3590. พระคาถาหลวงตาแหยม (ไพฑูรย์ พันธุ์เชื้องาม)

ในช่วงที่ผู้เขียนรู้จักกับพี่ไพฑูรย์ ผู้เขียนอ่อนอาวุโสกว่าและได้รู้จักกันเพราะคุณไพฑูรย์มาพบที่สำนักพิมพ์วัชรินทร์การพิมพ์อยู่ที่แถวบางลำพู ผู้เขียนเป็น บก.บริหารของนิตยสารพระเครื่องประยุกต์ ได้เขียนประวัติหลวงพ่อเดิมเทพเจ้าแห่งเมืองสี่แควลงในนิตยสารฉบับนั้นและรวบรวมเป็นเล่มเอาไว้ คุณไพฑูรย์มาขอพบผมในห้องทำงาน คำแรกที่คุณไพฑูรย์บอกกับผมก็คือ

“ผมนึกว่าคุณจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม เพราะเขียนประวัติหลวงพ่อเดิมได้ประทับใจผมมาก ดูจากอายุแล้วคุณไม่น่าจะทันได้นมัสการหลวงพ่อเดิมเป็นแน่ ผมพูดถูกต้องๆไหมครับ”

“ครับคุณพูดถูกแล้วหลวงพ่อเดิมมรณภาพเมื่อผมอายุได้ 4 ขวบ แต่นับว่าโชคดีที่ผมได้แต่งงานกับภรรยาที่นามสกุลเดิมว่า “อินยิ้ม” อันเป็นตระกูลเก่าแก่คู่มากับวัดหนองโพในอดีต ปู่ของภรรยาชื่อ ปู่โคน อินยิ้ม เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเดิม และเป็นอดีตมัคนายกวัดหนองโพ ผมจึงได้รับข้อมูลและเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงพ่อเดิมกับวัตถุมงคลอย่างกระจ่าง จนรวบรวมเขียนขึ้นเป็นเล่มแรกในแวดวงหนังสือเกี่ยวกับประวัติพระเกจิอาจารย์”

คุณไพฑูรย์ได้นำเรื่องมาส่งให้ผู้เขียนจัดพิมพ์ลงเป็นตอนๆในนิตยสารพระเครื่องประยุกต์และส่วนหนึ่งผู้เขียนได้พูดคุยและเก็บข้อมูลไว้ คุณไพฑูรย์ปกติแล้วจะสวมแว่นตาดำปิดดวงตาตลอดเวลาไม่เคยถอด ผมเคยขอให้คุณไพฑูรย์ถอดแว่นตาดำออก แววตาและนัยน์ตาของคุณไพฑูรย์ดุ น่ากลัว และแฝงความเหี้ยมเอาไว้ แม้จะอยู่ในวัยสูงอายุ รูปร่างผอมเกร็ง แต่ดูมีความอดทนเป็นอย่างยิ่ง คุณไพฑูรย์ให้ผมเรียกว่า “พี่ไพฑูรย์” ดีกว่าเรียกคุณไพฑูรย์เพราะรู้สึกว่าสนิทสนมกันมากกว่า

เรื่องราวที่ผู้เขียนได้นำมาเขียน คือความทรงจำที่ได้พูดได้คุยกับพี่ไพฑูรย์ ทุกครั้งที่พี่ไพฑูรย์จะมารับค่าต้นฉบับมักจะโทรมาก่อน ผู้เขียนให้มาเวลาพักเที่ยง จะได้ไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน เพราะบางลำพูมีร้านอาหารอร่อยๆอยู่หลายร้าน ส่งต้นฉบับเสร็จแล้วก็มานั่งคุยถึงเรื่องเก่าๆ ซึ่งฟังแล้วได้สาระ ส่วนหนึ่งกลายมาเป็นเกิดใต้ดาวโจร พี่ไพฑูรย์เขียนหนังสือด้วยสำนวนเรียบๆไม่หวือหวา แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวพี่ไพฑูรย์เอง

เมื่อผู้เขียนมารับหน้าที่เขียนเรื่องราวในเกิดใต้ดาวโจรจึงได้เขียนแบบเรียบๆ ตามที่พี่ไพฑูรย์เคยเขียนไว้ และนี่คือคำตอบข้อข้องใจของคุณผู้ใช้นามว่า “ศิษย์อาจารย์ไพฑูรย์” ซึ่งผมก็เข้าใจว่าเป็นผู้ที่ได้เล่าเรียนวิชาอาคมมาจากพี่ไพฑูรย์ เพราะพี่ไพฑูรย์ได้เคยบอกกับผมว่า ได้สอนวิชาอาคมให้กับผู้เลื่อมใสไว้มากพอสมควร ยกเว้นอยู่อย่างเดียวคือ “พระเวทสังข์ถ่วง” เพราะพี่ไพฑูรย์บอกเป็นของเฉพาะตัว หลวงพ่อเดิมจะประสิทธิ์ประสาทให้เฉพาะผู้ที่เหมาะสมเท่านั้น

พระเวทสังข์ถ่วงแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน
ขั้นตอนแรกท่องจำคาถาให้ได้ทั้งหมดออกเสียงให้ถูกต้องอันได้แก่ คาถาภาวนาก่อนทิ้งตัวลงในน้ำ คาถาสำหรับสะเดาะโซ่ตรวน สุดท้ายคือ คาถาพุ่งขึ้นเหนือน้ำ

ขั้นตอนที่สอง ต้องฝึกจิตให้เป็นสมาธิ ไม่วอกแวกส่ายแส่ไปมา เพราะโซ่ตรวนจะหลุดหรือไม่อยู่ที่จิตตัวเดียวเท่านั้น หากจิตไม่เป็นสมาธิวอกแวกส่ายไปมาละก็ตายอยู่ใต้น้ำนั่นแหละ

ขั้นตอนที่สาม ฝึกหัดใต้น้ำให้คล่อง โดยใช้เครื่องผูกมัดแต่หลวมๆก่อน แล้วค่อยเพิ่มความแน่น และอย่าลืมให้ผู้ช่วยคอยอยู่ใกล้ หากพลาดพลั้งจะได้ช่วยเหลือกัน

ไพฑูรย์บอกว่า หากต้องการฝึกคาถาสะเดาะก็ไม่ยาก แต่เป็นคาถาสะเดาะกุญแจ คาถามีอยู่ 4 คำจดจำได้ง่ายๆ

“จะ ภะ กะ สะ”

เอากุญแจแขวนไว้กับราวเชือกหรือลวดก็ได้ จากนั้นก็ใช้สายตาเพ่งไปที่กุญแจ ภาวนาคาถาให้จิตนิ่งเป็นสมาธิ ให้เกิดพลังอำนาจจิตเป็นหนึ่งเดียวแล้วเป่าลมไปที่แม่กุญแจ หากจิตนิ่งรับรองว่าแม่กุญแจจะหลุดทันที ใครไม่เชื่อก็ลองทำดูใช้หลักที่ให้นี่แหละ
เมื่อจะใช้คาถา ให้เริ่มระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยให้มั่นไม่ต้องยกมือพนมสำแดงกิริยาอาการให้คนรู้เสียการไปเปล่าๆให้ระลึกในจิตว่า

”พุทธังสะระณังคัจฉามิ”
”ธัมมังสะระณังคัจฉามิ”
”สังฆังสะระณังคัจฉามิ”

ดวงจิตของข้าพเจ้าน้อมถวายต่างดอกบัวบูชา (หัวใจคนคล้ายดอกบัว) จากนั้นก็ระลึกถึงหลวงพ่อเดิม พุทธสโร ดวงจิตของข้าพเจ้าน้อมถวายต่างดอกไม้บูชา

เวลาภาวนาคาถาก่อนลงผิวน้ำ ให้ภาวนาในใจอย่าหลับตาภาวนาจะเป็นที่สังเกตของคนรอบข้างได้ ภาวนาทั้งที่ลืมตาดูจังหวะให้ดีแล้วพุ่งลงน้ำเลย อย่าไปใส่ใจว่าจมลึกลงไปแค่ไหน กลั้นลมหายใจภาวนาคาถาสะเดาะสังข์ถ่วงโซ่ตรวนจะหลุดทันที ตัวเบาก็จะลอยขึ้นให้ภาวนาคาถาขึ้นจากน้ำเพื่อกำบังตาคนที่คอยจ้องปืนยิงทุกครั้งที่ไพฑูรย์ใช้ก็ได้ผลทุกครั้ง จนที่สุดเมื่อจับตัวเสือไพฑูรย์ได้ให้คุมตัวมาทางรถยนต์ที่ไม่ต้องข้ามแม่น้ำเพื่อป้องกัน ซึ่งก็ได้ผลนำตัวไพฑูรย์มาถึงบางขวางทุกครั้งเหมือนกัน

คาถาอาคมนั้นถือว่าเกิดก่อนเครื่องรางของขลัง หรือพระเครื่อง หลวงตาแหยมพระที่ไพฑูรย์ได้จำวัดร่วมกุฏิพี่เลี้ยงตอนไพฑูรย์บวชเป็นพระนักเทศน์ท่านบอกว่าคาถาอาคมเกิดจากการที่เมืองเวสาลีเกิดโรคระบาด ผู้คนล้มตายฝนแล้ง จะประกอบพิธีบูชายัญกรรมใดๆก็ไม่บรรเทาเบาบาง ชาวเมืองพากันอพยพหนีตายไปจากเมืองเวสาลี ร้านรวงบ้านเรือนปิดสนิทเป็นส่วนใหญ่เหมือนเมืองร้าง พอตะวันใกล้ตกดิน ชาวเมืองที่เหลืออยู่พากันปิดบ้านเรือนด้วยกลัวภูตผีปีศาจ ตกดึกภูตผีปีศาจก็ออกมาส่งเสียงร้องเป็นที่น่าหวาดกลัวของผู้คน

เทวดาที่รักษาเมืองก็พากันละทิ้งเมืองเวสาลีไป เพราะผู้คนไม่มีจิตใจที่จะบูชา เมื่อชาวเวสาลีได้ยินกิตติศัพท์แห่งสมเด็จพระบรมศาสดาว่า ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสรรพสัตว์โดยเสมอภาคกัน ก็พากันมาเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดาที่เชตะวันมหาวิหาร แต่วันนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสด็จไปโปรดสัตว์เสด็จกลับยังไม่ถึง ชาวเวสาลีได้เข้าเฝ้าพระอานนท์พุทธอนุชาเล่าเรื่องความเดือดร้อนให้ฟังแล้วเดินทางกลับ ก่อนเดินทางได้ขอให้พระอานนท์ได้กราบทูลเรื่องราวต่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ได้ทรงทราบ

เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จกลับมาถึงเชตะวันมหาวิหาร พักผ่อนพระอิริยาบถแล้ว พระอานนท์ก็กราบทูลเรื่องความเดือดร้อนของชาวเมืองเวสาลี สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับ แล้วมีพระพุทธดำรัสกับพระอานนท์ว่า

“ดูกรอานนท์เหตุที่เกิดขึ้นเช่นนี้เพราะเมืองเวสาลีขาดที่พึ่ง สมควรที่ตถาคตจักได้โปรดให้พ้นจากทุกข์ ตถาคตจะสอนมนต์ที่เรียกว่า รัตนสูตร (พระสูตรแห่งแก้วสามประการ หรือพระรัตนตรัย) แก่พระอานนท์เมื่อท่านจำได้แล้ว พึงนำไปให้บรรดาสาวกทั้งปวงได้ท่องจำให้ตรงกัน สมเด็จพระอานนท์จึงนำพระสาวกที่เจริญมนต์นี้ได้คล่อง แล้วเดินทางล่วงหน้าไปยังเมืองเวสาลี ให้พระสงฆ์สาวกทั้งปวงเจริญรัตนสูตรเดินวนขวารอบเมือง แล้วให้ใช้น้ำบาตรประพรมไปพร้อมกัน บรรดาภูตผีปีศาจก็จะหนีออกจากเมืองเวสาลี ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล เทวดาที่รักษาเมืองจะกลับมาอีกครา”

พระอานนท์ได้นำพระสงฆ์สาวกเดินทางไปถึงเมืองเวสาลี แล้วเจริญรัตนสูตรพร้อมประพรมน้ำมนต์ไปรอบเมืองเกิดฝนตกมาหลายห่า น้ำฝนไหลชะล้างความสกปรกออกจากเมืองไหลไปตามแม่น้ำออกทะเลไป เทวดาก็กลับมารักษาเมืองอีกครั้ง สมเด็จพระบรมศาสดาทรงเสด็จตามไปถึงเมืองเวสาลี ประชาชนนำเรือไปรับให้ทรงข้ามแม่น้ำมายังเมืองเวสาลี

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดชาวเมืองเวสาลี ชาวเมืองต่างยึดไตรสรณะเป็นที่พึ่ง ทรงโปรดชาวเมืองเวสาลีสมควรแก่เวลาแล้วก็นำพระสงฆ์สาวกจาริกออกจากเมืองเวสาลี เพื่อทรงโปรดเวไนยสัตว์ที่รออยู่เบื้องหน้า

ไพฑูรย์บอกว่า ได้ฟังหลวงตาแหยมเล่าให้ฟังแล้วก็ยกมือสาธุว่า ตาสว่างเพิ่งรู้ว่ามนต์บทแรกในพระพุทธศาสนาคือ “รัตนสูตร” หลวงตาแย้มแม้เป็นพระนักเทศน์ แต่เรื่องคาถาอาคมนั้นไม่เบา ได้แลกเปลี่ยนคาถาอาคมกับไพฑูรย์อย่างสนุกสนาน เมื่อไพฑูรย์สึกแล้วไปกราบลาหลวงตาแหยม หลวงตาบอกว่า

“ผมเสียดายคุณจริงๆ หากบวชไปเรื่อยๆผมจะสอนให้เทศน์จะได้โปรดญาติโยม แต่คุณก็มาสึกเสียน่าเสียดายนัก”

คาถาที่ไพฑูรย์ได้จากหลวงตาแหยมมีดังต่อไปนี้

คาถาเสกข้าวกินเจ็ดคำ

“สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ” (หัวใจพระธรรมเจ็ดคัมภัร์)

ให้ภาวนาเสกข้าวกินเจ็ดคำแรก คำละจบ ทำได้ทุกวันกันได้ตลอดชีวิต จะทำให้ร่างกายเกิดความคงกระพันชาตรี ตีไม่แตกกระดูกไม่หัก

คาถาเสกหมากพลู

“นะ มะ พะ ทะ พะ ทะ นะ มะ”

เสกหมากกินเป็นคงกระพันชาตรี เคี้ยวไปจนหมากจืดจึงคายชานหมากทิ้ง เสกไป ภาวนาไป ป้องกันตัวได้ดีนัก

คาถาตัวลื่น
“สะ สิ มิ ระ”

ภาวนาก่อนออกจากบ้านเอามือลูบตัวลูบแขนขา ศัตรูมาทำร้ายมากอดปล้ำทำอันตรายภาวนาไปเรื่อยๆมันจะจับตัวมิได้ รู้สึกว่าตัวลื่นเหมือนปลาไหล หลวงตาแหยมบอกว่าได้มาจาก ตาควายคนแจวเรือจ้างท่าช้างวังหลวงที่เป็นเพื่อนกัน

คาถาสามบทนี้ไพฑูรย์บอกว่าเผยแพร่ได้ ไม่ต้องยกครูเพราะหลวงตาแหยมบอกว่าเป็นทาน ให้นำไปใช้ป้องกันตัวจะได้รอดพ้นอันตรายต่างๆได้ปลอดภัยแก่ชีวิต

ที่มา : นักเลง โบราณ ตำนานหนังเหนียว
รูปภาพ : Nabon Photo

แอพเกจิ – AppGeji
——————————————————————————-

ติดตามเรื่องราวครูบาอาจารย์ได้เพิ่มเติมที่
แอพเกจิ Facebook: www.facebook.com/appgeji
Web Sit: www.appgeji.com
App Store (IOS): https://appsto.re/th/wlGScb.i

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: