3595. เมื่อโรงยาฝิ่นถูกทำลาย (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ไพฑูรย์เมื่ออารมณ์ดีมักมีเรื่องขำขันมาเล่าให้ผู้เขียนฟังเสมอ เรื่องที่เรียกเสียงหัวเราะมากที่สุดคือเรื่อง “สมัครเป็นยาม” เมื่อไพฑูรย์พ้นจากเรือนจำบางขวางได้บวชเรียนอยู่ระยะหนึ่งจึงลาอุปสมบทออกมาหางานทำ เนื่องจากเห็นว่าอาชีพไทยยามเป็นอาชีพที่น่าสนใจเพราะต้องมีการเสี่ยงต่อการต่อสู้เพื่อปกป้องทรัพย์สินของนายจ้างที่จ้างยามมาคอยดูแล

อีกประการหนึ่งไพฑูรย์ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปในการต่อสู้หากไปทำอย่างอื่นนอกจากเป็นไทยยามคงไม่ถูกกับอุปนิสัยเป็นแน่ บริษัทแรกที่ไปสมัครถ้าจำไม่ผิดชื่อ “ไทยซีเคียวริตี้” ปัจจุบันน่าจะเปลี่ยนผู้บริหารหรือปิดบริษัทไปแล้ว เมื่อไปกรอกใบสมัครแล้วเห็นชื่อว่า ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องามกับจดหมายแนะนำตัวจาก ผบ.เรือนจำว่าเป็นนักโทษที่พ้นจากโทษด้วยพระมหากรุณาธิคุณในการพระราชทานอภัยโทษ พนักงานรับสมัครไม่ได้ว่าอะไรบอกว่ากลับไปก่อนแล้วจะติดต่อกลับ

ปรากฏว่าเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนก็ไม่มีการติดต่อกลับมาสักที ไพฑูรย์จึงเดินทางไปยังสำนักงานดังกล่าวเพื่อขอทราบความคืบหน้า ปรากฏว่ามีแต่พนักงานรับสมัคร เมื่อไปพบพนักงานบอกว่าผู้จัดการไม่อยู่แฟ้มประวัติอยู่กับผู้จัดการ ไพฑูรย์บอกว่าไฟในห้องเปิดเห็นเงาคนวูบวาบจึงบอกพนักงานว่า

“หนูโกหกผู้จัดการอยู่ในห้องต่างหาก ผมจะขอพบเพราะหากผมไม่ได้รับการคัดเลือกจะได้ขอรูปคืนเอาไปสมัครที่อื่นต่อไป”

พนักงานหน้าซีดปากสั่นทำอะไรไม่ถูก ไพฑูรย์จึงถือโอกาสผลักประตูห้องเข้าไปผู้จัดการร้องได้สองคำว่า

“ไอ้หย่า”

พนมมือหน้าซีดตัวสั่นมารู้ตอนหลังว่าทางผู้จัดการได้ให้พนักงานรับสมัครนำบัตรประจำตัวของไพฑูรย์ไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ท้องที่ได้ตรวจสอบตามธรรมเนียมจึงได้พบว่าเป็นอดีตนักโทษประหาร 2 คดี และมีโทษจำคุกกว่า 100 ปี จึงไม่ติดต่อกลับไป ไพฑูรย์เข้าไปนั่งตรงหน้าแล้วกล่าวกับผู้จัดการว่า

“ผมมาถามความคืบหน้า ในการที่ผมมาสมัครงานเอาไว้เพราะเดือนกว่าแล้วยังไม่แจ้งไปให้ผมทราบ”
“ระ ระ รู้แล้วอ้า แต่แฟ้มประวัติที่ตำรวจส่งมาให้อั๊วมันเกินจะรับได้ไอ้หย่า อย่าทำอะไรอั๊วเลยไอ้หย่า ลูกเมียอั๊วจะลำบาก”

“ก็แค่นี้แหละจะได้ขอรูปคืนไปสมัครงานที่อื่นไม่ยักรู้ว่าผู้จัดการบริษัทไทยซีเคียวริตี้เป็นคนจีนเห็นตั้งชื่อว่าไทยซีเคียวริตี้ ทำอย่างนี้เขาเรียกว่าเจ๊กตื่นไฟ มันเกินเหตุไปหน่อย ผมมาของานทำไม่ใช่มาขอเงินหรือมาปล้น เมื่อทรงมีพระมหากรุณาธิคุณให้ผมได้รับพระราชทานอภัยโทษผมสาบานกับตัวเองและหลวงพ่อเดิมว่าผมจะไม่กลับเข้าไปในเรือนจำอีก”

เป็นอันว่าไพฑูรย์ไม่ได้รับการจ้างงานจากบริษัทไทยซีเคียวริตี้ จุดที่ขำก็คือปกติแล้วบริษัทไทยยามไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวได้เป็นเจ้าของแต่ผู้จัดการคนนี้มีเส้นสายจึงเปิดบริษัทได้โดยมีคนไทยมีชื่อเป็นหุ้นส่วนลมไม่ได้มานั่งบริหารจริง ไพฑูรย์บอกว่าพอได้ยินเสียงผู้จัดการร้องไอ้หย่าก็รู้เลยว่าเป็นคนจีนมาเปิดบริษัทไทยยาม บ้านเมืองในปี พ.ศ. 2502 สมัยนั้นการทุจริตคอรัปชั่นมีมากมายก่อนที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีหัวหน้าพรรคเสรีมนังคศิลา กับ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจที่ได้รับสมญาว่า “บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย” ขุนพลคู่บารมีต้องเดินทางลี้ภัยไปต่างประเทศ

ครั้นเมื่อจอมพล สฤษฎิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติรัฐประหารแล้วก็ได้ทำการปิดโรงยาฝิ่นทั้งหมดทั้งในเยาวราชและเจริญกรุง การยกเลิกโรงยาฝิ่นก็เพราะว่าฝิ่นเป็นยาเสพติดที่บั่นทอนสุขภาพและร่างกายของผู้เสพทำให้คดีอาชญากรรมลักเล็กขโมยน้อยเพิ่มขึ้น ขโมยแม้จีวรพระงัดตู้บริจาค เพื่อหาเงินมาเสพฝิ่น ที่น่าเจ็บใจก็คือโรงยาฝิ่นคือแหล่งค้ายาเสพติดที่ถูกต้องตามกฎหมายเพราะมีใบอนุญาตเสียภาษีถูกต้อง แต่ละรัฐบาลที่ผ่านมาก็ไม่มีรัฐบาลใดใส่ใจแก้ไขเพราะเกรงรัฐจะเสียรายได้จากภาษีโรงยาฝิ่นไป

จอมพลสฤษฏิ์ ลืมไปว่าแม้การปิดโรงยาฝิ่นเป็นการแก้ปัญหาอาชญากรรมได้ตรงจุด แต่ผลกระทบที่ตามมาก็คือ คนติดฝิ่นนั้นจะเลิกฮวบฮาบแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่ามิได้ เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบจากการอดฝิ่นทันทีทันใด มีอาการที่เรียกกันว่า “ลงแดง” จะครั่นเนื้อครั่นตัวปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เกิดความทุรนทุรายจากพิษของยาฝิ่น ไม่มียาบำบัดรักษาหากร่างกายอ่อนแอผลสุดท้ายคือการอาเจียนออกมาเป็นโลหิตที่เรียกว่า “ลงแดง” คือ “อาเจียนออกมาเป็นโลหิต”

ไพฑูรย์บอกว่าเพ่งอิ๊ว (เพื่อน) เมื่อยังเป็นอั้งยี่อยู่ด้วยกันในเยาวราชลงแดงตายกันมาก ลูกเมียตายกระจองอแง ไพฑูรย์ก็ได้แต่ให้กำลังใจและนั่งดูเพ่งอิ๊วกระอักเลือดเป็นกระโถนๆจนตายไปต่อหน้าต่อหน้า คนไทยที่ติดฝิ่นก็มีมากระดับเศรษฐีจนถึงระดับขุนพลเพลงก็มีตายกันถ้วนหน้า จอมพลสฤษฏิ์ให้ตำรวจรวบรวมบ้องยาฝิ่นมาเผารวมกันกลางท้องสนามหลวงและลงโทษสถานหนักแก่ผู้ค้าและผู้ลักลอบเปิดโรงงานยาฝิ่นด้วย ม.17 คือการประหารชีวิต

ชาวเขาที่เคยมีรายได้จากการปลูกฝิ่นได้รับผลกระทบ เพราะไม่รู้จะไปทำมาหากินอะไรจึงยังคงปลูกฝิ่นแบบหลบๆ ซ่อนๆ ทางการก็ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปปราบปรามเกิดยิงกันตาย ชาวบ้านแม้จะอาวุธด้อยกว่าแต่จำนวนมากกว่า ทำให้ช้างคือตำรวจตะเวนชายแดนถูกมดแดงชาวบ้านวิ่งเข้าไปในงวงตายกันเป็นเบือ

พระบาทสมเด็จพระภูมิพลมหาราชต้องเสด็จประพาสดอยเพื่อทรงตรวจเยี่ยมและทรงแนะนำการปลูกพืชทดแทนฝิ่นเป็นต้นกำเนิดโครงการพระราชดำริเพื่อทำให้ชาวเขายุติการปลูกฝิ่นเป็นการถาวร การปะทะกันระหว่างชาวเขากับตำรวจตระเวนชายแดนที่ออกไปทำลายไร่ฝิ่นก็ค่อยๆลดลงจนเป็นปกติในที่สุด เพื่อนชาวเขาของไพฑูรย์ก็ค่อยล้มหายตายจากไปทีละคนสองคน ในที่สุดไพฑูรย์ก็หมดสหายที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาระหว่างที่เป็นนักโทษหนีคุก

หลังจากโรงยาฝิ่นหมดไปจากประเทศไทย “ผงขาว” อันเป็นทายาทอสูรของยาฝิ่นก็ถือกำเนิดขึ้น ด้วยการนำฝิ่นไปสกัดกับน้ำยาเคมีจนกลายเป็นผงขาวที่เสพง่ายทั้งสูดควันทั้งฉีดเข้าเส้นไม่ต้องใช้บ้องไม่ต้องไปโรงยาฝิ่นเพียงหาที่สงบๆไกลจากผู้คนเพื่อเสพ คดีอาชญากรรมก็พุ่งขึ้นเหมือนกับตอนก่อนปิดโรงยาฝิ่น โรงงานผลิตอยู่นอกประเทศ ในประเทศพม่า แล้วลักลอบนำเข้ามาในประเทศไทยต้องเสียงบประมาณในการปราบปรามปีละหลายร้อยล้าน

แม้จะมีการประหารชีวิตนายเลี่ยงฮ้อเจ้าพ่อยาเสพติดกลางท้องสนามหลวง เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะรายได้จากการค้ายาเสพติดมันยั่วใจมากจนคนมองไม่เห็นตะแลงแกง ในปัจจุบันมียาบ้าเข้ามาแทนที่ซื้อง่ายเหมือนขนม เพียงแต่มีเงินซื้อ ไม่นับยาอี ยาเค ยาไอซ์

ไพฑูรย์เคยบอกว่าชีวิตนี้ใช้มาสุดคุ้มกับการได้มาอยู่ในโลกดีที่สุด เลวที่สุด โหดที่สุด ต่ำช้าที่สุดไพฑูรย์เคยเป็นมาแล้วแต่ที่ยึดเป็นสรณะคือพระรัตนตรัย และหลวงพ่อเดิม พระครูนิวาสธรรมขันธ์ พุทธสโร กับคาถาอาคมอันมีพระเวทสังข์ถ่วงเป็นอาทิ ขณะที่เขียนได้พบคาถาที่ไพฑูรย์บอกให้จดจึงนำมาตีพิมพ์ดังต่อไปนี้

คาถาป้องกันฟ้าฝ่าและระเบิด
“อากาเสจะทีปังกะโร นะโมพุทธายะ มะอะอุ อุอะมะ ยะธา พุทโมนะ”

ก่อนออกเดินทางให้ตั้งนะโม 3 จบ แหงนหน้าขึ้นมองไปทางทิศที่จะเดินทาไปจากนั้นภาวนาคาถาว่า “อากาเสจะ ทีปังกะโร นะโมพุทธายะ มะอะอุ อุอะมะ ยะธาพุทโมนะให้ได้ 9 จบ” เวลาเดินทางผ่านสถานที่อันตรายจากฟ้าผ่า ระเบิดมือ อาร์พีจี ระเบิดแสวงเครื่องฯลฯ ให้ภาวนาว่า “อากาเสจะทีปังกะโร” ในใจทุกลมหายใจเข้าออกจะป้องกันระเบิดได้เป็นอย่างดี นอกจากป้องกันแล้วยังช่วยให้แคล้วคลาดจากสะเก็ดระเบิดอีกด้วย

◎คาถาป้องกันงูพิษ แมลงพิษระหว่างนอนในป่า◎
วิรูปักเข เมเมตตัง เมตตัง เอราปะเถหิ ฉัพพะยาปุตเตหิ เมเมตตัง กัณหา โคตะมะเกหิ อะปาทิเกหิ เมเมตตัง เมตตัง ทิปา ทะเกหิเม จะตุปปะเทหิ เม เมตตัง เมตตัง พะหุปะเทหิ เม มามัง อะปาทโก หิงสิ มามังหิงสิ ทิปาถะโก มามัง จะตุปโท หิงสิ มามัง หิงสิ พะหุปโท สัพเพปาณา สัพเพภูตา จะเกวลา สัพเพภัทรานิปัสสันตุ มากิญจิ ปาปะมาคะมา พุทธัง ธัมมัง สังฆัง อปะมาโณ มังรักขัน ตุสัพพะทา

คาถานี้พระธุดงค์ที่ออกเดินธุดงค์ต้องศึกษาและท่องจำด้วยเวลาไปปักกลดจะต้องสวดแล้วกำหนดจิตวนขวาให้รอบที่ปลักกลด บางทีให้หากิ่งไม้แห้งมาขีดวงบนพื้นดินวนขวารอบที่ปักกลด เพื่อป้องกันงูพิษแมลงสัตว์กัดต่อยสัตว์สองเท้าสี่เท้าสรรพสัตว์ทั้งปวงไปจนถึงกองกอย ครึ่งคนครึ่งสัตว์ออกหาสูบเลือดมนุษย์กินตอนค่อนแจ้ง

ไพฑูรย์บอกว่าเคยพบพรานป่าและพระธุดงค์ตกเป็นเหยื่อกองกอยมากมาย ตัวซีดเผือดไร้สีเลือด ดวงตาหรี่เหมือนอยู่ในความฝันอันเป็นสุขยามราตรีมีร่องรอยเขี้ยวเล็กที่ปลายหัวแม่เท้าสองข้าง เพราะกองกอยจะมากันเป็นคู่ ไพฑูรย์ได้มาจากหลวงปู่วัดแดงสมุทรปราการ (จำนามไม่ได้) วัดจำได้แม่นเพราะตอนนั้นหนีคุกไปทางเรือออกไปอ่าวไทย หม่อมหลวงกำมะลอเป็นศิษย์ได้จอดเรือเข้าไปนมัสการได้พระปิดตาเนื้อตะกั่วคนละองค์กับคาถาที่ได้นำมาลงพิมพ์

ขอบคุณขอมูลดีๆจาก : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว

แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: