3600. พบมือปืนบ้านทะเลบก (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ไพฑูรย์บอกกับผู้เขียนว่า
“อ่านเรื่องราวที่เขียนในจอมอาชญากรหมายเลขหนึ่งแล้ว คุณคงคิดว่าผมคงเก่งกล้าหาใครเสมอไม่ได้ แต่เปล่าเลย หากทางตำรวจระดมกำลังอย่างจริงจังแล้วผมจะหนีไปไม่รอด แต่ที่ผมสามารถรอดมาได้เพราะตำรวจมีกำลังไม่พอประสานงานกันไม่ดี การปลอมใบหน้าของผมและการอยู่ในที่ที่มีเพื่อนแท้ ประสบการณ์ที่ถูกญาติกันหักหลังขายผมให้กับหลวงอดุลเดชจรัส เพื่อการโยกย้ายและเลื่อนยศที่ผมเคยเล่าให้คุณฟังมาแล้ว ทำให้ผมระวังตัวมากขึ้น”

ไพฑูรย์บอกว่า เสือในยุคหลังเห็นการปลอมใบหน้าเป็นเรื่องการแสดงละคร ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ จึงพบจุดจบอย่างน่าอนาถ ยกตัวอย่างเสือจำเรียง ปางมณี หรือขุนโจร 5 นัด ศิษย์หลวงพ่อเต๋ คงทอง พบจุดจบเพราะไปบ้านเมียน้อย สายสืบของตำรวจได้เบาะแสจึงไปปิดล้อม

เสือจำเรียงจวนตัวหนีลงจากบ้านโดยลืมคาดตะกรุด 3 ห่วง (น่าจะถอดแขวนไว้) เพราะคนที่เล่นเครื่องรางของขลังเขาจะถอดเครื่องรางของขลังออกจากตัวแขวนไว้ในขณะที่กุ๊กกิ๊กกับสตรี

หลังจากพยายามถอยหาทางหนีอยู่นั้นมิได้ทันระวังจึงถูกตำรวจที่ซุ่มอยู่ยิงด้วยปืนยาวเข้าที่ศีรษะนัดเดียวจอด เจ้าพ่อบางนกแขวกก็เช่นเดียวกัน ถูกบุกเข้าจับกุมขณะอาบน้ำถอดรูปหล่อและตะกรุดของหลวงพ่อชุ่มวัดราชคามออกแขวนกิ่งไม้ไว้

ไพฑูรย์ได้รับการฝังว่านกระชายดำไว้ในร่างกาย มีผ้ารอยเท้าเย็บติดไว้ที่คอเสื้อ แม้ไม่ได้ใส่เสื้อก็มีว่านกระชายดำไว้ป้องกันตัวจึงพร้อมต่อสู้ทุกวินาที ไพฑูรย์เล่าว่า ที่น่ากลัวที่สุดคือการล้อมจับที่เรียกว่า “ซุ่มโป่ง” โดยตำรวจมักเข้าล้อมสถานที่กบดานแล้ววางกำลังไว้ ให้เตรียมจ้องปืนเอาไว้เหมือนนั่งห้างยิงเสือพอตำรวจชุดบุกจู่โจมเอะอะเข้าไปด้านหน้า เสือร้ายกระโดดหนีลงจากที่ซุ่ม ทันใดนั้นปืนทุกกระบอกก็สาดใส่จนพรุน

สำหรับไพฑูรย์นั้น จะพักที่ใดจะออกเดินสำรวจไปโดยรอบรัศมีที่อยู่ ดูทางหนีทีไล่จนหลับตาเห็นหมดว่าจะไปทางไหนที่ใด มีทางเข้าออกทางเดียวหรือมีทางตันออกไปไม่รอบด้าน ไพฑูรย์จะไม่พักเป็นเด็ดขาดเพราะนั่นเท่ากับการขุดหลุมฝังตัวเอง

เมื่อมองเห็นทางหนีทีไล่แล้วก็อย่าประมาท อย่าให้ตำรวจเข้าล้อมได้ อย่าลืมว่าตำรวจเองก็กลัวตาย ก็ลูกปืนมันไม่มีตา(พูดแล้วยิ้ม) เรื่องสุ่มสี่สุ่มห้าบุกเป็นไม่มีแน่นอน

อย่าอยู่ในที่ซ่อนแม้จะเป็นตอนกลางวัน หลายคนประมาทคิดว่าเป็นที่ซ่อนที่ปลอดภัย ไพฑูรย์ย้ำว่าไม่มีที่ซ่อนใดที่ปลอดภัยเต็ม 100 ให้ออกจากบ้านไปซุ่มในที่ที่ลับตาแต่เป็นจุดที่มองเห็นความเคลื่อนไหวเข้าออกได้ แม้จะเผลอหลับก็ยังไม่อันตรายเพราะผู้ที่เข้ามาจะมุ่งไปที่บ้านที่หลบซ่อนมากกว่า

ตอนกลางคืนพอพระอาทิตย์ตกดินนอนให้เต็มที่ พอตื่นแล้วลงจากบ้านไปซ่อนตัวนอนในที่ซ่อนที่เตรียมไว้ ยุงกัดมดกัดชั่งหัวมัน เราเคยชินอยู่แล้วคนที่เป็นเสือจะไม่เคยหลับเต็มตื่นจะคอยระแวงอยู่เสมอ พอมีเสียงผิดปกติหน่อยก็ตื่นเตรียมตัวต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ไพฑูรย์บอกว่าเพราะระมัดระวังอย่างนี้จึงรอดมาได้จนได้รับพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ.2500 ผู้เขียนเคยถามว่า

“การฆ่าคนนั้นสำหรับพี่ไพฑูรย์เป็นอย่างไร”

ไพฑูรย์นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า

“เหมือนกับที่ผ่านๆมา คนเราลองผ่านการฆ่าศพแรกมาแล้ว ศพต่อไปจะไม่รู้สึกอะไรเพราะเป็นการต่อสู้อย่างยุติธรรมถ้าเราพลาดเราก็ตายถ้าเขาพลาดเขาก็ต้องตาย คนพวกนี้ถ้าปล่อยไปก็เหมือนปล่อยงูเห่าเข้ารู ปล่อยศัตรูให้ย้อนรอยก็ในเมื่อเขามีจิตต้องการฆ่าเราก็ถือว่าเขาก็ต้องเอาชีวิตมาแลก คุณเชื่อผมเถอะการฆ่ามนุษย์นี่บาปที่สุด เพราะหากเขามีชีวิตอยู่ต่อไป เขาทำบุญได้ กลับตัวได้ บวชได้ เป็นคนดีได้ แต่เราตัดหนทางเขาด้วยการปลิดชีวิต”

เมื่อมาเทียบกับมือปืนรับจ้างมันเทียบกันไม่ได้ เพราะมือปืนรับจ้างไม่เปิดโอกาสให้เหยื่อได้มีโอกาสต่อสู้ เข้าไปยิงโดยไม่ได้ทันระวังตัว เป็นการเอาเปรียบดำรงชีวิตตนเองและลูกเมียด้วยชีวิตผู้อื่น คนพวกนี้เมื่อเข้ามาบางขวางเพราะญาติผู้ตายติดต่อ ให้เส้นสายในคุกจัดมือเพชฌฆาตจัดแจงทำให้เป็นคดีวิวาททำร้ายร่างกายถึงตายมือเพชฌฆาตถูกเพิ่มโทษก็แค่นั้น

ไพฑูรย์ย้อนเหตุการณ์เมื่อได้พบกับพี่สุนทรบ้านทะเลบก จ.นครปฐม อันเป็นถิ่นอาศัยของมือปืนรับจ้างที่ทำมาหากินอยู่ในแถบนครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี มีพี่สุนทรเป็นหัวหน้าซุ้มทะเลบกคอยรับงานและจ่ายงาน พี่สุนทรรู้จักกับไพฑูรย์เมื่อไพฑูรย์เป็นนายทหารพระธรรมนูญไปดื่มสุราที่แพร่งสรรพศาสตร์ พี่สุนทรมารับงานแล้วฉายเดี่ยวมานั่งรินสุรา ใส่เสื้อแขนสั้น ลวดลายสักลายไปทั่วตัวถึงคางและที่แขนเป็นที่ขัดตาของนักเลงจากท่าโรงโม่ปากคลองตลาด จึงเข้าไปหาเรื่อง

เกิดชกต่อยกัน 3 ต่อ 1 แม้พี่สุนทรจะเป็นนักสู้แต่วัยห่างจากนักเลงท่าโรงโม่จึงถูกเล่นงานจนล้มลุกคลุกคลาน ข้าวของแตกกระจัดกระจาย ไพฑูรย์สุดทนจึงเข้าไปยืนคร่อมพี่สุนทรไว้ ร้องบอกนักเลงท่าโรงโม่ว่า

“พอทีเถิด แค่นี้ก็ต้องกินน้ำใบบัวบกคั้นแล้ว”

แทนคำตอบ นักเลงท่าโรงโม่ ถีบไพฑูรย์ที่ยอดอก ไพฑูรย์เพียงถอยหลังออกไปสองก้าวก็พ้นตวัดเท้าเตะตัดขาข้างที่ยืนอยู่บนพื้นในขณะที่ขาที่ถีบลอยอยู่ในอากาศ แค่นั้นนักเลงท่าโรงโม่ก็ถอนสมอหงายหลังตึง

นักเลงท่าโรงโม่ไม่รู้จักวิธีเก็บคอเวลาล้มหัวจึงกระแทกพื้นดังโป๊ะสลบคาที่ พี่สุนทรได้สติลุกขึ้นยืน การต่อสู้เดี่ยวๆเกิดขึ้น ไม่นานนัก นักเลงท่าโรงโม่ก็วิ่งกระเจิง ไพฑูรย์รีบดึงมือพี่สุนทรออกจากร้าน ร้องบอกเจ้าของร้านว่าพรุ่งนี้มาจ่ายให้

พาไปพักที่ห้องพัก พี่สุนทรยกมือไหว้ไพฑูรย์รีบไว้ทันทีเพราะพี่สุนทรอาวุโสกว่า พี่สุนทรว่าถ้าไม่ได้น้องช่วยไว้พี่คงตาย ไพฑูรย์บอกว่าเรื่องเล็กน้อยผมทนเห็นคนถูกรังแกไม่ได้ ผมร้อยตรีไพฑูรย์ นายทหารกรมพระธรรมนูญ พี่สุนทรบอกว่าผมชื่อสุนทร อยู่บ้านทะเลบก นครปฐม คนเขาเรียกผมว่าป๋าทอน ไปถึงบ้านทะเลบกแล้วถามหาผมเป็นไม่พลาด

เมื่อไพฑูรย์กลายเป็นเสือไพฑูรย์ ไม่รู้ว่าพี่สุนทรรู้ได้อย่างไรมาเยี่ยมไพฑูรย์ถึงบางขวาง พี่สุนทรบอกกับไพฑูรย์ว่า หากพ้นโทษเมื่อใดไปอยู่บ้านทะเลบกกับพี่รับรองว่าสบาย พี่มีงานให้ทำ ไพฑูรย์ตอบขอบคุณแต่ไม่กล้าบอกว่าไม่ชอบมือปืนรับจ้างแต่สำหรับพี่สุนทรเป็นข้อยกเว้นเพราะน้ำใจพี่สุนทรนั้นเป็นหนึ่ง

พี่สุนทรนั้นเคารพพระเกจิอยู่สององค์คือหลวงพ่อเบี้ยววัดทะเลบก องค์นี้พี่สุนทรบอกว่าลงตะกรุดไม้รวกเป็นมหาอุดดีนัก ส่วนอีกองค์หนึ่งคือหลวงพ่อวงษ์ วัดทุ่งผักกูด องค์นี้เป็นศิษย์หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก สร้างตะกรุดกาน้ำร้อนขลังนัก ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจจึงถามพี่ไพฑูรย์ว่าตะกรุดกาน้ำร้อนเป็นอย่างไร พี่ไพฑูรย์จึงเล่าให้ฟังว่า

กาต้มน้ำทำด้วยอลูมิเนียมนั้นต้มไปนานๆเข้าจะเกิดตามดทำให้น้ำรั่วโยนทิ้งไปเปล่าๆ หลวงพ่อวงษ์ท่านบอกว่าให้นำมาให้ท่าน ท่านจะนำมาผ่าทุบให้เป็นแผ่นลงอักขระม้วนเป็นตะกรุดท่านบอกว่าแผ่นอลูมิเนียมนี้มีธาตุไฟสูงเพราะต้องทนถูกไฟเผาแล้วเผาอีก ปลุกเสกแล้วป้องกันอันตรายดีนัก

นักเลงและมือปืนรับจ้างชาวทะเลบกจะมีตะกรุดสองอย่างนี้คาดเอวกันทุกคน เป็นที่รับประกันได้ว่านักเลงบ้านทะเลบกหนังดีทุกคน พี่สุนทรคงจะสังเกตจากท่าทีของไพฑูรย์ว่าไม่ค่อยจะชอบมือปืนรับจ้างนัก จึงเปรยกับไพฑูรย์ในวันหนึ่งว่า

“น้องรักพี่รู้ว่าน้องไม่ค่อยชอบมือปืนรับจ้างเพราะน้องเป็นลูกผู้ชาย แต่น้องต้องเข้าใจว่ามันเป็นอาชีพอย่างหนึ่ง การเป็นมือปืนรับจ้างนั้นสำหรับบ้านทะเลบกในความดูแลของพี่มีกฏเหล็กว่า”

“พระ นักบวช เด็ก ผู้หญิง ไม่รับงาน”
“นอกนั้นก็รับไว้แล้วแต่ความยากง่ายของงานที่มีผู้มาว่าจ้าง ผู้ว่าจ้างไม่ต้องเป็นกังวลเพราะมีระบบตัดตอนเอาไว้เป็นอย่างดีไม่ถึงผู้ว่าจ้าง จึงมีผู้มาว่าจ้างมิได้ขาด”

ไพฑูรย์กล่าวกับพี่สุนทรว่าเรื่องส่วนตัวของผมพี่อย่ามาถือผมเลย สำหรับพี่แล้วผมให้ความเคารพเหมือนญาติผู้ใหญ่ของผม น้ำใจที่พี่มอบให้ผม ผมไม่มีวันลืม เป็นที่น่าเสียดายว่า ตอนที่ไพฑูรย์ได้รับพระราชทานอภัยโทษในปี พ.ศ. 2500 ได้แวะไปเยี่ยมพี่สุนทร ปรากฎว่าจะเป็นด้วยเหตุใดไม่รู้พี่สุนทรความจำเสื่อมจำใครไม่ได้ บางครั้งก็พูดกับตัวเองเหมือนคนบ้า

ไพฑูรย์ได้จดคาถาสำหรับเสกน้ำล้างอาถรรพณ์ ที่เรียกว่าคาถาธารณีสารดังนี้ (เคยลงไปแล้ว แต่มีผู้ขอมาเพราะไม่ได้อ่านฉบับนั้น)
โองการธรณีสาร (ตั้งนะโม 3 จบ)

โองการพินทุนาทัง อุปปันนังพรัหมา สะหัมบดีนามังอาทิ กัปเป สุอาคะโต ปัญจะปทุมมังทิสวา นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ (เสก 9 จบ) ผสมกับน้ำพระพุทธมนต์สำนักใดก็ได้อาบแล้วกำจัดอวมงคลทั้งปวง

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: