เส้นทางมือปราบพระกาฬ ตอนที่ 7 กลับอยุธยาถิ่นเก่า (ชลอ เกิดเทศ)

เส้นทางมือปราบพระกาฬ ตอนที่ 7 กลับอยุธยาถิ่นเก่า (เขียนโดยชลอ เกิดเทศ)

ภาพที่ตำรวจอ่างทองทุกคนมองเห็น เป็นชายวัยรุ่น 2 คน ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน แขนยาวพับแขน กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ อีกคนสวมเสื้อยืดแขนสั้น สีขาว กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบเช่นกัน ทั้งคู่เดินออกมายืนอยู่หน้าร้านขายข้าวแกง

คนสวมเสื้อเชิ้ต เคาะบุหรี่เกล็ดทองออกจากซอง หยิบมาคาบไว้ที่ปาก ก่อนล้วงไฟแช็ก “ซิปโป้”ออกจากกระเป๋ากางเกง ใช้ข้อมือสะบัดจนฝาเปิด แล้วใช้มือข้างเดียวกันดีดทีเดียวไฟติด แสดงให้เห็นถึงความชำนาญในการเล่นไฟแช็กรุ่นนี้พอสมควร

ชายหนุ่มยกไฟแช็กจรดที่ปลายบุหรี่ ดูดจนแก้มตอบ ขณะที่ไฟลุกไปตามยาเส้นจนแดงวาบ อัดควันเข้าปอดเต็มที่ ก่อนพ่นควันโขมงเป็นทางยาวออกจากปาก และจมูก

ส่วนสายตาของคนทั้งคู่ มองไปที่รถบัสโดยสารทุกคันที่จอดหน้าปั๊ม เหมือนรอคอยใครอยู่…

“ไอ้จง มันทำไมมาช้าจังวันนี้…”

ชายคนสวมเสื้อเชิ้ตเอ่ยปากถามเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“นั่นนะสิ…ปกติมันไม่เคยสายอย่างนี้มาก่อน”

ชายวัยรุ่นทั้งคู่มัวแต่เพ่งมองไปที่หน้าปั๊มน้ำมัน จนลืมสังเกตไปว่ามีชายฉกรรจ์หลายคน ค่อยขยับตัวรายล้อม เข้ามาใกล้

สุดท้ายก็สายเกินกว่าจะแก้ไข เมื่อปืนหลายกระบอกถูกจ่อมาที่ชายหนุ่มทั้งคู่

การเคลื่อนไหวรอบชายหนุ่มทั้ง 2 คน เป็นไปอย่างรวดเร็ว ระยะเวลาไม่เกิน 10 วินาที กลุ่มชายฉกรรจ์ ซึ่งทั้งหมดเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบเข้าล้อมกรอบชายวัยรุ่นทั้งคู่ โดยในมือของทุกคนล้วนแต่มีปืนพกที่ชี้ไปที่เป้าหมาย พร้อมระเบิดกระสุนออกมาได้ทุกขณะ

“นี่ตำรวจ…ยกมือขึ้น”

เสียงของชายฉกรรจ์ 1 ในกลุ่มที่ล้อมรอบแสดงตัวข่มขวัญดังลั่น ทำเอาชายวัยรุ่นทั้ง 2 คน ตกใจสะดุ้งยกมือทั้ง 2 ข้าง เป็นสัญลักษณ์ของการยอมจำนน

โดยมี 2 ชายฉกรรจ์ในกลุ่ม เอาปืนเหน็บเอว เดินตรงเข้าไปผลักให้ทั้งคู่นอนราบลงกับพื้น แล้วรวบแขนของคนทั้งคู่ไพล่หลัง สับกุญแจมือเหล็กแสดงถึงการหมดสิ้นอิสระภาพ

จง ปากน้ำโพ มั่น ตาคลี และ เทิด ท่าตะโก 3 โจรร้ายแก๊งนครสวรรค์ ที่คอยดักปล้่นรถบรรทุกสิบล้อบนถนนหลวงสายเก่าที่วิ่งเลียบคลองชลประทานระหว่างจังหวัดอ่างทอง ก่อนจะออกมาทะลุถนนสายเอเชียที่จังหวัดสิงห์บุรี นั่งสิ้นฤทธิ์อยู่ในตู้ยามทางหลวง ที่พันตำรวจตรีชลอ ขอใช้เป็นที่สอบปากคำชั่วคราว

ทั้งหมดรับสารภาพหมดไส้หมดพุง ว่าทั้งรถทั้งของที่ปล้นมาได้จะนำไปขายให้กับ “เฮียเสริม”ที่เสริมการช่าง ก่อนถึงตัวเมืองจังหวัดนครสวรรค์

ทันทีที่ได้ความ นายตำรวจหนุ่มนำกำลังทั้งหมด คุม 3 ทรชน ขึ้นรถไปสมทบกับทีมของ ร้อยตำรวจเอกสมเกียรติ วรรักษา ที่จังหวัดนครสวรรค์ทันที

หลังนัดพบกับนายตำรวจรุ่นน้อง ที่ร้านอาหารข้าวต้มแห่งหนึ่งกลางเมืองสี่แคว

“พี่ลอ… ร้านมันอยู่ตรงเนินเขา ก่อนเข้าตัวเมืองนครสวรรค์นิดเดียว ผมเข้าไปดูมาแล้ว มันเป็นอู่รถสิบล้อขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นร้านเปลี่ยนแปลงสภาพรถ “ไอ้เสริม”เจ้าของร้าน ก็อยู่ด้วย…”

ร้อยตำรวจเอกสมเกียรติ รายงานข้อมูลให้นายตำรวจรุ่นพี่ ทันทีที่กำลังของทั้ง 2 ส่วนมาเจอกันในสถานที่นัดหมาย

“เอ้า..ให้ลูกน้องกินข้าวกินปลาให้อิ่มก่อน จะได้ไปทำงานต่อกันเลย…”

พันตำรวจตรีชลอ บอกกับลูกน้องทั้งหมด ที่ทุ่มเททำงานกันมาตลอดวัน

หลังทุกคนท้องอิ่ม ชายฉกรรจ์เกือบ 20 คน แยกย้ายกันขึ้นรถนานาชนิด ประมาณ 5-6 คัน ที่จอดอยู่หน้าร้านอาหาร ออกรถมุ่งหน้า ร้าน “เสริมการช่าง”ที่อยู่ห่างไปประมาณ 10 กิโลเมตร

หัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอ่างทอง ก้าวลงจากรถแลนด์โรเวอร์ ซีรี่ส์ 3 มีร้อยตำรวจเอกสมเกียรติ และลูกน้องทั้งหมด เดินตรงเข้าไปที่ร้าน เสริมการช่าง ซึ่งมีรถบรรทุกสิบล้อนับสิบคัน จอดเรียงรายอยู่ในอู่ คนงาน 5-6 คน กำลังง่วนอยู่กับการถอดชิ้นส่วนอะไหล่รถสิบล้อ ถึงแม้เวลาจะปาเข้าไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว

ชายรูปร่าง สูงโปร่ง ในชุดเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขาก๊วย อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพันตำรวจตรีหนุ่ม เดินออกมาหาทันทีที่รู้ว่ากลุ่มตำรวจทั้งหมด มีวัตถุประสงค์ขอตรวจค้น และตามหานายเสริม เจ้าของร้านให้ออกมาคุย

“อั๊วนี่แหละ เสริม เจ้าของอู่รถสิบล้อที่นี่..”

ชายรูปร่างล่ำสันคนเดิมกล่าวตอบ ก่อนเท้าสะเอวขากเสลดลงพื้น พูดต่อด้วยท่าทียียวนว่า

“จะมาค้นร้านอั๊ว ลื้อมีหมายค้นมาด้วยหรือเปล่า อั๊วรู้จักนายตำรวจใหญ่หลายคนนะเว้ย….”

“ผลัวะ”

แทนคำตอบ พันตำรวจตรีหนุ่ม ยิงหมัดตรงเข้าปลายคางนายเสริมจนล้มคว่ำด้วยความหมั่นไส้ ก่อนนำ 3 คนร้ายที่เพิ่งจับกุมได้ ออกมาชี้ตัวนายเสริม ว่าเป็นคนคนเดียวกับที่มันขายรถสิบล้อที่พวกมันปล้นมา จากนั้นออกคำสั่งกับนายตำรวจรุ่นน้อง

“สมเกียรติ…ประสานท้องที่มาลงประจำวันร่วมตรวจยึด ส่วนรถเปล่า สินค้า และซากรถ เอากลับอ่างทองให้หมด”

“ครับพี่….”

ร้อยตำรวจเอกสมเกียรติ ตอบรับคำสั่งของนายตำรวจรุ่นพี่ ท่ามกลางความรู้สึกชื่นชมของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เห็นนายออกมาทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ และจัดการกับเจ้าของอู่รถหัวหมอรายน้ี

ส่วน เฮียเสริม เจ้าของอู่โจร ที่ยังนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น ถึงกับหน้าถอดสีเป็นไข่ต้ม ไม่กล้าพูดอะไรอีก เพราะเจอลูกบ้าของนายตำรวจหุ่นมะขามข้อเดียวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

เป็นหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอ่างทองได้ปีกว่า ๆ ช่วงเดือนตุลาคม 2513 มีคำสั่งย้ายให้ไปเป็นหัวหน้าสถานีตำรวจภูธรอำเภอพระนครศรีอยุธยา โดยร้อยตำรวจเอกคงพล สุวรรณรักษ์ ได้รับคำสั่งย้ายตามมาเป็นรองผู้บังคับกอง ทำหน้าที่ฝ่ายปราบปรามที่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอพระนครศรีอยุธยาด้วย

ท่ามกลางความดีใจของ “เจิม ภู่สุดแสวง” จ่ากองอาวุโส และจ่าบุญชู ที่เห็นนายเก่ากลับมาเป็นใหญ่ในสถานีแห่งน้ีอีกครั้ง

นั่นเป็นเพราะสไตล์การทำงานชนิดถึงลูกถึงคน การปกครองลูกน้องอย่างเป็นกันเอง ไม่ถือตัว และมีความสนุกสนาน

นี่คือบุคลิกประจำตัวพันตำรวจตรีชลอ เกิดเทศ แต่ไหนแต่ไร

กลับมาเป็นผู้กองเมืองอยุธยาคราวนี้ ทุกเย็น ชาวพระนครศรีอยุธยา ล้วนชินตาเพราะที่ว่างหน้าสถานีตำรวจแห่งนี้กลายเป็นสนามฟุตบอลประจำจังหวัดไปกลายๆ เพราะจะมีกลุ่มชายฉกรรจ์เกือบ 20 คนแบ่งข้าง วิ่งไล่เตะฟุตบอลไปจนค่ำมืด

พันตำรวจตรีชลอ ให้ลูกน้องในโรงพัก จัดทีมฟุตบอลแข่งกันภายใน โดยตัวเขาเองลงเล่นเป็นศูนย์หน้า

แน่นอนเบอร์ประจำตัวของเขา ไม่พ้นเบอร์ 9

ส่วนรักบี้ กีฬาลูกผู้ชายที่เขาเล่นให้กับสโมสรตำรวจมานาน จนได้รางวัลชนะเลิศแห่งประเทศไทย 12 ปี ซ้อน และยังมีดีกรีติดทีมชาติไทยไปแข่งต่างแดนอีกหลายสมัย

ถึงตรงนี้ เขาจำใจต้องแขวนสตั๊ดอำลาลูกหนำเลี๊ยบที่เขาชื่นชอบ เนื่องจากอายุเริ่มมากขึ้น

แต่สายเลือดนักกีฬาที่มีอยู่เต็มตัว ฟุตบอล จึงเป็นกีฬาที่ชายหนุ่มในฐานะผู้บังคับบัญชานำมาเป็นกิจกรรมร่วมกับลูกน้อง

ส่วนรักบี้นัดสุดท้ายในชีวิต พันตำรวจตรีชลอยังจำได้ติดใจ

ขณะนั้นเขายังเป็นร้อยตำรวจเอก ตำแหน่งรองผู้บังคับกอง สถานีตำรวจภูธรอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ

กรมตำรวจ มีคำสั่งให้เขา และนายตำรวจทั่วประเทศ เดินทางไปฝึกอบรมหลักสูตรพิเศษ ที่ศูนย์ฝึกต่อต้านการก่อการร้าย โรงเรียนพลตำรวจจอหอ จังหวัดนครราชสีมา

เพราะสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศอันเป็นภัยจากคอมมิวนิสต์ เริ่มทวีความรุนแรง หลังเกิดเหตุวันเสียงปืนแตก เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พุทธศักราช 2508

วันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ใช้อาวุธโจมตีกองกำลังของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก ที่ กิ่งอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม โดยกองกำลังของพรรคที่เรียกตัวเองว่า กองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.)

กรมตำรวจ และกองทัพบก จึงประสานความร่วมมือนำครูฝึกอเมริกันจากหน่วยกรีนแบเรต์ และครูฝึก ตชด.ที่เก่งๆมาเป็นครูฝึกอบรมนายตำรวจหนุ่มอย่างชลอและเพื่อน โดยมีกำหนดฝึก 3 เดือน ก่อนออกไปต่อต้านกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่เริ่มแผ่อิทธิพลไปทั่วประเทศ

ฝึกได้ประมาณ 2 เดือนกว่า เกือบจะจบหลักสูตร ที่กรุงเทพมหานคร มีการแข่งขันรักบี้นัดพิเศษ ระหว่างสโมสรตำรวจ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จัดโดยมูลนิธิราชประชานุเคราะห์

สโมสรตำรวจ ดีกรีแชมป์ประเทศไทย ขาดตัวหลัก “ฮุกเกอร์”ตำแหน่งสำคัญ และนั่นเป็นตำแหน่งของ ร้อยตำรวจเอกชลอ เกิดเทศ

สโมสรตำรวจ จึงทำหนังสือเรียกตัวชลอ มาแข่งขันนัดสำคัญนัดนี้

ท่ามกลางความหนักใจของนายตำรวจหนุ่ม เจ้าของตำแหน่งนี้ ภายหลังได้รับหนังสือเรียกตัว เพราะยังติดอบรมหลักสูตรต่อต้านการก่อการร้ายอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา

หลักสูตรนี้ ถือเป็นหลักสูตรสำคัญ หากเดินทางไปแข่งขัน จะทำให้ไม่จบหลักสูตร อาจเสียหายกับตัวเองในอนาคต เพราะเป็นหลักสูตรช่วยชีวิตในการต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์

ไม่ว่าจะเป็นการดำรงชีพในป่า การรบในป่า การดูแผนที่และใช้เข็มทิศกลางคืน

ร้อยตำรวจเอกชลอ ตัดสินใจขอฝึกต่อ

เรื่องจึงไปถึงพลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจ เป็นผู้ตัดสินใจ หลังสโมสรตำรวจทำหนังสือด่วน เพื่อขอตัวชลอ กลับมาทำศึกรักบี้แมตช์นี้

กราบขออนุญาต : ชลอ เกิดเทศ
ที่มา : Cops-magazine
โดย : กิตติพงศ์ นโรปการณ์

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: