770. หลวงพ่อจง ออกธุดงค์

การปฏิบัติกรรมฐานของหลวงพ่อจง มิใช่จำเพาะอยู่แต่ภายในวัดหน้าต่างนอก ที่ท่านรับหน้าที่มาดูแลในฐานะเจ้าอาวาสเท่านั้น แม้ยามว่างเว้นจากกิจอันเป็นภาระตามหน้าที่ ที่ศรัทธาญาติโยมมอบหมายให้ ท่านจะปลีกตัวออกไปหาความสงบสงัดยังสถานวิเวก ยังป่าเขาลำเนาถ้ำอยู่เสมอ ๆ โดยเฉพาะในช่วงออกพรรษา การเดินทางไปฝึกจิตภาวนาของหลวงพ่อจงนั้น มักจะนิยมไปเพียงลำพัง

เพราะท่านว่าเป็นการตัดภาระไม่ต้องพะวักพะวงกับบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ร่วมเดินทาง แต่ถ้ามีพระเณรประสงค์จะร่วมเดินทางด้วย ท่านก็มิขัดข้องแต่อย่างใด และในทุกสถานที่ทุกถิ่นฐานที่ท่านผ่านไป หากมีสถานที่สำคัญทางศาสนา ปูชนียวัตถุ ปูชนียสถานต่าง ๆ ท่านมักจะต้องแวะเข้าไปกราบนมัสการน้อมรำลึกเป็นพุทธสังเวชเสมอฉะนั้น ไม่ว่าสถานที่สำคัญใดในประเทศ จะเป็นรอยพระพุทธบาทก็ดี พระเจดีย์ธาตุก็ดี หลวงพ่อจงท่านไปนมัสการมาจนหมดสิ้นแล้วทั้งสิ้นไปพม่า

ภายหลังจากที่ได้เคยเดินทางบุกดงรกชัฏท่องป่า ข้ามภูเขาและห้วยละหานเหวไปกระทำนมัสการบูชารอยพระพุทธบาท และเจดีย์สำคัญทุกแห่งในเมืองไทยแล้ว หลวงพ่อจงได้ยินเขาเล่าว่า ประเทศพม่ามีเจดีย์สำคัญสูงใหญ่ คือ พระมหาเจดีย์ชะเวดากอง ท่านก็เกิดความกระตือรือร้นใคร่จะได้ไปนมัสการทันที

แต่เมื่อปรารภเรื่องนี้ให้ญาติและเพื่อนภิกษุสงฆ์ผู้ใหญ่ฟังแล้ว ส่วนมากทักท้วงให้ระงับยับยั้งมิอยากให้ไป ต่างอ้างเหตุผลว่า หนทางมันไกลนัก อีกอย่างเป็นเมืองต่างด้าวพูดกันไม่รู้เรื่อง ประการสำคัญคือ ถนนหนทางที่จะไปก็ไม่มีเส้นสายแน่นอน นอกจากจะต้องเดินวกเวี้ยวเลี้ยวลัดและมุดลอดไปตามดงทึบหรือป่าเถาวัลย์ไม้พุ่มไม้เลื้อย นานาชนิด

ด่านแรก สำคัญที่สุดคือจะต้องบุกฝ่าไปในพงพญาเย็น ดงพญาไฟ ซึ่งครั้งกระนั้นรกชัฏ ยามร้อน ร้อนจัด ยามเย็น เย็นยะเยือกและชื้นแฉะ จนได้รับสมญาขนานนามเป็นดงผีห่า ผู้เดินทางผ่านดงยิ่งใหญ่ทั้งสอง ซึ่งมีระยะยาวนับเป็นร้อย ๆ กิโลเมตร มีสภาพถูกปกคลุมไปด้วยไม้ใหญ่เป็นดงทึบจนมองไม่เห็นแสงแดด เต็มไปด้วยไม้เลื้อยพัวพันกันเป็นพืดเหมือนแนวกำแพงชั้นแล้วชั้นเล่าไม่มีที่สิ้นสุด

นอกนี้ก็เต็มไปด้วยหินแหลม หินคม โขดเขา หุบเหวใหญ่น้อย เต็มไปด้วยสรรพสัตว์ร้ายทั้งทวิบาท จตุบาท กับอสรพิษสัตว์เลื้อยคลานร้อยแปดพันอย่าง ซึ่งหากพลั้งเผลอปราศจากระวังพริบตาเดียว ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า

ยิ่งกว่านั้น ในเรื่องมดหมอหยูกยา หลวงพ่อจงก็ขาดปราศจากความรู้ ผู้จะเป็นเพื่อนเดินทางไปด้วยก็เช่นกัน ฉะนั้น แม้จะรอดจากเขี้ยวเล็บสัตว์จตุบาท ไหนเลยจะรอดจากโรคภัย โรคเฉพาะจากดงใหญ่มหากาฬพญาเย็นพญาไฟ ซึ่งขึ้นชื่อลือกะฉ่อนว่า เป็นดงผีห่ามหาประลัยไปพ้น เปล่า…ใครจะชักแม่น้ำทั้งห้ากีดกันขัดคออย่างไรไม่เป็นผล

หลวงพ่อจงไม่เถียง ไม่แม้แต่จะหาเหตุผลใดเข้าหักร้างหักข้อแย้ง เป็นแต่เพียงหัวเราะ หึ หึ ตีหน้าตายเสมือนมิได้แยแสต่อสรรพสิ่งน่าสยดสยองน่ากลัวตามคำบอกเล่าเหล่านั้นแม้แต่น้อยนิด คำพูดของท่าน พูดสั้น ๆ ห้วน ๆ ตามนิสัย ซึ่งผู้ฟังฟังแล้วรู้สึกได้ทันทีว่า ลงพูดอย่างงั้นเอาช้างฉุดไว้ก็ฉุดไม่อยู่ ท่านว่า “ไม่เป็นไรน่า ทั้งฉันก็ศรัทธาอยากไป จริง ๆ ด้วย”

เมื่อปณิธานมั่นคงไม่เอนเอียง ไม่ทรุดต่ำต่อเหตุผลของใครในใจท่านแน่วแน่เป็นประการฉะนี้ การทักท้วงทัดทาน มิว่าด้วยเหตุผลน่าหวั่นไหวอย่างใด ไม่ทำให้ท่านเอนเอียงย่อท้อถอยหลัง หลวงพ่อจงปักหลักเจตนาของท่านไม่มีแคลนคลอน ตั้งจิตจะไปนมัสการพุทธเจดีย์ชะเวดากอง ไม่ว่าอยู่พม่าหรือมุมใดของโลกก็ต้องไปให้ถึงจนได้ เพื่อกระทำไตรสรณาคมน์สักการะให้สมศรัทธาซึ่งจงใจใฝ่ฝันไว้

กลางป่าพญาไฟ
ดังนั้น เมื่อได้โอกาสที่กำหนด หลวงพ่อจงท่านก็แต่งบริขารเท่าที่จำเป็น พร้อมด้วยกลดสำหรับกางนอนแบบธุดงค์ ได้ออกเดินจาริกด้วยเท้าเปล่า โดยลำพังรูปเดียวโดยเดี่ยวเอกา เดินท่อม ๆ ออกจากอาวาสวัดหน้าต่างนอก บุกฝ่าไปตามทางน้อยทางลัดมุ่งสู่สระบุรี ที่วัดพระพุทธบาท

ได้พระภิกษุผู้มีจิตศรัทธาติดตามไปอีกสองรูป จากนั้นเมื่อไปถึงชายแดนลพบุรี ซึ่งเป็นทางออกสู่ดงพญาเย็นพญาไฟ ก็ได้ภิกษุอีกสองรูปร่วมเดินทางไปด้วย รวมเป็นห้ารูปทั้งหลวงพ่อจง และทั้งห้ารูปไม่มีศิษย์แม้แต่สักคนติดตามไปรับใช้ปฏิบัติวัฏฐาก

เพราะดงพญาเย็นพญาไฟสมัยยุคนั้น มีอาณาบริเวณซึ่งรกชัฏกว้างไพศาล เป็นอาณาเขตรกทึบ มืดครึ้มไปด้วยดงไม้ใหญ่สูงชะลูด เมฆบดบังแสดงอาทิตย์ไม่ให้ส่องต้องพื้นดินใบหญ้า พื้นแผ่นดินก็ทึบมืดชื้นแฉะเต็มไปด้วยกลิ่นเน่าของใบไม้และดินโคลน หอยทาก งูเล็ก งูใหญ่ ตะขาบ แมงป่อง บรรดาสรรพสัตว์ร้ายยั้วเยี้ย เพ่นพ่านสลับสลอน

สภาพภูมิพื้นที่เป็นเช่นนี้ เป็นธรรมดายากจะหาชาวบ้านคนใดไปทนทรมาน ยกบ้านสร้างกระท่อมอาศัยอยู่ เพราะจะทำมาหากินทางกสิกรรมหรือป่าไม้และอื่นใดในบริเวณย่านนั้นก็ย่อมไม่เป็นผล จะทำไร่ไถนาหาใส่ท้องก็ยิ่งจะไม่ได้ โดยสภาพปกติที่เป็นเช่นนั้นแล้ว ใครเล่าจะนำตัวไปอยู่ในท้องถิ่นเปรียบเสมือนนรกได้ลงคอ

ด้วยเหตุผลประการฉะนี้ ทุกย่างก้าวของระยะทางที่เดินเป็นวัน ๆ ในท่ามกลางดงพงพีอันสงบสงัด แต่วังเวงอย่างน่าสยองขน ต้องระวังเขี้ยวเล็บสรรพจตุบาท ทวิบาท โรคร้ายนานาชนิดจากพื้นดินแฉะตลอดกาล ปราศจากชาวบ้านจะเกื้อกูลถวายกระยาหารบิณฑบาตร

ตั้งแต่สระบุรีเข้าดงพญาเย็นพญาไฟ ต้องใช้เวลาถึงสี่วันกว่าจะผ่านไปได้ เพราะหนทางเดินแน่นอนก็คลำหายาก มันเต็มไปด้วยดงหญ้ากับเถาวัลย์พันรกทึบเปิดทางเดินเล็กแคบ ยิ่งกว่านั้นบางตอนหนทางมันก็ไปผ่านห้วยและหุบเหว จนมองหรือสังเกตไม่เห็นได้โดยง่าย ว่าเป็นเส้นทางใช้เดิน บางตอนก็ไปออกทางเกวียนและริมทางน้ำ ซึ่งมีรอยตีนเสือ ช้าง หมี รอยใหญ่ ๆ ก่อให้เกิดความหวั่นไหว

แม้จะไม่กริ่งกลัวของภิกษุจอมธุดงค์ทั้งห้าไม่น้อย ซึ่งในการผจญและเผชิญกับการรุกเงียบอย่างโหดเหี้ยมต่อความรู้สึกทางจิตใจเช่นนี้ของธรรมชาติป่าเขา การเดินทางจึงเป็นไปไม่สะดวก เต็มไปด้วยความขลุกขลักเป็นอุปสรรค หลงทางบ่อย บางวันต้องหลงป่าหาทางใหม่ให้เข้าสู่เส้นทางที่ชาวบ้านใช้ถึงสี่ครั้งหน้าครั้ง และบางวันเดิน ๆ ไปแล้วไม่รู้ว่าเป็นเวลาไหน ถึงไหนแล้ว

ยิ่งกว่านั้น มีโชคร้ายเข้ามารุกรานจิตใจ ในตอนสายของวันที่สี่ ท่ามกลางดงพญาไฟตอนจะออกนครราชสีมา โดยภิกษุผู้ร่วมทางได้อาพาธเป็นไข้ป่าอย่างรุนแรง แม้จะช่วยกันถวายยาที่มีติดไปเท่าไรก็ไม่หาย อาการรุนแรงดุเดือดทรุดเสื่อมอย่างรวดเร็ว คณะทั้งสี่ผู้ไม่อาพาธก็ต้องพักผ่อนเฝ้าดูแลอาการ เพราะมาด้วยกันจะทิ้งไว้เดียวดายนั้นไม่ได้

ที่สุดก็ต้องเสียเวลาอยู่ในป่า โดยเลือกเอาริมเหวที่มีพื้นที่ราบสูงกว่าแห่งอื่นได้แห่งหนึ่งพำนักพักรักษาสหายภิกษุผู้อาพาธ จวบจนวันรุ่งขึ้นตอนสายภิกษุรูปนั้นก็มิอาจทนทานพิษไข้ ก็มรณภาพต่างช่วยกันฝังไว้ตามมีตามเกิดแล้ว บ่ายวันนั้น จึงเดินทางหลุดรอดจากดงพญาเย็นพญาไฟ ผ่านเขตลพบุรีย่างเข้าเขตนครสวรรค์

ฝ่าดงอสรพิษ
ที่นครสวรรค์ ได้ภิกษุร่วมเดินทางไปอึกหนึ่งรูป รวมเพิ่มจำนวนเป็นห้าอีกตามเดิม แต่ระหวางนครสวรรค์ถึงพิษณุโลกก็ไม่ใช่ว่าเป็นพื้นที่ราบ เป็นป่าโปร่งมากกว่าป่าทึบ ไม่เหมือนในดงพญาเย็นดงพญาไฟก็จริง แต่บางแหล่งก็เต็มไปด้วยอสรพิษร้าย

โดยเฉพาะตอนที่เป็นบึงบรเพ็ดเวลานี้ มีน้ำท่วมเจิ่งและมีบริเวณกว้าง ตามทางที่เป็นป่าริมน้ำ ซึ่งต้องผ่าน มีจระเข้นอนกันอยู่ยั้วเยี้ยอยู่ทั้งสองฟากฝั่ง เหล่างูเห่าและบ้างจงอางเลื้อยเพ่นพ่านไปมา

เมื่อได้ยินฝีเท้าแม้จะเดินกันไปรวดเร็วแผ่วเบา สัญชาตญาณระวังภัยและมีสันดานดุโดยกำเนิดของมันตามธรรมชาติ มันต่างชูหัวสูงแผ่พังพานคุกคามภิกษุทั้งห้ารูปอย่างน่าสยดสยอง และดังนั้น แม้จะมีการระมัดระวังกันเป็นอย่างดี

โดยพระภิกษุทั้งห้าทุกรูป ไม่มีรูปใดเกรงกลัวมัน ต่างพยายามหลบหลีกเดินหนีมัน ไม่มีเวรกรรมพยาบาทโกรธเกลียดมันด้วยประการใด เจ้างูจงอางตัวหนึ่งซึ่งอาจเป็นคู่เวรจองผลาญมาแต่ครั้งใด กับภิกษุรูปหนึ่งที่มาจากสระบุรี มันก็ได้มีโอกาสจู่โจมฉกกัดท่าน กว่าจะพอกยาหาหมอได้ทันก็หมดเวลา พิษร้ายกำเริบจนทนไม่ได้ ภิกษุรูปนั้นก็ต้องมรณภาพไปอย่างน่าสลดใจ

เดินเดี่ยว
ผ่านถึงแดนพิจิตร ที่วัดตะพานหินได้ภิกษุอีกรูปหนึ่งขอร่วมทางไปด้วย ตกลงการเดินทางจากพิจิตรมุ่งสู่พิษณุโลก คงมีคณะร่วมทางครบจำนวนห้าตามเดิม แต่จากพิจิตรระหว่างทางเข้าเขตพิษณุโลก ภิกษุจากลพบุรีก็ต้องมรณภาพเสียชีวิตไปอีกรูปหนึ่ง ตอนเดินข้ามลำธารพงรกถูกจระเข้คาบพาไป ทิ้งศพไว้ให้ช่วยกันฝังเพียงครึ่งเดียว

จากพิษณุโลกมุ่งเข้าสู่แม่สอดเพื่อทะลุขึ้นเชียงราย โดยหมายเส้นทางเข้าแม่ฮ่องสอนและเข้าสู่พม่าในด้านที่ตั้งชะเวดากอง ภิกษุร่วมทางต่างค่อยมรณภาพไปทีละรูปด้วยโรคไข้ป่า และบ้างขาดอาหารเป็นโรคท้องร่วงอย่างแรง (อหิวาต์) อีกทั้งในตอนระยะหลัง ๆ เมื่อผ่านแม่สอดจนถึงแม่ฮ่องสอนแล้ว ไม่มีภิกษุจังหวัดรายทางเข้าร่วมเดินทางธุดงค์เพิ่มด้วย เมื่อหลุดจากแม่ฮ่องสอนเข้าสู่แดนพม่า

จึงคงเหลือหลวงพ่อจงแต่องค์เดียว บุกท่อม ๆ ไป อย่างเอกากายแลโดดเดี่ยวเป็นเวลาอีกสองวัน กว่าจะถึงพม่าได้เข้านมัสการพระเจดีย์ชะเวดากอง

ธรรมะประโลมใจ
หลวงพ่อจง ยอมรับว่า แรก ๆ เมื่อเห็นสหายร่วมทางมีอันเป็นต้องจากกันไปในสภาพที่เรียกว่า ตาย รู้สึกใจคอหดหู่และสลดจิตคิดสังเวช แต่เมื่อได้ทบทวนหวนคิดได้ว่า อันรูปกายเกิดของมนุษย์และปวงสรรพสัตว์ ก็มีความตายนี่แลเป็นความเที่ยงแท้ ที่ชีวิตตายเกิดทุกรูปนามพึงต้องประสบ รูปกายใด มิว่าจะเป็นผู้มีอำนาจวาสนา มิว่าจะอยู่ในฐานันดรและอยู่ในสภาพมิว่าเยี่ยงใด จะเป็นจอมนักรบผู้เกรียงไกร เป็นจอมมหาราชาผู้มีศักดานำขนพองสยองอำนาจ รูปกายเกิดเหล่านี้ก็จะต้องประสบกับมรณสัญญาณเป็นปริโยสานด้วยกันทั้งนั้น

มิว่าจะในลักษณะการละม้ายแม้นเหมือน หรือแตกต่างกันในบทบาทเคลื่อนไหวอย่างใดก็ตาม มฤตยูมิยอมยกเว้น หรือแม้แต่จะให้มีการผ่อนผันให้รูปกายใดผัดผ่อน ประกันวันตายยืดออกไป

เมื่อปลงตกคิดเห็นสาเหตุความต้องตายเป็นอย่างนี้ จิตก็รู้สึกจืดชืดต่อความหวั่นไหวและหวาดเสียวแห่งมรณสัญญาณ มิว่าจะย่างกรายเข้ามาคุกคามในวิธีการเยี่ยงใด ตรงข้ามเมื่อเห็นความตายของผู้อื่น แต่ตนเองยังมิเคยถูกรุกรานให้บังเกิดเหตุเภทภัยย่ำยี กลับทำให้บังเกิดเป็นเจโตวสี คือเพิ่มพูนอำนาจใจให้ทวีความกล้าแข็งยิ่งขึ้น
เพราะใจมั่นในธรรม

ที่พม่า แม้จะพูดจากันไม่รู้เรื่องในแรก ๆ แต่เมื่ออยู่ไป การใช้ภาษาบุ้ยใบ้บ้าง ใช้ภาษามคธและภาษาพม่าที่สังเกตจดจำไว้ ก็ทำให้รู้เรื่องและได้รับความสะดวกในการอยู่ในพม่าเป็นเวลานานหลายเดือนเป็นอย่างดี

ตอนขากลับ หลวงพ่อจงต้องเดินทางเพียงรูปเดียวอย่างโดดเดี่ยวด้วยจิตใจกล้าหาญ ไม่กริ่งเกรงเหตุเภทภัยอย่างใด และได้แวะจำพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งที่กำแพงเพชร เพราะคาดคะเนแล้วว่าการเดินทางจะทำไม่ได้รวดเร็วตามกำหนด จึงคิดเห็นว่าสมควรกลับวัดเมื่อรอให้พ้นกำหนดออกพรรษาจะสะดวกกว่า ทั้งขาไปและกลับ

หลวงพ่อจง ได้รับความปลอดภัยอย่างอัศจรรย์แต่ผู้เดียว ส่วนภิกษุผู้ร่วมทาง 7 รูป ถึงแก่มรณภาพไปสิ้น หลวงพ่อจงเคยพูดว่า ท่านเองก็ไม่รู้ได้เหมือนกันว่าเป็นเพราะเหตุใด ท่านจึงไม่พานพบเหตุร้ายหรือเจ็บปวดแม้แต่เล็กน้อยก็ไม่เคยมี แต่ระหว่างทางเคยเหยียบหินและลื่นลงหลุมเล็กจนเท้าแพลงสักหนสองหน

นอกนั้นไม่เคยประสบเหตุการณ์อะไร จิตใจของท่านก็รู้สึกว่ามันเป็นปกติ ไม่เคยซู่ซ่าพลุ่งพล่านหวาดสยองกับการคุกคามของธรรมชาติอันเป็นวิบากทุรกันดาร ไม่เคยกริ่งกลัวต่อความวิเวกวิกาล หรือความอ้างว้างท่ามกลางหริ่งเรไรระงมกลางไพรที่สงัดแม้รู้ก็ไม่หนี

ภายหลังกลับจากธุดงค์เมืองพม่า การนมัสการพระมหาเจดีว์ชะเวดากองแล้ว ได้มีลูกศิษย์ลูกหาญาติโยมมาสอบถามประสบการณ์จากท่านมากมาย แต่วิสัยของชาวบ้านธรรมดาชอบถามเรื่องแปลก ๆ มากกว่าฟังธรรม

จึงได้มีลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อนายชด ได้ถามหลวงพ่อจงถึงตอนที่ไปธุดงค์เมืองพม่าว่า ท่านปฏิบัติอย่างไรถึงรอดมาได้ ในเมื่อพระภิกษุบางรูปที่ร่วมธุดงค์ไปด้วยถึงแก่มรณภาพกลางทาง หลวงพ่อจงท่านหยุดคิดนิดหนึ่งเห็นมีลูกศิษย์อยู่ไม่กี่คน ท่านจึงเปิดเผยโดยนัยธรรมว่า

การธุดงค์ การออกป่า ต้องทำใจกล้าพิสูจน์ถึงเรื่องกรรม ถ้าเกิดตายขึ้นมาก็เป็นเรื่องกรรม ไม่มีใครช่วยอะไรได้ คณะพระธุดงค์ที่เดินทางไปด้วยกันนั้น ล้วนแต่เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งสิ้น บางรูปได้อภิญญาสมาบัติและมีวิปัสสนาญาณ บางองค์มีอนาคตังสญาณที่แจ่มใสมาก ล่วงรู้อนาคตได้

แต่ท่านไม่เคยคิดหนี ยอมรับกรรมนั้น ๆ ด้วยการเดินธุดงค์ ในครั้งที่ท่านไปธุดงค์กับคณะได้มีพระรูปหนึ่งจำชื่อไม่ได้ ยังได้บอกว่า เข้าป่าคราวนี้ไม่ได้กลับออกมาอีกแล้ว เช้าวันหนึ่ง ท่านร่ำลาพระภิกษุในคณะพลางบอกว่า บ่ายนี้ท่านจะเป็นไข้ป่าและมรณภาพ พอตกบ่าย พระทุกรูปต่างอยู่ในกลด ทำวัตรของตนจนเย็น มีพระรูปหนึ่งมารายงานหลวงพ่อว่า มีพระมรณภาพในกลด จึงไปบอกให้พระรูปอื่น ๆ ทราบ แล้วชวนกันไปดู

พอเปิดกลดออกดู ก็เห็นท่านนั่งมรณภาพในท่าสมาธิ แสดงว่าท่านเตรียมตัวตายไว้แล้ว และไม่หนีตายด้วย ที่รอดมาได้อย่าดีใจ เพราะกรรมเมื่อให้ผลแล้ว หนีไม่พ้นการเชื่อเรื่องของกรรมจึงได้ชื่อว่าเป็นพระแท้ นับถือคำสั่งสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาอย่างแท้จริง
เรื่องของกรรม พระเก่งหรือไม่เก่งต่างก็หนีไม่พ้น หากกรรมนั้นไม่เป็นอโหสิกรรมแล้ว ไม่มีใครเก่งเกินกรรมไปได้

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก ศิษย์มีครู

แอพเกจิ – AppGeji
——————————————————————————-

ติดตามเรื่องราวครูบาอาจารย์ได้เพิ่มเติมที่

แอพเกจิ Facebook: www.facebook.com/appgeji

Web Sit: www.appgeji.com

App Store (IOS): https://appsto.re/th/wlGScb.i

error: ถ้าจะก๊อปกรุณาให้เครดิตท่านเจ้าของบทความ
%d bloggers like this: