“โหงว ห้าพลัง” อย่าคิดทาบรัศมีเบอร์ 1 มีแค่คนเดียว ตอนที่ 2 (จบ)

คราวนั้น โหงว ห้าพลัง สยองขวัญ กลัวว่า เจ้าพ่อ จะอ่านไพ่ของตนเองถูก ถึงกับวิ่งเข้าหาเจ้าพ่อ พรรณนา ว่าตนเองกับมือปืน ซึ่งย้ายไปเป็นกำลังรบของ ตี๋ ปลาหมึก นั้น เนื่องจากตนหมดกำลังอุ้มชู มิใช่ส่งไปให้ตี๋โดยตรง ถ้อยคำของโหงว เท่ากับเป็นการสารภาพเบื้องหลัง

เบื้องลึกกรายๆ แต่เจ้าพ่อนิ่งเฉยและเยือกเย็นเช่นเดิม ไม่แสดงท่าทีใดๆออกมา ทำให้โหงวโล่งอกไปได้

อีกครั้งหนึ่ง ที่โหงว ห้าพลัง แสดงความไม่ยำเกรงเจ้าพ่อ ออกมาอย่างชัดเจน ก็คือในวันชกชิงตำแหน่งแชมเปี้ยนโลกระหว่าง เขาทราย แกแล็คซี่ ผู้เป็นแชมป์ กับ ก้องธรณี พยัคฆ์อรุณ ผู้ท้าชิง หลังจากการชกจบสิ้นไปแล้ว ผลของการตัดสิน ให้เขาทรายเป็นผู้ชนะคะแนน

เท่านั้นแหละ โหงว ห้าพลัง ซึ่งให้ ก้องธรณี พยัคฆ์อรุณ เป็นต่อ และรับ”รอง”เอาไว้เพียบ ก็โดดผางขึ้นเวทีประท้วง กล่าวหาว่าการตัดสินไม่ยุติธรรม “เจ้าพ่อ”ซึ่งอยู่บนเวทีพยายามห้ามปรามและเตือนสติ แต่โหงวกลับแสดงกิริยาดุจหมดเกรงต่อหน้าสาธารณะชน เพราะความหน้ามืดที่เสียเงิน ต่อ-รอง หลายล้านบาท

งานนี้ทุกคนที่เห็นเฮียเหลายิ้มเย็นเยือก ต่างบังเกิดความหนาวใจกันถ้วนหน้า!!

หลังจากสำแดงความอหังการ์ เพราะขาดสติเนื่องจาก เสียพนันมวย แทบกระอัก โหงว ห้าพลัง จึงคิดได้ รีบไปขอโทษขอโพยเฮียเหลา ด้วยวาทะสำนึกผิดอันซึ้งหู

โหงว อาจมีชีวิตยืนยาวอีกต่อไป หากไม่ไปหักเหลี่ยมกับ ซิตี๋ ในบ่อนถึงขั้นระเบิดวาจาหยามหมิ่นซึ่งๆหน้าว่า “มึงมันนักเลงขี้ยา ไม่มีน้ำยาหรอกว่ะ…”

ซิตี๋”ในวันนี้ ไม่ใช่นักเลงข้างถนน เขาเป็นผู้จัดการค่ายมวย “ธนิกุล” ให้กับเฮียเหลา มาตั้งแต่เริ่มแรก นับเป็นคนสนิทอีกคนหนึ่ง ที่ใครจะดูแคลนได้ง่ายๆ ด้วยพฤติการณ์อันประกอบกันหลายครั้ง หลายคราว ตราบครั้งสุดท้ายที่ล่วงเกินซิตี๋อย่างแรง จึงน่าเชื่อว่า เจ้าพ่อเปิดไฟเขียว สำหรับโหงว ห้าพลังทันที

วันที่ 4 มีนาคม 2531

สนามมวยลุมพินี โปรโมเตอร์ ทรงชัย รัตนสุบรรณ จัดรายการมวยการกุศลชื่อ “ศึกวันทรงชัยกุศลร่มเกล้า” ขึ้น มวยนัดสำคัญวันนี้ แฟนมวยแน่นขนัด พร้อมทั้งบุคคลสำคัญหลายคน…ที่ขาดไม่ได้คือ แคล้ว ธนิกุล “เฮียเหลา” นายกสมาคมมวยสมัครเล่นแห่งประเทศไทย และ “โหงว ห้าพลัง” หรือนาย ชัยวัฒน์ พลังวัฒนกิจ นายกสมาคมมวยอาชีพแห่งประเทศไทย

ก่อนมวยคู่เอกคือ ฉมวกเพชร ห้าพลัง กับ หลังสวน พันธ์ยุทธภูมิ จะราวีกันด้วยแม่ไม้มวยไทย โหงว ห้าพลัง ได้ขึ้นเวทีมอบเงินจำนวนหนึ่ง ให้แก่การกุศลร่มเกล้า โดยมีแคล้ว ธนิกุล เป็นผู้รับแทน คณะกรรมการ แล้วคว้าไมค์มาประกาศกล่าวขอบคุณแฟนๆมวย ตลอดจนผู้สละเงินสมทบทุนตามประเพณี และโหงว ได้กล่าวคำปิดท้ายด้วยคำบาดหูอีกครั้ง นั่นคือพูดว่า

“หากนักมวยคนใดถูกโปรโมเตอร์เบี้ยว ขอให้ไปบอกกับเฮียเหลา หรือถ้าเฮียเหลาไม่อยู่ ก็ให้บอกกับโหงว”

“นั่นไม่ผิดกับคำประกาศทาบรัศมี เจ้าพ่อ ต่อหน้าแฟนมวยทั้งสนาม”

เวลา 2 ทุ่ม 45 นาที ค่ำคืนวันที่ 4 มีนาคม 2531 ภายในสนามมวยลุมพินีคลาคล่ำ ไปด้วยแฟนหมัดมวย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนั้นเป็นโอกาสพิเศษครั้งหนึ่งที่ผู้กว้างขวางในแวดวงการพนันขันต่อ รวมทั้งเจ้าพ่อและมือปืนอันดับต่างๆมาชุมนุมกันมากหน้าหลายตาเพราะมีรายการ “มวยนัดพิเศษ” ศึกวันทรงชัยจัดโดยโปรโมเตอร์กิตติมศักดิ์ แคล้ว ธนิกุล

โหงวห้า พลัง หรือ ชัยวัฒน์ พลังวัฒนกิจ นักพนันมืออาชีพผู้ลือชื่อ ย่อมเป็นบุคคลหนึ่งที่ไม่พลาดโอกาสเช่นนี้ เขายืนเด่นเชียร์มวยอยู่ในมุมแดง ท่ามกลางมือปืนอารักขาอยู่หลายรอบ ชั่วขนาดหนึ่งที่นักมวยกำลังห้ำหั่นกัน อย่างดุเดือดเลือดพล่าน “โหงว” ซึ่งตกอยู่ในห้วงอารมณ์แห่งความมันส์ ขาดความระมัดระวังหันหลังให้กับเวทีมวย เพื่อเจรจาต่อรองราคาพนัน เสี้ยววินาทีทองนั้น

มือปืนซึ่งแฝงตัวอยู่ในหมู่ผู้ชม อาศัยช่วงจังหวะดังกล่าวระเบิดกระสุนใส่ “โหงว” ทันทีสองนัดซ้อนภายในพริบตาสนามมวยลุมพินีกลายกับเป็นดั่งสนามรบย่อยๆ ที่ใครต่อใครต่างระดมสาดกระสุนใส่กัน ผู้ชมในสนามต่างตะเกียดตะกายหนีตายกันอลหม่าน

จนกระทั่งเสียงปืนสงบลงปรากฏว่าโหงวห้าพลัง ถูกกระสุนเจาะเข้าตาซ้ายทะลุออกด้านหลัง 1 นัด และบริเวณ อก อีก 1 นัดนอนจมกองเลือด หายใจรวยรินอยู่เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลโดยรีบด่วน แต่มัจจุราชไม่ยอมละเว้นชีวิต อีก 3 วันหลังจากนั้น วิญญาณก็ออกจากร่างทิ้งปริศนาเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เป็นภาระแก่สังคมสืบสาวต่อไป

เหตุการณ์นองเลือดในวันนั้น มีคนตายคาที่ 3 ศพ และบาดเจ็บอีก 9 คน นาย ธงชัย ติคำ ถูกต้องสงสัยว่าเป็นมือสังหารโหด ชัยวัฒน์ พลังวัฒนกิจ หรือ โหงว ห้าพลัง เติบโตใต่อันดับในอาณาจักรเจ้าพ่อจากการเป็นสมุนคู่ใจผู้กว้างขวางท่านหนึ่งนอกจากนี้เขายังเป็นนักเล่นพนันตัวยงซึ่งอยู่ในวงการต่างรู้จักชื่อเสียงเขาดีว่าเป็น “จอมเบี้ยว” ที่ตะเวนเล่นตามบ่อนต่างๆจนบ่อนบางแห่ง เช่นบ่อน ชัช เตาปูน บ่อน ปอประตูน้ำ

จนต้องประกาศห้ามเข้าแต่เขาก็ไม่ยี่หระ อาจเป็นไปด้วยว่ามีบารมีเจ้าพ่อ ผู้ยิ่งใหญ่คุ้มอยู่ จากนักเล่นการพนันธรรมดาธรรมดาคนหนึ่ง โหงวสามารถเปิดบ่อนการพนันของตัวเองขึ้นที่สหกรณ์ราชรถ ซึ่งเป็นตึกแถวโทรมโทรมมีสำนักงานทนายความเปิดกิจการบังหน้าอยู่ กิจการบอลเถื่อนเขาทำท่าจะทำเงินทำทองได้ต่อไปไม่น้อยหากไม่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกวาดล้างบ่อยๆ

หลังจากวันสังหารโหด ตำรวจจับกุมบรรดามือปืนคุ้มกัน “โหงว” ในเวลาต่อมาอีก 6 คนโดยทุกคนพกอาวุธปืน. 357 หรือไม่ก็ 11 มม. ติดตัวพร้อมกระสุนเต็มอัตรา เช่น สิบเอก อำนาจ ทับตรง สังกัดกองทัพสารวัตรทหารที่ 1 จ่าสิบตรีชัยพล พูลสวัสดิ์ สิบตำรวจเอก วัชระ บุญทิพย์สังกัด บก.สสน.ตชด. จ่าสิบตรีบุญชู มีสงค์ สังกัด 191

นายสมปอง สมุนใจ นายเนวิน โคตรสมบัติและในวันเกิดเหตุเจ้าที่หน้าที่ตำรวจรวบตัว สิบตำรวจเอก มานพ นาคทั่ง ผบ.หมู่ บก.สสน.ตชด. พี่เมียของโหงวซึ่งทำหน้าที่คุ้มกันอีกคนหนึ่งไว้ทันที พร้อมกับนาย ธงชัย ติคำ ที่รับสารภาพว่าเป็นคนของค่ายมวย ส. ธนิกุล ซึ่งถูกยิงบาดเจ็บสาหัส กระสุนทะลวงอกทะลุหลัง

หลังจากเหตุการณ์นองเลือดประมาณ 10 กว่าวันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมนาย สีห์ อัศวทรงศักดิ์ หรือ ที่มีฉายา ซี้ตี๋ และตั้งข้อหาพกอาวุธปืนเข้าไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ทั้งนี้มีผู้ระบุว่าระหว่างเกิดเหตุสังหาร โหด โหงว ห้า พลัง ในสนามมวยลุมพินีมีพยานเห็น ซี้ตี๋ ชูอาวุธปืนขึ้นเหนือศีรษะ ท่ามกลางความชุลมุน

1 เมษายน 2531 ซี้ตี๋ ถูกพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลในข้อหาพกพาอาวุธปืนเข้าไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรอีก 4 วันต่อมาศาลแขวงพระนครได้พิพากษาจำคุกซี้ตี๋ 4 ปี 3 เดือน ทั้งที่หลังการจับกุม พลตำรวจตรี ธนู หอมหวล ผู้บังคับการตำรวจนครบาลใต้ยืนยันว่าจากการสอบสวนสามารถชี้ชัดอย่างมั่นใจว่า ซี้ตี๋ ควรถูกตั้งข้อหา “ใช้จ้างวานฆ่า” โหงว ห้าพลัง แต่ก็ทำได้แค่แจ้งข้อหาพกพาอาวุธปืนเท่านั้น

ต่อมา 1 มิถุนายน 2531 พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้อง สิบตำรวจโท มานพ นาคทั่ง และ นายธงชัย ติคำ ข้อหาฆ่า พยายามฆ่าผู้อื่นและพกพาอาวุธปืน โดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้นายธงชัยได้ยิงนายชัยวัฒน์ พลังวัฒนกิจ เสียชีวิต และสิบโทมานพได้ยิงนายธงชัย และบุคคลอื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ในสนามมวยลุมพินี สิบตำรวจโทมานพให้การภาคเสธ ส่วนนายธงชัยให้การปฏิเสธ

15 กรกฎาคม 2531 นายซี้ตี๋ ถูกปล่อยตัว
ขนาดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เกี่ยวข้องก็ติดตามควาน หาผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังการสังหารโหดครั้งนั้นอย่างขะมักเขม้นและมีความข่าว คืบหน้าเสนอผ่านสื่อมวลชนเป็นระยะๆ แต่เเล้วก็ค่อยๆกลืนหายไปกับกาลเวลาโดยหาอาชญากรตัวจริงมาเผยโฉมไม่ได้ดังเช่นคดีฆ่าโหดและหลายๆคดี

พลเอกประจวบสุนทรางกูร ถึงกับเคยกล่าวว่าแม้ไม่รู้ว่าใครเป็นคนดี ใครเป็นผู้บงการ แต่ก็ขาดพยานหลักฐาน เพราะมีการตัดตอนคัทเอาท์ ที่จะสืบสาวไปถึงตัวการแท้จริงนั้น

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: