1098. อภินิหารผ้ารอยเท้า….หลวงพ่อเดิม

ในปี พ.ศ.2481-2485 ประเทศไทยต้องเข้าร่วมสงครามมหาเอเชียบูรพาอย่างจำใจ โดยยอมเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ทำให้ประเทศสัมพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ต้องประกาศสงครามกับไทยไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ผลของสงครามทำให้ประชาชนคนไทยทุกหย่อมหญ้าต่างได้รับเดือดร้อนไปด้วยไฟแห่งสงคราม ผู้คนหวาดผวากลัวภัยสงคราม ข้างยากหมากแพง

อดอยากยากแค้นกันทั่วหน้าประชาชนชาวจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดใกล้เคียงต่างก็พากันเสาะแสวงหาของขลังติดตัวติดบ้านเพราะกลัวภัยระเบิด ใครที่พอจะมีเงินหน่อยก็พากันไปเช่าวัตถุมงคลมาไว้เป็นกำลังใจโดยเฉพาะวัดหนองโพ ในวันหนึ่งคราคล่ำไปด้วยผู้คนที่มาเช่าวัตถุมงคลของหลวงพ่อเดิมกันแน่นขนัด ยิ่งมีข่าวล่ำลือถึงคุณอภินิหารต่างๆของผู้ได้วัตถุมงคลของหลวงพ่อเดิมไปครอบครอง  ก็ยิ่งแห่กันมาที่วัดหนองโพแทบทุกสารทิศ

เรื่องผ้ารอยเท้าหลวงพ่อเดิมนั้น ใครเป็นผู้ริเริ่มยืนยันไม่ได้ แต่ปรากฏว่ามีผู้นำเอาผ้าขาวมาให้หลวงพ่อเหยียบรอยเท้า สีที่ใช้ก็คือครามผงผสมน้ำนั่นเอง เอามาทาฝ่าเท้าของท่านแล้วให้หลวงพ่อเหยียบ ในการเหยียบตอนแรกก็เหยียบโดยมีกระดานเปล่าเป็นพื้นรองติดบ้าง ไม่ติดบ้างไม่ชัดบ้าง ก็ว่ากันไป ต่อมาผู้ที่ได้รับผ้ารอยเท้าไปมีประสบการณ์ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า

ตีไม่แตก บางทีก็เอามาโบกไล่เครื่องบินให้วุ่นไปหมด  เพราะกลัวเครื่องบินจะมาทิ้งระเบิด บางบ้านรอบๆยับเยินไปด้วยแรงระเบิดทำลาย  แต่บ้านที่มีผ้ารอยเท้าหลวงพ่อเดิมกลับปลอดภัย

ต่อมาลูกศิษย์เกิดได้ความคิด จึงได้หาหมอนมารองเป็นที่ประทับรอยเท้า เมื่อเอาครามทาฝ่าเท้าหลวงพ่อแล้วก็วางผ้าขาวบนหมอน  แล้วหลวงพ่อก็ประทับรอยเท้าลงไป ปรากฏว่า ติดชัดเจน  เรียบร้อยดี  วันหนึ่งๆ  หลวงพ่อต้องนั่งเหยียบรอยเท้าเป็นชั่วโมงๆ  จนศิษย์สงสารพากันอุ้มหลวงพ่อหนีเข้ากุฎิ  หลวงพ่อก็บอกกับศิษย์ว่า   “อย่าเลย  เขาต้องการพบฉัน อย่าให้เขาเสียศัทธา”  

ข้อสังเกตรอยเท้าของหลวงพ่อเดิม  ดังต่อไปนี้-

1.ความถี่ความห่างของนิ้วเท้า  ตั้งแต่นิ้วหัวแม่เท้าไปจนถึงนิ้วก้อยขอให้จดจำลักษณะการวางนิ้วให้ดี  ช่วงห่างและความเกของนิ้วเท้าจะเป็นระเบียบเรียบเดียวกันหมดทุกผืน  หากใหญ่กว่าหรือเล็กกว่า  แต่มีระดับที่แตกต่างจนเห็นได้ชัด  ให้ถือว่าเป็นรอยเท้าที่มีปัญหา

2.รอยเส้นฝ่าเท้าให้ถือเอาเท้าขวาเป็นหลักว่าเส้นพุ่งขึ้นไปอย่างไร  และแยกตรงไหน ลายนี้อาจจะใหญ่และร่องกว้างกว่าที่เห็นในภาพก็มี  เพราะเกิดจากการเหยียบลงไปด้วยแรงที่หนักเบาไม่เท่ากัน  ตามแต่หลวงพ่อจะประทับลงไป

3.ผ้าที่นิยม  ในสมัยนั้นจะพบว่าเป็นผ้าขาวชนิดทอลายหยาบอ่อนตัวเป็นส่วนใหญ่   นั่นคือ ข้อสังเกตบางประการจะเช่าหากรุณาหาผู้รู้ผู้ชำนาญช่วยตรวจสอบดูหลายๆตาหน่อย  เพื่อความสบายใจ  ว่าได้กราบไหว้รอยเท้าของหลวงพ่อเดิมจริงๆ

***สำหรับผ้ารอยเท้านำมาลงโชว์ให้ชมนี้ผมได้มาจากรังใหญ่สายตรง สภาพสมบูรณ์ 100%  หายากยิ่งกว่าหารูปหล่อพิมพ์นิยม และมีดของหลวงพ่อเสียอีก  ที่พบเจอะเจอมีแต่ไม่สมบูรณ์และก็เก๊บานตะเกียงครับ ใช่ว่ามีเงิน  มีทองแล้ว  จะเช่าได้ง่ายๆนะครับ

อภินิหารรอยเท้าหลวงพ่อเดิม

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ตาพระยา จ.ปราจีนบุรี ตอนสงคราม นายชั้น หนวดแหยม อยู่ที่ตาพระยาแกเป็นคนเชื้อสายเขมร สักยันต์เต็มตัว เล่นคุณเล่นของเต็มบ้านไปหมด แกมีอาชีพทางเป็นหมอทำคุณไสยเสน่ห์ยาแฝด เอาทุกท่า   พูดง่ายๆก็คือหากินด้วยการผลาญชีวิต   และความสุขของผู้อื่นนั่นเอง ชาวบ้าน ต.ตาพระยา   และเขตใกล้เคียงนับถืออาคมของ นายชั้นแกมาก มีเรื่องเดือดร้อน ควายหาย คนหาย ตลอดจนของหาย สามีไม่กลับบ้าน ลูกสาวหาย อะไรต่ออะไรจิปาถะ ก็ต้องมาหานายชั้นให้ช่วย

นายชั้นจึงมีรายได้จากคนที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างงาม ทั้งค่ากำนัล และค่าแรงที่ช่วยทำงาน ทั้งเงินทองเครื่องใช้อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ แม้ว่าจะมีหมอประเภทเดียวกันมาเปิดสำนักแข่งก็ไม่อาจทานอำนาจอาคมของนายชั้นได้ ต้องหอบเสื่อหอบหมอนย้ายไปหากินที่อื่น บางคนถึงกับพุงแตกตายเพราะหนังที่นายชั้น  หนวดแหยมเสกเข้าไปบานในท้อง จนกระทั่งเป็นที่ระย่อของบรรดาหมอผีด้วยกัน เล่าลือกันสนั่นว่านายชั้น  หนวดแหยมคือยอดหมอผีอันดับหนึ่ง แห่งตาพระยา สมัยสงครามเลยทีเดียว

อีกคนหนึ่งที่จะกล่าวคือนายเกี้ยว คนหนองเต็งรัง อ.พยุหะคีรี นครสวรรค์ ตอนนั้นสงครามกำลังจะระอุ นายเกี้ยวก็อพยพจากพยุหะฯ  ไปทำไร่ที่ตาพระยาตามภรรยาของเขาที่มีรกรากและที่ดินอยู่ที่นั่น ประการแรกเพื่อหลบภัยสงคราม  ประการที่สอง    จะได้ตั้งหลักฐานและจับจองที่ดินเพื่อขยายเนื้อที่ออกไป

นายเกี้ยวเล่าว่า ก่อนจะไปได้ให้หลวงพ่อเดิมรดน้ำมนต์ให้ หลวงพ่อมอบตะกรุดคาดเอว พร้อมลูกสะกดปรอทกันไข้ป่า    ส่วนตัวเขาได้เช่ามีดหมอจากกรรมการวัด    แล้วไปให้หลวงพ่อประสิทธิ์ให้ สำหรับรอยเท้านั้น หลวงพ่อเหยียบให้เปล่าๆแถมยังลงอักขระด้วยดินสอดำเพิ่มให้อีก หลวงพ่อบอกว่า เข้าที่คับขันอย่าลืมรอยเท้า   นายเกี้ยวจึงออกเดินทางไปตาพระยาเพื่อทำไร่ตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อนายเกี้ยวไปที่ตาพระยานั่นเอง ก็ไปขัดผลประโยชน์ของนายชั้นหมอผีอันดับหนึ่งของตาพระยาเข้าให้จนได้ก็เพราะความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบบหลวงพ่อนั่นเอง วันหนึ่งญาติของภรรยานายเกี้ยวมีอาการแน่นท้องอึดอัดหายใจไม่ออก ชาวบ้านเรียกว่าป่วง แต่ป่วงที่ญาติภรรยาของนายเกี้ยวเป็นไม่ใช่เหมือนป่วงธรรมดาแต่ว่าท้องยุบได้บวมได้ มีก้อนคล้ายลูกหนูวิ่งนูนไปนูนมาเสียงดังโครกครากเป็นที่น่าประหลาด  เมื่อเป็นหนักเข้าก็ถึงกับไม่ได้สติ

นายเกี้ยวได้สอบถามภรรยาว่าเหตุเกิดเพราะอะไร ภรรยาของนายเกี้ยวก็กระซิบกระซาบคล้ายกลัวใครจะได้ยินว่า “ก็ไม่ได้เอาค่ากำนัลไปให้หมอผีชั้นน่ะซี เพราะหมอชั้นแกเรียกค่ากำนัลแพงเกินกว่าที่ควรจะเป็น เพียงแต่เอาไปให้ช้าสามสี่วันเท่านั้นและไม่ยอมให้ตามที่ปรับ พอเดินลงจากบ้านหมอชั้น ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อ เมื่อหันไปดูก็หน้ามืดหล่นลงมาจากบันได ต้องให้คนช่วยหามมาบ้าน พอรู้สึกตัวก็บ่นแน่นท้องหายใจไม่ออก สงสัยว่าจะถูกหมอชั้นเล่นงานด้วยการเสกหนัง

เข้าท้อง” นายเกี้ยวขนลุก นึกถึงมีดหมอขึ้นมาได้จึงลุกไปจุดธูปเทียนระลึกถึงหลวงพ่อต่อหน้ารูปแววนกยูง เอามีดหมอมาวางไว้บนผ้ารอยเท้าแล้วเอาน้ำฝนใส่ขันทำน้ำมนต์ ชักมีดหมออกจากฝัก คนลงไปในน้ำแล้วกลับเอาด้ามคนเอาผ้ารอยเท้าครอบปากขันอีกทีหนึ่ง แล้วยกออกทำน้ำมนต์ไปรักษาคนไข้

นายเกี้ยวพรมน้ำมนต์ลงไปที่ตัวคนไข้คนไข้นั่งนิ่งเงียบก็ดิ้นพรวดพราดเหมือนถูกน้ำร้อนราดลุกขึ้นนั่งตาขวาง นายเกี้ยวเอาผ้ารอยเท้าคลี่ออกตลอดผืนแล้วครอบลงไปบนหัวคนไข้ คนไข้ลุกทะลึ่งขึ้นสุดตัวแต่ไม่อาจจะหลุดจากการกดหัวไว้ได้ ก็สงบลง นายเกี้ยวสั่งภรรยาให้เอาน้ำมนต์มาจ่อที่ปากของคนไข้แล้วให้ดื่ม ส่วนตัวนายเกี้ยวเอง คอยกดผ้ารอยเท้ากับกระหม่อมของคนไข้ชนิดมั่นคงไม่ให้ไปไหน ให้คนไข้อ้าปากดื่มน้ำมนต์เข้าไปสามอึก        อึกที่สามกลืนไม่หมดสำลักออกมา เมื่อนายเกี้ยวปล่อยมือจากการกดคนไข้ก็ทำท่าขย้อนจะอาเจียน ภรรยาของนายเกี้ยวรีบไปหากระโถนมารองให้อาเจียนเสียงโอ้กๆ อาหารในกระเพาะไหลออกมาก่อน ตามด้วยเส้นผมคนเป็นขยุ้มๆสีดำค่อยๆเคลื่อนที่ออกมาจากปาก ภรรยานายเกี้ยวรีบเอามือช่วยดึงออกจากปากแล้วทำหน้าเบ้ด้วยกลิ่นเหม็นที่โชยออกมานั่นเอง      คนไข้อาเจียนออกมาเป็นเส้นผมคนค่อนกระโถนจึงหยุดอาเจียนหายเป็นปกติ อาการแน่นท้องอึดอัดหายเป็นปลิดทิ้ง นายเกี้ยวรู้ได้ในวินาทีนั้นว่าคนไข้ถูกกระทำคุณเสกผมผีตายโหงเข้าท้อง หากรักษาไม่ทันพอพระอาทิตย์ตกดินคนไข้จะเสียชีวิต

                ข่าวการช่วยชีวิตญาติของภรรยาของนายเกี้ยวกระจายไปเข้าหูของนายชั้น  หนวดแหยม นายชั้นตาลุกวาวด้วยความแค้นเคืองหลุดปากออกมาว่า อ้ายคนเหนือมันจะแน่สักแค่ไหนวะ กูจะเอามันให้ถึงตาย คำกล่าวอาฆาตของหมอผีอันดับหนึ่งมาเข้าหูนายเกี้ยว ภรรยาของนายเกี้ยวหน้าเสียเพราะกลัวสามีจะไปมีอันตรายจากไสยเวทมนต์ดำนายเกี้ยวหัวเราะหึๆเพราะเชื่อมั่นในบารมีของหลวงพ่อเดิมกับของขลังที่มีอยู่ แต่เพื่อเป็นการกันไว้ดีกว่าแก้นายเกี้ยวจึงเอาผ้ารอยเท้าหลวงพ่อมาเย็บติดกับไม้ไผ่ด้านบนทำเป็นธงแขวนไว้ที่หัวนอน ตะกรุดพร้อมลูกสะกดคาดเอวไว้ตลอดเวลา มีดหมอเอาใส่ไว้ใต้หมอนก่อนนอนก็สวดระลึกขอบารมีหลวงพ่อคุ้มครองให้รอดปลอดภัย ไม่กี่วันในตอนดึก เกิดเหตุระทึกขวัญขึ้น เสียงคล้ายลมพัดกิ่งไม้ครูดกับฝาบ้านดังแกรกๆตอนแรกๆดังค่อยๆแล้วก็ดังหนักขึ้นๆนายเกี้ยวจึงตื่นขึ้น ไล่เลี่ยกันนั้นภรรยาของนายเกี้ยวก็ตื่นขึ้นพร้อมอ้าปากจะทัก นายเกี้ยวเอามือปิดปากไว้ได้ทัน เสียงแกรกกรากนั้นก็เงียบไป มีเสียงลมกระโชกที่หน้าต่างหัวนอน นายเกี้ยวแหงนขึ้นไปดูก็เห็นธงรอยเท้าแก่วงเล่นลมตามปกติ

และทันใดนั้น! ก็มีเสียงเฟี้ยวคล้ายของที่วิ่งด้วยความเร็ว แหวกอากาศก็ดังขึ้นที่หัวนอนดังพึ่บ คล้ายกับมีอะไรหนักๆวิ่งชนธงรอยเท้าที่โบกสะบัดอยู่ เสียงตุ๊บคล้ายของหนักตกลงบนพื้นกระดาน นายเกี้ยวนอนนิ่ง จนกระทั่งทุกอย่างสงบแล้วจึงออกจากมุ้งจุดตะเกียงส่องดูตรงหัวนอนที่ได้ยินเสียงของหนักตกลงมา ที่พื้นกระดานหัวนอนใกล้กับหน้าต่างนั่นเองมีเนื้อวัวขนาดประมาณ

สามกิโลมัดด้วยสายสิญจน์แถมด้วยหนามกากบาทตกอยู่ที่พื้น สายสิญจน์ขาดกระจุยออกจากกัน เมื่อนายเกี้ยวเอาไม้กวาดเขี่ยดู

                นายเกี้ยวรู้ได้ทันทีว่า นั่นคือคุณไสยเนื้อที่ถูกปล่อยออกมาเพื่อหักล้างชีวิตของตน จึงเอามีดหมอมาทำน้ำมนต์พรมลงบนก้อนเนื้อแล้วเอาไม้ไผ่ปลายแหลมเสียบนำไปฝังดินไว้นอกเขตบ้าน ตอนสายๆนายเกี้ยวบุกไปที่บ้านนายชั้น  หนวดแหยมทันทีเพื่อพูดจากันให้รู้เรื่องโดยนำตะกรุด มีดหมอ และผ้ารอยเท้าไปด้วย เพื่อความไม่ประมาท นายชั้นยกน้ำท่ามาต้อนรับ นายเกี้ยวรู้แกวไม่ยอมกินอะไรทั้งนั้น ได้แต่เจรจาเรื่องข้อบาดหมาง แต่นายชั้นหมอผีอันดับหนึ่งไม่ยอมฟังเสียงหาว่าดูถูกกันทำให้เสื่อมเสียต้องล้างผลาญกันให้พังกันไปข้างหนึ่ง       นายเกี้ยวก็พยายามเจรจาให้ยุติการล้างผลาญ แต่ไม่เป็นผล ท้ายสุดก็ต้องกลับมาด้วยความผิดหวัง      ที่พึ่งสุดท้ายคือหลวงพ่อเดิม จึงจุดธูปเทียนบูชาอาราธนาให้หลวงพ่อช่วย ในระหว่างนั้นก็ระวังตัวแจกลัวฝ่ายนายชั้นจะมาทำของใส่ ร้อยสีพันอย่างที่นายชั้นพยายามทำคุณใส่นายเกี้ยว แต่ไม่สำเร็จผลสมใจหมาย

ครั้งสุดท้ายนายชั้นใช้วิชาสุดยอดเรียกว่า “แลกชีวิต” วิชานี้เป็นไสยเวทมนต์ดำที่ใช้เป็นสิ่งสุดท้ายในการทำลายคู่ต่อสู้ กล่าวคือการสร้างคุณไสยชนิดร้ายแรงนี้ประกอบด้วยผีตายโหง ผีตายห่า ผีตายทั้งกลมกับอาถรรพณ์ร้อยแปดบรรดามี คุณชนิดนี้หากปล่อยไปแล้วคู่ต่อสู้ ไม่ตายหรือแก้กันได้ ตัวผู้ทำจะถูกของนั้นย้อนกลับมาทำอันตรายตัวเองถึงตายจึงเรียกกันว่า “แลกชีวิต” ซึ่งหากไม่เจ็บใจหรือแค้นเคืองมากๆแล้วเป็นไม่มีใครยอมทำ     เพราะรู้ดีว่าหากไม่สำเร็จ ตัวเองต้องตาย กรรมย่อมสนองกรรมอย่างแน่นอนที่สุดคุณที่นายชั้นปล่อยออกไป ไม่สามารถผ่านธงรอยเท้าของหลงพ่อไปได้ แต่ก็ทำให้เชือกที่ร้อยธงและไม้ไผ่ที่ดามไว้ป่นเป็นชิ้นๆธงหล่นลงมากองกับพื้น

ตอนเช้านายเกี้ยวก็ต้องไปร่วมพิธีศพของหมอชั้น  หนวดแหยม ที่มีอาการตาเหลือกค้าง เลือดออกทางทวารทั้งเก้า ใบหน้าเนื้อตัวเขียวคล้ำ ตายอย่างน่าทุเรศ ชาวบ้านพูดกันว่าถูกหมอผีฝ่ายตรงข้ามทำคุณมาฆ่าแต่พวกเขาหารู้ไม่ว่า นายชั้น  หนวดแหยมตายเพราะแพ้ภัยแก่ตัวเอง และแก่รอยเท้าหลวงพ่อเดิมที่อุดมด้วยพลังนะปัดตลอด   ที่คอยป้องกันชีวิต   ของนายเกี้ยวอยู่นั่นเองและ

 “หมอชั้นตายเพราะความอาฆาตแค้นและผลกรรมที่เขาก่อกรรมผลาญชีวิตผู้อื่นมามากต่อมากแล้วนั่นเองเป็นเหตุ”

บทความดังกล่าว  ได้เขียนไว้โดย  เตโชทิพย์ เมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา  ก็ขออนุญาตนำบทความ

มาเผยแพร่ให้นักนิยมสะสมผ้ารอยเท้าตลอดจนเครื่องรางฯต่างๆของหลวงพ่อเดิม ได้ทราบพุทธานุภาพอภินิหารของหลวงพ่อเดิม  ขอขอบคุณ เตโชทิพย์  มา  ณ  โอกาสนี้ 

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : uamulet.com โดยคุณ ดรีมแลนด์
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก : ท่าพระจันทร์
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: