961.เหตุที่หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ตัดสินใจบวชตลอดชีวิต

หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อยุธยา

ที่บ้านของท่านมีคนรับใช้อยู่คนหนึ่ง เรียกกันว่า ทาส ชื่อว่าพี่เขียว อายุประมาณ 25 ปี ตอนกลางวันอยู่ด้วยกัน 2 คน ท่านเกิดสงสัยเนื้อผู้หญิงขึ้นมา บอกว่าตั้งแต่เกิดมานอกจากเนื้อแม่กับเนื้อพี่แล้ว ไม่เคยจับเนื้อใคร ท่านคิดว่าเนื้อผู้หญิงมันดียังไงผู้ชายถึงอยากได้กันนัก บางทีถึงกับฆ่ากันเลย ก็สงสัย จะบวชแล้วนี่ ถ้ามันดีจริงแล้วก็จะสึก ถ้าไม่ดีก็ไม่สึกละ

เมื่อคนว่างก็เข้าไปหาพี่เขียว พี่เขียวแกอยู่ในครัว เป็นทาส แต่ว่าท่านเรียกพี่ในฐานะที่เขาแก่กว่ากว่าตัว ยกมือไหว้บอกว่า

“พี่เขียวขออภัยเถอะ ฉันขอจับเนื้อพี่เขียวดูหน่อยได้ไหมว่าเนื้อผู้หญิงน่ะมันดียังไงเขาถึงชอบกันนัก”

พี่เขียวก็แสนดี อนุญาต

ท่านก็เลือกจับเนื้อกล้าม เขาเรียกกล้ามเนื้อที่หน้าอก ผู้หญิงนี้มีกล้ามเนื้อพิเศษอยู่ที่กล้ามเนื้อ 2 กล้ามที่หน้าอก แต่ไม่ได้จับมากหรอก จับตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้ลวนลามไปถึงไหน ๆ จับ ๆ แล้วก็มาจับน่อง เอ๊ มันคล้ายกัน

บอกพี่เขียวว่า “นี่มันคล้ายกันนี่”

พี่เขียวแกก็บอกว่า เป็นอย่างนั้น มันก็คล้ายกัน

แล้วท่านก็ถามพี่เขียวว่า ทำไมผู้ชายเขาถึงชอบเนื้อผู้หญิงนัก

เขาก็บอกว่า ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้เขาชอบกันอย่างไร

แล้วท่านก็ยกมือไหว้ขอขมาพี่เขียว บอกว่าขอโทษนะพี่เขียวนะ ที่ขอจับเนื้อนี้ไม่ใช่ดูถูกดูหมิ่น อยากจะพิสูจน์เท่านั้นว่ามันดีอย่างไร

พี่เขียวให้อภัย แล้วท่านตั้งใจว่าเนื้อหน้าอกของผู้หญิงที่ผู้ชายต้องการ แล้วก็เนื้อของท่านที่น่องมันมีสภาพคล้ายคลึงกัน เนื้อของเราก็มี แล้วไปต้องการเนื้อของเขาทำไม

ท่านก็เลยบอกว่าตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาก็คิดว่าไม่สึกล่ะ บวชคราวนี้ไม่สึก สึกมาทำไม ให้แต่งงานก็ไปจับเนื้อเหมือนเนื้อ ไอ้เนื้อของเรากับเนื้อของเขาก็เนื้อเหมือนกัน จะต้องไปเอาเนื้อของเขามาทำไม

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

พอวันรุ่งขึ้น ท่านพ่อก็พาถือพานดอกไม้ธูปเทียนไปวัดบางปลาหมอ เวลาเดินไปตามทาง ท่านไปพบปลาตัวหนึ่งมันอยู่ในหนองน้ำเกือบจะแห้ง เป็นปลาช่อนตัวใหญ่ ท่านก็จับเอาไป พอถึงแม่น้ำท่านก็ปล่อย

ท่านบอกว่าในชีวิตของท่านไม่เคยฆ่าสัตว์เลย ไอ้สัตว์นี่นะตัวเล็กตัวใหญ่ก็ตาม ถ้าฆ่ามันโดยเจตนาแล้วไม่เคยทำ แม้แต่ยุงก็ไม่เคยตบ

ปล่อยปลาแล้วท่านพ่อก็พาไปหาหลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อสุ่นเห็นเข้ากวักมือเลย เรียกชื่อพ่อท่าน บอกว่า

“ไง เอ็งพาเจ้าปานมาอยู่วัดหรือ จะเอาเจ้าปานบวชหรืออย่างไร”

ท่านพ่อบอกว่า “ใช่ขอรับ”

“เอ้อ ดีจริง ๆ นี่ข้านึกไว้นานแล้วเชียวนา นึกว่าถ้าเจ้าปานมันจะบวชล่ะก็ ข้าจะให้มันมาอยู่กับข้า ถ้าหากว่าแกเอาไปเป็นนาคไว้ที่วัดบางนมโค เวลาข้าไปเป็นอุปัชฌาย์ ข้านึกว่าบวชแล้วข้าจะเอาของข้ามาเลยนา ข้าตั้งใจไว้นานแล้ว”

เวลานั้นท่านเรียกเข้าไป หลวงพ่อปานก็เข้าไปกราบ หลวงพ่อสุ่นก็เอามือลูบหัวบอกว่า

“ปานเอ๊ย อยู่กับพ่อนะ จะได้ดีนะ นับตั้งแต่นี้ต่อไปเป็นลูกของพ่อ เอาล่ะ”

ท่านหันไปบอกพ่อของท่าน “เอ็งน่ะกลับไปบ้านได้แล้ว ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วงไอ้เจ้าปาน มันเป็นลูกของข้าแล้ว”

“แล้วแกไม่ต้องห่วง เจ้าปานของข้ามันไม่สึก แล้วต่อไปน่ะข้ามีอะไรข้าจะถ่ายทอดให้มันทั้งหมด ไอ้นี่ข้ามองมาตั้งแต่เล็กแล้ว ตั้งแต่ 4-5 ขวบข้าก็มอง ๆ มา นึกว่าถ้าเจ้าปานนี่มันบวชก่อนข้าตายแล้ว ข้าจะต้องเอามาไว้ วิชาความรู้ของข้านี่ถ่ายทอดใครไม่ได้ ไม่มีใครรับเอาไปได้หมด ข้ามองมานานแล้วว่าเจ้าปานมันรับของข้าได้”

ท่านบอกว่า พอฟังเท่านั้นแหละ ปลื้มใจบอกไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าท่านจะเป็นคนที่หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอต้องการตัว เพราะเวลานั้นหลวงพ่อสุ่นมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ในสมัยนั้นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็มี หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ,หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน แล้วก็หลวงพ่อแสง วัดพะเนียงแตก จังหวัดนครปฐม ชื่อก้องเมือง พระ 4-5 องค์นี้ชื่อก้องเมืองขนาดหนัก หลวงพ่อปานบังเอิญไปเป็นศิษย์หลวงพ่อสุ่น หลวงพ่อสุ่นบอกว่าเป็นลูกของท่าน ท่านจะเอาไว้เป็นลูกของท่าน ท่านก็ดีใจใหญ่

ต่อมาเมื่อท่านพ่อกลับแล้ว หลวงพ่อสุ่นท่านก็แนะนำถึงวิธีการบวชว่า

“ปานเอ๊ย การบวชนี้เป็นของยากนะลูกนะ แต่ไม่ยากจนเกินไป เจ้าจะบวชจะต้องจำตรงนี้ไว้ก่อน”

ท่านกางหนังสือเจ็ดตำนานให้ดูถึงตัวขานนาคว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา แปลว่า เราขอรับผ้ากาสาวพัสตร์ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

“นี่เราอย่าบวชเป็นทาสกิเลสตัณหานะ คิดว่าเวลาบวชน่ะบวชเข้ามาแล้วนะ ปาน โลกธรรมต้องทิ้งให้หมดนะ อย่าเกาะนะ ถ้าเกาะมันตัวเดียวไม่เป็นพระเลย ถึงแม้ว่าจะห่มผ้าเหลืองโกนหัวก็ตาม จะถือว่าเรามีศีลน่ะไม่จริง โลกธรรม 8 ประการมีอย่างนี้ จะพูดให้ฟังนะ คือ

1. อยากรวย คือ อยากมีลาภอยากรวย เมื่อได้ทรัพย์มาแล้วดีใจคิดว่าเรามีทรัพย์ เราจะสะสมเป็นทรัพย์สินให้มาก

2. ถ้าทรัพย์หมดเสียใจ

3. อยากมียศ อยากมียศถาบรรดาศักดิ์ ได้ยศมาแล้วปลื้มใจ

4. เมื่อยศหมดไปเสียใจ

5. นินทา เมื่อได้รับคำนินทาแล้วเดือดร้อน

6. ถ้าได้รับคำสรรเสริญก็ยินดี

7. มีสุขในกามารมณ์ มีความเพลิดเพลิน

8. มีความทุกข์ก็หวั่นไหว

สิ่งทั้งหลายเหล่าอื่นไม่ต้องจำ จำว่า

1. บวชพระจงอย่ารวย อย่าสะสมเงิน ถ้าไม่มีเงินก็จงอย่าเดือดร้อน ไม่เป็นไร บ้านเราไม่ต้องเช่า ข้าวเราไม่ต้องซื้อ ชาวบ้านเขาหาให้ อย่าหวังรวย ถ้ารวยแล้ว ไม่ใช่พระ บวชสักกี่ร้อยพรรษาก็ไม่ใช่พระ ถ้าเราจะรวยต้องรวยด้วยศีลด้วยธรรม รวยด้วยบุญบารมี เงินได้มาเท่าไรทำเป็นสาธารณประโยชน์ให้หมด เหลือกินเหลือใช้ตามความจำเป็น แล้วใช้เป็นส่วนสาธารณประโยชน์ให้หมดอย่าให้มันเหลือ นี่จงอย่ารวย

รายการที่ 2. อย่ารับยศ ถ้าจำเป็นจะต้องรับยศ อย่าเมายศ จงคิดว่าเราเป็นพระ เราบวชเพื่อพระนิพพาน ยศถาบรรดาศักดิ์มันเป็นโลกธรรม มันเป็นตัวถ่วง ตัวกิเลส ยศเป็นกิเลส ลาภเป็นกิเลส สรรเสริญเป็นกิเลส ความสุขในกามารมณ์เป็นกิเลส ถ้าเราพอใจในเหตุ 4 อย่างนี่ เราไม่ใช่พระ ถ้าขืนบวชเท่าไรก็ไม่ใช่พระ มันจะตกอเวจีมหานรก จงจำไว้ จงจำไว้ แล้วก็อย่าทำนะ อย่าฝืนไปเกาะตามนั้น คิดอย่างเดียวว่าเราบวชเพื่อพระนิพพาน

ปานเอ๋ย วิชาความรู้นะลูก ที่พ่อมีอยู่ทั้งหมด ถ้าเธอมีอารมณ์อย่างนี้พ่อให้ไม่มีเหลือ เอาอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน ในฐานะที่ลูกเข้ามาเป็นวันแรก จะให้เรียนอะไรมันก็ยังไม่ดีนะ

ต่อไปนี้ก็ท่องขานนาคเสียให้ครบ แล้วก็ท่องหนังสือสวดมนต์ให้ได้ แล้วเอาคาถานี้ไป คาถาคือธาตุทั้ง 4 นะ มะ พะ ธะ ให้ว่าถอยหลังเอาไปเป่ากุญแจนะ เป่าให้กุญแจมันหลุด กุญแจนี่กดให้มันติดแล้วเป่าให้มันหลุด ถ้าเจ้าเป่ากุญแจหลุดได้เมื่อไรมาบอกพ่อ ต่อแต่นั้นพ่อจะให้ของดีทุกอย่างที่พ่อมีอยู่ ที่สุดของความดีน่ะไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่พ่อมีอยู่น่ะพ่อจะให้ไม่เหลือเลย”

ที่มา dharma-gateway.com
ขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก : TNews
นำเสนอโดย : แอพเกจิ – AppGeji

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: