3596. สิงโตหินเยือนเดิมบางแดนนักเลง (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

คำว่านักโทษชาย มันหมายถึงการตกนรกทั้งเป็น สำหรับคนที่ไม่เคยพบกับการถูกส่งเข้าเรือนจำต้องตัดผม สมบัติอะไรก็นำติดตัวเข้าไปไม่ได้ ต้องสวมชุดนักโทษ ต้องทำหน้าที่ๆเรียกว่า “ออนเหวง” พูดภาษาชาวบ้านก็คือการขนถังอึนั่นเอง

ใครมีเส้นมีสายก็ทุเลาไม่ต้องผ่านงานด้านออนเหวง สำหรับไพฑูรย์นับว่ายังพอมีเส้นสายอยู่บ้างจึงไม่ต้องผ่านออนเหวงแต่ก็รู้สึกถูกจำกัดอิสรภาพ ต่อสู้คดีด้วยตัวเองไม่ต้องพึ่งทนาย ก็อดีตนายทหารพระธรรมนูญเรื่องกฎหมายไม่ต้องห่วง แต่ก็นั่นแหละตำรวจจับเอง สอบสวนเอง ทำสำนวนเบ็ดเสร็จ ร้อยทั้งร้อยถ้าไม่มีหลักฐานมาหักล้างได้ก็ต้องติดคุกลูกเดียว สามศาลก็สาม ศาลฎีกายืนก็จบ

บางขวางก่อนสงครามโลกเป็นแดนนรกโดยแท้ หน้าร้อนก็ร้อนสุดๆ ท่าน้ำก็ไม่พออาบ นักโทษเป็นโรคผิวหนังเกากันแกรกๆ หน้าฝนก็ชื้นจนป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจ พวกตะขาบแมงป่องหนีน้ำขึ้นมากัดคนร้องกันเสียงลั่นเลือดก็กินจนตัวเป่งบี้กันมือแดงเถือกก็ไม่ชนะไม่นับตัวโลนเข้าไปด้วย พวกนักโทษที่ชอบมีน้อง (เมียที่เป็นผู้ชยด้วยกัน) ติดโลนกันสนุกสนานเกากันเลือดเข้าเลือดออก

หน้าหนาวก็สุดลำเค็ญผ้าห่มบางผืนกันหนาวไม่ได้แถมยังสั้นห่มไม่คลุมเท้า ก็อย่างว่านักโทษในบางขวางยุคนั้นมีแต่พวกทมิฬหินชาติกักขฬะ มาจากทุกสารทิศ ทางรัฐมนตรีมหาดไทยที่ดูแลกรมราชทัณฑ์ออกปากว่า นักโทษในบางขวางเป็นพวกเดนคนต้องปกครองด้วยความเด็ดขาด ต้องทำให้มันสำนึกว่าพวกเดนคนอย่างพวกมันต้องตกนรกทั้งเป็นให้เล่าลือถึงความลำบากในบางขวาง ไอ้พวกที่มันคิดจะเข้าไปจะได้ชะงักไม่กล้าทำผิดอุกฉกรรจ์

ไพฑูรย์บอกว่ากินข้าวแดงใหม่ๆนอกจากจะฝืดคอแล้วยังเสียวฟันแปลบๆ เพราะกรวดเม็ดเล็กที่ปนอยู่ในข้าวมันเต็มไปหมดไม่กินก็ต้องกินเพราะทำงานทั้งวันมันหิวมากก้มหน้าก้มตากินเข้าไปให้มันอิ่มๆไปวันๆใครร้องเรียนโทษถึงตายถือว่าเป็นความผิดฉกรรจ์บ่อนทำลาย ผบ.คุกและผู้คุมและอธิบดีกรมราชทัณฑ์ไปจนถึงรัฐมนตรีมหาดไทย

ทำร้ายกันปางตายฆ่ากันตายแทบทุกวันตายก็ตายไปไม่ตายก็อยู่กันไปแบบให้มีลมหายใจเอาไว้สู้ชีวิตในวันรุ่งขึ้นมันเป็นชีวิตที่เรียกกันว่า “แย่งข้าวกันกิน แย่งถิ่นกันอยู่ แย่งคู่กันนอน”

เกิดเป็นมนุษย์เรื่องกามมันขาดไม่ได้ ถึงเวลามันก็ต้องมี แต่ในบางขวางไม่มีให้ก็มีแต่ผู้ชายด้วยกัน จึงต้องมีเมียเป็นผู้ชายด้วยกันเพื่อระบายความใคร่ไปตามแกนมีการสู่ขอมีการแต่งงานว่ากันไปตามประสา
แย่งกันไปแย่งกันมาก็ฆ่ากันเหมือนนักโทษชายดอกอ้อที่ถูกแทงทวารหนักแล้วคว้านจนตายคามือที่ตอนนั้นไพฑูรย์ได้เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานต้อนรับหน้าที่ไปจัดการจับตายนักโทษชายที่เป็นผัวด้วยดาบดังที่เคยเขียนมาแล้ว

เมื่อบางขวางเป็นอย่างนี้ไพฑูรย์จึงแหกคุกเมื่อมีโอกาสมาถึงเข้าๆออกๆเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์เป็นคราวๆไป ค่าหัวก็เพิ่มขึ้นต้องอาศัยในพื้นที่ที่มีพรรคพวกคอยสนับสนุนก็อยู่ได้นานแต่มีอยู่ครั้งหนึ่งตำรวจกดดันให้ต้องออกนอกพื้นที่ที่ไม่มีพรรคพวกเหมือนคนตาบอดนั่นคือ อ.เดิมบางนางบวช หรือเรียกกันว่า เดิมบาง คนที่นั่นไปไหนมาไหนต้องมีอาวุธติดมือไปด้วยถือให้เห็น หากเดินไปไหนมาไหนมือเปล่าๆ มีหวังหัวแบะเพราะเขาบอกว่า

“ไอ้พวกนี้มันแน่มันไม่กลัวใครไปไหนมาไหนมือเปล่าถ้าจะหนังดีต้องทดลอง”

ด้วยความที่ไม่รู้เรื่องจึงเกิดเรื่องตอนที่ไปนั่งกินกาแฟในตลาดเมื่อถูกนักเลงเจ้าถิ่นถีบหล่นจากเกาอี้ตีซ้ำด้วยตะพด แต่ไพฑูรย์กลิ้งตัวหลบทัน นักเลงเจ้าถิ่นสามคนล้อมเอาไว้ ไพฑูรย์มือเปล่า ทันใดก็มีเสียงตะโกนว่า

“ไอ้หนุ่มรับคมแฝกไว้”

ชายชราผมขาวเป็นดอกเลาสักเต็มตัวโยนไม้คมแฝกมาให้ไพฑูรย์รับไว้ การต่อสู้ระหว่างคมแฝกกับตะพดจึงเริ่มการรำมะนา ไม่มีเลือดมีแต่รอยปูดบนกบาลและรอยเขียวช้ำตามตัว ชายชราเห็นพอสมควรแล้วจึงมาขวาง

“หยุดได้แล้วไอ้สามตัวนี่ก็เหมือนกันน่าจะรู้ว่าเขาเป็นคนต่างถิ่นไม่รู้ธรรมเนียมกลับรุมเล่นงาน งานนี้พวกมึงขาดทุนตำแหน่งที่เขาตีมึงล้วนเป็นจุดตายหากเขาไม่ยั้งมือเอาไมตรีเพราะเกรงใจที่กูโยนคมแฝกพวกมึงชักขี้แตกขี้แตนไปแล้ว ไปให้พ้นหน้ากูได้แล้ว”

“จ้ะปู่ ไปก็ได้คราวหน้าไปไหนมาไหนต้องพกอาวุธไม่อย่างนั้นก็จะถูกลองของอย่างนี้ จำใส่กะโหลกไว้”

ไพฑูรย์เดินไปยื่นคมแฝกคืนให้กับชายชราแล้วยกมือไหว้

“ปู่เอ้อ ผมขอบพระคุณมากครับ”
“กูชื่อชู ใครๆเรียกปู่ชูจนติดปาก ไอ้พวกกระนั้นมันเป็นหลานของกูเอง ว่าแต่ว่ามึงมาจากไหนถึงซุ่มซ่ามไม่รู้ธรรมเนียมที่นี่ไปไหนมาไหนต้องพกอาวุธให้ไม่อย่างนั้นละก็เป็นเจอดีเขาถือว่ามาตัวเปล่าเป็นการท้าทายอยากลองของ”

“ผมมาจากกรุงเทพฯจ้ะปู่ ว่าจะอยู่สักระยะก็พอดีมาเจอดีเข้าให้”
“มีญาติพี่น้องไหมล่ะ”
“ไม่มีครับปู่ ผมพักที่โรงแรมครับ”
“ถ้าไม่อยากอยู่โรงแรมก็ไปอยู่ที่บ้านไร่ของกูก็ได้ กูนิยมฝีมือคมแฝกของมึง ตีได้สวยยั้งมือหนักเบาได้ครบเครื่องใครเป็นคนสอนมึง”
“อาจารย์กี้ครับปู่ชู”
“อือศิษย์มีครูเหมือนกันเอาละวันนี้กูจะกลับแล้วไอ้สามตัวนั่นมันรอรับปู่กลับ”

ไพฑูรย์ถามทางไปบ้านไร่ของปู่ชูแล้วเดินทางไปหาที่บ้านไร่เพื่อจะขอพักด้วย

ปู่ชูยินดี ไพฑูรย์จึงย้ายจากโรงแรมมาอยู่กระต๊อบในบ้านไร่ของปู่ชู ช่วยทำงานเป็นค่าตอบแทนด้วยการจะทำงานในไร่ แต่ปู่ชูไม่ยอมเพราะถือว่าเป็นแขกของปู่ชู วันหนึ่งมีคนมาหาปู่ชูคุยอยู่สักพักหนึ่งก็กลับ ปู่ชูเดินมาหาไพฑูรย์บอกว่า

“ฑูรย์ เมื่อกี้ครูสมานมาหากู ครูสมานบอกว่าหลานกูบอกว่าพบมือคมแฝกมือดีจึงอยากจะขอทดสอบเพราะหลานกูเป็นศิษย์ครูสมาน เป็นการประลองกันเท่านั้นเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กัน ไม่ได้จะตีกันจนตายกูจึงยังไม่รับปากต้องมาถามมึงก่อน”
“ตกลงครับปู่ ผมยินดีให้ทดสอบแล้วแต่เขาจะสะดวกแต่ต้องไม่เกิน 7 วันเพราะได้เวลาที่ผมจะลาปู่เดินทางต่อไป”
“ได้เลยอีกสามวันประลอง”

วันนัดมาถึงไพฑูรย์มายืนเผชิญหน้ากับครูสมานชายวัยกลางคนด้วยอาวุโสน้อยกว่าไพฑูรย์จึงเป็นฝ่ายยกมือไหว้ก่อน ครูสมานพนมมือรับไหว้

“ขอบใจที่ให้ทดสอบฝีมือ ถ้าพร้อมแล้วก็เตรียมตัวได้”

ปู่ชูโยนไม้คมแฝกคู่มือสมัยเมื่อยังเป็นนักเลงให้ไพฑูรย์รับไว้ ไพฑูรย์สอดมือเข้าไปในเชือกรัดข้อมือพันกระชับแล้วหมุนข้อมือทดสอบกำลังมือ ก่อนเดินไปเผชิญหน้ากับครูสมานที่กราดคมแฝกเข้าหา ไพฑูรย์ทำตามที่ครูกี้เคยสอนว่า

“การตีคมแฝกนั้นสายตา มือ ขา สมองต้องประสานกัน อย่าคลาดสายตาจากคู่ต่อสู้ สังเกตจังหวะของคู่ต่อสู้ว่าขยับหลอกหรือจริงถ้าอ่านผิดเราจะพลาด ป้องกันไม่ทัน”

ครูสมานสมกับเป็นครูสอนการต่อสู้การเคลื่อนไหวต่อเนื่องตีล่างบนหลอกล่อ แต่ไพฑูรย์จ้องไม่คลาดสายตาจึงหลบหลีกและรับได้ไม่เพลี่ยงพล้ำแม้แต่เพลงเดียว ทำเอาครูสมานชักจะหงุดหงิดและเร่งบุกต่อเนื่อง ไพฑูรย์หลอกล่อเพื่อให้ครูสมานที่อายุมากกว่าเหงื่อตกขาเริ่มก้าวช้าลง การโจมตีขาดความต่อเนื่อง เป็นช่องให้ไพฑูรย์ได้รุกกลับ

แม้แรงจะถอยแต่ไพฑูรย์ก็ยังแหกแนวป้องกันเข้าไปไม่ได้แถมยังตีไม่ถูกอีกด้วย ไพฑูรย์นึกได้ว่าครูสมานน่าจะภาวนาคาถากระทู้เจ็ดแบกทำให้ตีพลาด ไพฑูรย์ร่ายคาถาคัดพระเวทครูสมาน คมแฝกของไพฑูรย์จึงเริ่มเข้าใกล้ครูสมาน เมื่อเห็นช่องว่างไพฑูรย์จึงหลอกทำทีจะตีล่าง ครูสมานลดคมแฝกลงกันทันที่

ไพฑูรย์จิกปลายคมแฝกลงไปบนข้อมือของครูสมานแบบยั้งมือ ความเจ็บทำให้ทำให้มือครูสมานกำไม้คมแฝกไม่ได้ต้องปล่อยไม้คมแฝกให้ตกจากมือที่เชือกรั้งเอาไว้จึงไม่ตกถึงพื้น ไพฑูรย์รีบเดินไปคุกเข่าพนมมือขอโทษครูสมาน ครูสมานเอามือสองข้างกุมไหล่ไพฑูรย์เอาไว้

“มึงแน่มากชั้นเชิงก็ดี แถมคาถาอาคมก็ใช้ได้ ลูกผู้ชายมันต้องครบเครื่องอย่างนี้”

ไพฑูรย์ผละออกจากครูสมานนำไม้คมแฝกมาคืนปู่ชูแล้วเดินกลับกระต๊อบเพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวพร้อมสำหรับการออกเดินทาง ไพฑูรย์ร่นเวลาออกเดินทางจาด 7 วันมาเป็น ห้าวันเพราะสัญชาติเสือระแวงไพรทำให้ไพฑูรย์ไม่อยู่ที่ไหนเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในถิ่นที่ไม่มีพรรคพวก เหมือนเสือตาบอดไม่มีใครคอยเป็นหูเป็นตาจึงต้องหนีต่อ ไพฑูรย์ไปลาปู่ชูเพื่ออกเดินทาง ปู่ชูอวยชัยให้พรและให้พระเนื้อผงสีดำๆ องค์เล็กๆให้กับไพฑูรย์

“เอาไปเป็นที่ระลึกเป็นพระของหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขาคนเดิมบางเขานับถือท่านมากเรื่องคงกระพันเป็นยอด เดินทางกันดารไม่มีน้ำกินเอาพระอมไว้ในปากจะไม่หิวน้ำเลย”

ไพฑูรย์ก้มลงกราบตรงหน้าปู่ชูที่มีน้ำตาคลอเบ้าที่ไพฑูรย์น่าจะอยู่กับแก ไพฑูรย์กล่าวกับปู่ชูเป็นประโยคสุดท้ายว่า

“ผมอยากอยู่เป็นที่เป็นทางแต่ผมก็ทำไม่ได้ ผมไปแล้วไม่นานปู่ก็จะรู้เองว่าทำไมผมถึงอยู่เป็นที่ไม่ได้ ต้องร่อนเร่ไปเรื่อยๆ”

ไพฑูรย์เล่าว่าเป็นเรื่องจริงเพราะอีกสองวันหลังจากไพฑูรย์ออกเดินทางไปแล้วตำรวจก็จู่โจมบ้านไร่ของปู่ชูแล้วนำภาพเสือไพฑูรย์นักโทษอาญาแผ่นดินมาให้ดู ปู่ชูคงนึกไม่ถึงว่าคนที่มาอยู่กับแกคือเสือไพฑูรย์ สัญชาติเสือระแวงไพรของไพฑูรย์ยังคงใช้ได้ เพราะกว่าพรานจะตามมาถึงก็พบแต่รอยเท้ากับอึเสือเท่านั้น

เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ไพฑูรย์ไม่ได้ฆ่าคนเพียงแต่ออกกำลังนิดหน่อยกับการประมือกับครูสมานคมแฝกที่หากไม่สูงอายุคงกินแกไม่ลงเหมือนกัน

ขอบคุณขอมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว

แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: