่างผู้เชิดสิงโตแต่ละคณะอีกด้วย คนเชิดสิงโตต้องเป็นมวยด้วยจึงจะเชิดสนุก”

จากนั้นไพฑูรย์ได้เล่าเรื่องสิงโตสังหารให้ผู้เขียนฟังด้วยสีหน้าที่รู้สึกได้ถึงความสุขที่ได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ดังกล่าว

เยาวราชตอนนั้นไพฑูรย์ได้เป็นผู้คุมกฏของสำนักอั้งยี่เต็มตัวเพราะพิสูจน์ให้ทั้งแม่ดอกเหมยและลิ่วล้อ ตลอดจนผู้ที่เป็นผู้มีฝีมือในสำนักอั้งยี่ที่สามารถเป็นผู้คุมกฏได้แต่ยอมหลีกทาง ด้วยไพฑูรย์พิสูจน์ให้เห็นถึงฝีไม้ลายมือที่จัดจ้านไม่เป็นรองใครทั้งนอกและในสำนักอั้งยี่

ทุกครั้งที่แม่ดอกเหมยที่รักลงซ้อมเพลงกระบี่ ไพฑูรย์จะคอยระแวดระวังภัยให้อย่างเต็มที่เพราะมือสังหารต่างสำนักลงมือไม่เลือกเวลาและสถานที่ โดยเฉพาะอั้งยี่เล็บเขียว เจ้าของกรรไกรขาเดียวผูกโบว์สีแดง ที่ฆ่าคนไม่เว้นแต่ละวัน ไม่เลือกว่าเป็นอั้งยี่ด้วยกัน เพื่อแผ่อิทธิพล หรือเป็นการปรามบรรดาเจ้าของกิจการในเขตคุ้มครองของอั้งยี่เล็บเขียวว่าอย่าได้บังอาจแข็งข้อหรือไปพึ่งอิทธิพลของอั้งยี่คณะอื่นเป็นเด็ดขาด

มีผู้ถูกแทงด้วยกรรไกรขาเดียวบ่อยครั้งจนเป็นที่หวาดระแวงของบรรดาเจ้าของกิจการต่างๆและบรรดาอั้งยี่ด้วยกัน

มือสังหารจากอั้งยี่เล็บเขียงลงมือไม่เคยเลือกเวลาหรือสถานที่ ลงมืออย่างรวดเร็วแล้วเร้นตัวหายไปในท่านกลางผู้คนที่จอแจเหมือนปีศาจ แม่ดอกเหมยที่รักถึงกับเอ่ยปากกับไพฑูรย์ต่อหน้าลิ่วล้อว่า

อั้งยี่เล็บเขียวล้มสำนักอั้งยี่ไปหลายสำนักแล้ว เพราะมันใช้มือสังหารที่เหี้ยมโหดและใจถึง ลื้อระวังตัวไว้บ้างนะเพราะลื้อเป็นผู้คุมกฎสำนักเราหากมันล้มลื้อลงได้ละก็คงไม่พ้นศึกใหญ่ตามมาเป็นแน่ ไพฑูรย์บอกกับแม่ดอกเหมยที่รักว่า

“อั๊วไม่เคยกลัว ต่อให้พวกมันแน่แค่ไหนอั๊วจะต้องแน่กว่า ลื้อไม่ต้องเป็นห่วง ในฐานะผู้คุมกฎสำนัก อั๊วพร้อมแลกชีวิตและลื้อก็คงเห็นว่าอั๊วไม่เคยทำให้ลื้อผิดหวังเลยสักครั้ง”

ไพฑูรย์กลับจากเยาวราชไปนางเลิ้ง ไปช่วยงานของพี่เหงี่ยมผู้มีพระคุณร่วมกับสามทหารเสือ ลิ่วล้อของแม่ดอกเหมยที่รักก็มาตามให้กลับสำนักอั้งยี่ ไพฑูรย์จึงกลับสำนัก เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นผู้คุมกฏเข้าไปพบกับแม่ดอกเหมยที่รักในห้องลับ แม่ดอกเหมยปรารถว่า

“ลูกเมียของเถ้าแก่ไซมาหาอั๊ว พวกอีมาร้องไห้กับอั๊วบอกว่าเถ้าแก่ไซถูกพวกอั้งยี่เล็บเขียวสังหารที่หน้าโรงโคมเขียว เหตุเพราะแย่งผู้หญิงหยำฉ่า การสังหารครั้งนี้ไม่ได้ใช้กรรไกรขาเดียวแต่ใช้มีดสั้น ขอให้ช่วยแก้แค้นให้ด้วย”

แม่ดอกเหมยบอกว่าเถ้าแก่ไซเป็นผู้จ่ายค่าคุ้มครองให้เราเป็นประจำ เขตที่เถ้าแก่ถูกฆ่าก็ไม่ใช่เขตของเล็บเขียว แต่พวกมันก็ยังลงมือแบบเหี้ยมโหด ทิ้งมีดคาศพไว้ ลูกเมียเถ้าแก่นำมาให้อั๊ว ที่ด้ามมีดสลักว่า “ลิ่มฟง” แม่ดอกเหมยให้คนไปสืบดูก็พบว่าเจ้าของมีดก็คือ ลิ่มฟง มือสังหารของเล็บเขียว คนๆนี้เชี่ยวชาญด้านการสังหารเหยื่อในท่ามกลางคนหมู่มากจนได้รับฉายาว่า “หนูกลางวัน”
ถึงตรงนี้ไพฑูรย์ได้อธิบายความหมายของคำว่า “หนูกลางวัน” ให้ผู้เขียนฟังว่า

“ปกติหนูตอนกลางวันจะกลัวคนไม่พลุกพล่านจะมุดอยู่ในท่อหรือในรูในหลืบที่มืดและอับชื้น แต่มีหนูอีกพวกหนึ่งที่ไม่กลัวแสงแดด และหากินในตอนกลางวันช่วงคนพลุกพล่าน เปรียบได้กับลิ่ม ฟง ที่ลงมือฆ่าคนท่ามกลางฝูงชนโดยไม่ยี่หระว่าจะมีใครพบเห็น ผู้ได้รับฉายานี้จะต้องเป็นคนมีฝีมือระดับพระกาฬทีเดียว”

แม่ดอกเหมยบอกว่าได้รับปากกับลูกเมียของเถ้าแก่ไซแล้วว่าจะแก้แค้นให้ อีให้สัญญาว่า ลิ้ม ฟง ลงไปนอนในโลงจำปาเมื่อใดจะจ่ายเงินเป็นค่าเหนื่อยให้หนึ่งหมื่นห้าพันบาท ห้าพันที่เหลือเอาเข้าสำนักอั้งยี่ เป็นหน้าที่ของไพฑูรย์ที่จะลงมือไม่จำกัดวันเวลา ต้องการเพียงผลสำเร็จเท่านั้น

งานฉลองของแซยิดเถ้าแก่หลิว เพื่อนของเตี่ยแม่ดอกเหมย เป็นงานใหญ่ เทียบเชิญถูกส่งมาถึงแม่ดอกเหมยให้ไปร่วมงานนี้ ไพฑูรย์ต้องไปคุ้มกันพร้อมกับลิ่วล้ออีกจำนวนหนึ่งเพราะงานแบบนี้ไม่ว่าสำนักไหนที่ไปร่วมงานก็ต้องขนคนไปคุ้มกันหัวหน้าสำนักเพื่อป้องกันการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม

แม่ดอกเหมยนำคณะสิงโตในสังกัดมาร่วมงานด้วยเป็นสิงโตเผือกสีขาว ผู้เชิดเป็นหัวหน้าลิ่วล้อ ฉายา เท้าเหล็ก เพราะรองเท้าที่สวมส่วนหัวรองเท้าเสริมด้วยเหล็ก เตะใครเข้าไปหาพญาเงี่ยมฬ่ออ๋องได้เลย

สำหรับไพฑูรย์แล้วได้หัดเชิดสิงโตจากผู้ฝึกสอนชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่เป็นปรมาจารย์เชิดสิงโตที่เดินทางมาเยี่ยมเตี่ยของแม่ดอกเหมยเมื่อยังมีชีวิตอยู่จึงเชิดเป็นกับเขาเหมือนกัน เคยนึกสนุกลงไปเชิดก็เคยมาแล้ว เล่ามาถึงตอนนี้ไพฑูรย์ก็เอามือเคาะโต๊ะเป็นจังหวะ ปากทำเสียงประกอบตุ้งแช่ๆๆๆป๊อกๆๆตุ้งแช่ๆๆๆป๊อก จากนั้นจึงเล่าต่อว่า

งานนี้มีสิงโตมาเชิดสองหัวคือสีขวาของแม่ดอกเหมยที่รัก สิงโตสีแดงของคณะซาเตี่ยมส่งมาร่วม โดยแจ้งล่วงหน้าให้เจ้าของงานรู้ สิงโตขาวกับแดงเชิดกันวนเวียนวนไปมาอย่างสนุกสนานเป็นที่ชื่นชอบของเจ้าภาพและแขกที่ได้รับเชิญมาร่วมงาน

ทันใดนั้นก็มีเสียงกลองเสียงล่อโก๊วดังกระหึ่มเข้ามา สิงโตสีดำไม่ปรากฏว่ามาจากที่ใด ในกำหนดการก็ไม่มี ทุกคนต่างตกตะลึงมองดูสิงโตสีดำที่กำลังเชิดอยู่ในลานที่สิงโตขาวกับแดงกำลังเต้นอยู่ในลาน แม่ดอกเหมยสบตากับไพฑูรย์ๆจึงค่อยๆขยับไปยืนข้างเถ้าแก่หลิว แล้วกระซิบข้างหูเถ้าแก่หลิวว่า

“ไม่ดีแล้ว สิงโตสีดำตัวนี้ไม่ดีแน่ หัวหน้าให้อั๊วมาคอยคุ้มกันลื้อ อย่าตกอกตกใจหรือทำสีหน้าวิตก นั่งให้เป็นปกติ นอกนั้นอั๊วจัดการเอง”
เถ้าแก่หลิวพยักหน้าสิงโตสามตัวแสดงลวดลายกลางลาน สิงโตสีขาวกับแดงต้อนหน้าต้อนหลังสิงโตสีดำไม่ให้เข้าไปตรงที่เถ้าแก่หลิวนั่งแต่ไม่สำเร็จเพราะคนเชิดสิงโตสีดำมีชั้นเชิงที่เหนือกว่า ไม่นานก็แหกเข้ามาที่ตรงหน้าเถ้าแก่หลิว ไพฑูรย์จับตาดูไม่วางตา มองเห็นว่าสิงโตขยับเข้ามาใกล้ทุกที มองไปที่แม่ดอกเหมยที่รักเธอพยักหน้าเหมือนกับจะบอกว่าลุยได้เลย ไพฑูรย์จึงกระโดดออกไปขวางเอาไว้
สองเท้าของสิงโตสีดำเตะใส่ไพฑูรย์ที่ระวังตัวอยู่แล้วจึงถอยหลังและฉากออกข้างพ้นปลายเท้ามาได้ คราวนี้ไพฑูรย์กรากเข้าไปใช้มวยไทยที่เรียกว่ามอญยันหลักถีบเปรี้ยงเข้าให้ที่ลิ้นปี่ คนเชิดด้านหัวสิงโตถึงกับกระเด็นถอยหลังออกไปแต่ไม่ล้ม

ไพฑูรย์เข้าไปเตะตัดพับในจนมือเชิดด้านหัวเอียงแต่ไม่ล้ม คนเชิดหัวถอยหลังกลับถอดหัวออกส่งให้คนท้าย ทุกคนจึงได้เห็นว่าคนเชิดหัวมีหน้ากากสวมปิดบังใบหน้าไว้ ในมือกระชับมีดสั้นสองมือไพฑูรย์เข้าติดพัน ส่วนองครักษ์ของเถ้าแก่หลิวรีบเข้ามาล้อมตัวเถ้าแก่หลิวเอาไว้ทันที

เสียงกลองกับล่อโก๊วไม่ยอมหยุดยังคงบรรเลงต่อไป องครักษ์เถ้าแก่หลิวโยนกระบี่ให้ไพฑูรย์ การต่อสู้ระหว่างกระบี่กับมีดสั้นสองมือจึงติดพันอยู่ในลาน แม้จะมีอาวุธที่สั้นกว่าแต่การรุกและรับนั้นไพฑูรย์บอกว่าเข้าไม่ถึงเหมือนกัน มันคือมือสังหารนิรนามที่ถูกส่งมาให้สังหารเถ้าแก่หลิว แต่จะเป็นใครนั้นบอกไม่ได้เหมือนกัน

ไพฑูรย์เล่าว่าได้แปลงเพลงกระบี่จีนให้เป็นเพลงดาบไทย เพราะหากขืนใช้เพลงกระบี่ต่อไปไม่จบแน่ ได้ผล นักฆ่าตกเป็นฝ่ายรับทันทีเพราะคาดเดาเพลงกระบี่ที่มีแม่ไม้ดาบไทยอยู่ด้วยไม่ออก

ขณะที่ไพฑูรย์รุกเพลินอยู่นั้นเอง มือเพชฌฆาตก็ชักมีดสั้นในมือเข้าหาไพฑูรย์ที่ตกอยู่ในความประมาท ปลายมีดตรงเข้าหาแผงอกไพฑูรย์ หากไม่ได้บารมีหลวงพ่อเดิมผู้ฝังว่านกระชายดำให้คงม้วยมรณังเพราะมีดบินไปแล้ว แต่นี่เพียงแต่ปรากฏเลือดซิบๆ เป็นยางบอนบริเวณที่ปลายมีดพุ่งเข้าใส่เท่านั้น มีดหลุดไปเล่มหนึ่งมือเพชฌฆาตดึงอาวุธอีกอย่างออกมาแทน มันเป็นกรรไกรขาเดียวมีโบว์สีแดงผูกไว้ออกมา ไพฑูรย์ร้องในใจนี่มันอั้งยี่เล็บเขียว

มือสังหารซัดกรรไกรขาเดียวเข้าใส่เถ้าแก่หลิว แต่องครักษ์รับแทนเต็มๆ ไพฑูรย์ใช้เพลงกระบี่เป็นเพลงดาบไทยรุกไล่เข้าหามือเพชฌฆาตที่เริ่มหอบเพราะความเหนื่อย

ไพฑูรย์เงื้อกระบี่ขึ้นสูงทำทีเป็นฟันลง มือเพชฌฆาตยกมีดขึ้นกันด้านบนไพฑูรย์เปลี่ยนเป็นแทงตรงเข้าสู่ช่องว่างทันที ปลายกระบี่ทะลวงเข้าที่ลิ้นปี่อย่างพอเหมาะพอดี หายเข้าไปติดกึกที่กระดูกสันหลัง ไพฑูรย์กระชากกระบี่กลับมีเลือดไหลออกมาเพียงนิดหน่อย เลือดส่วนใหญ่ตกในทำให้เกิดอาการจุกแน่น มือเพชฌฆาตล้มลงนอนหมดลมหายใจ
ไพฑูรย์เดินกลับมาทางที่แม่ดอกเหมยนั่ง ทุกอย่างกลับสู่ปกติ งานดำเนินต่อไป

ไพฑูรย์บอกว่าศึกคราวนี้เกินคุ้ม ได้เงินหนึ่งหมื่นบาทเป็นค่าเหนื่อย เพราะคนตายคือ ลิ้ม ฟง มือสังหารของอั้งยี่เล็บเขียวนั่นเอง เถ้าแก่หลิวให้คนนำเงินมาให้ไพฑูรย์มอบให้แม่ดอกเหมยทั้งหมดก่อนกลับออกจากเยาวราชไปนางเลิ้ง
(มันส์จริงๆครับแอดมินอยากให้แมวมองนำไปทำเป็นหนังจริงๆ)

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: